ซื่ออินไม่กล้าชักช้า รีบสำรวจไปรอบด้านโดยเริ่มจากต้นหางนกยูง
มู่จิ่วก็สำรวจรอบด้านในทิศทางที่สลับกัน
หลุมศพหินครอบคลุมพื้นที่ราวหนึ่งหรือสองมู่ ด้านหน้าหลุมศพมีรูปสลักหินสัตว์เทพนั่งยองอยู่สองตัว ลวดลายช่วงครึ่งตัวล่างของสัตว์เทพเกือบถูกตะไคร่เขียวขึ้นจนเต็ม ส่วนด้านหลังคือแท่นบูชาหยกขาว ด้านหลังไปอีกเป็นตัวหลุมศพครึ่งทรงกลม บนหลุมศพสลักลวดลายไว้มากมาย และมีตะไคร่เขียวขึ้นเช่นเดียวกัน รวมถึงรอยแตกของพื้นอิฐก็มีหญ้าขึ้นรกด้วย
ดูจากความแข็งแรงและความละเอียดลออของหลุมศพแล้ว ราชาและราชินีของโหย่วเจียงจัดการฝังอู่เจินตามรูปแบบเฉกเช่นการฝังราชินีแห่งหนานเซียง
จากตะไคร่เขียวและหญ้ารกเหล่านี้ รวมทั้งต้นหางนกยูงที่ไม่เคยถูกพบมาก่อน สามารถบอกได้ว่าไม่มีคนมาสถานที่นี้นานมากแล้ว
แต่นี่ไม่อาจบอกได้ว่าราชาอาณาจักรโหย่วเจียงไร้จิตใจ ในฐานะราชาของอาณาจักรหนึ่ง สามารถดูแลเด็กกำพร้าของขุนนางแบบนี้ ที่จริงนับได้ว่าไม่เลวมากแล้ว ราชาผู้หนึ่งคงไม่สามารถเหล่าส่งองค์ชายองค์หญิงมาทำความสะอาดหลุมศพให้บุตรสาวขุนนาง ยิ่งไม่เหมาะที่จะส่งคนในวังมาทำความสะอาดหลุมศพในนามตนเอง…หากต้องการทำความสะอาดก็ต้องเป็นหลุมศพของพ่อนาง
และในห้าร้อยปีนี้ ซื่ออินยุ่งอยู่กับการตามหาเหลียงจี เป็นธรรมดาที่จะไม่ได้สนใจเรื่องนี้
สิ่งที่มู่จิ่วใส่ใจไม่ใช่มีคนในวังโหย่วเจียงมาดูอู่เจินหรือไม่ สิ่งที่นางใส่ใจคือเหลียงจีมาที่นี่หรือเปล่า
แต่ชัดเจนมาก หญ้ารกเหล่านี้ไม่เพียงแสดงว่าไม่มีคนจากอาณาจักรโหย่วเจียงมา แม้แต่เหลียงจีก็ไม่ได้มาด้วย
ทว่าต้นหางนกยูงตรงหน้าเพียงพอจะยืนยันได้ เหลียงจีต้องเคยมาที่นี่หลังจากออกจากอาณาจักรโหย่วเจียง
ถึงแม้เป็นเพียงต้นไม้ต้นหนึ่ง กลับยืนยันได้ว่าการหายตัวไปของเหลียงจีไม่ใช่เพราะถูกลักพาตัว แต่เป็นนางตั้งใจจากไปเอง!
ในเมื่อจากไปเอง และนางยังเคยมาที่หลุมศพของอู่เจิน ก็สามารถยืนยันการคาดเดาของลู่ยาได้ การหายตัวไปของนางครั้งนี้เป็นไปได้มากว่านางจะไปทำเรื่องที่สำคัญยิ่งเรื่องหนึ่ง อีกทั้งเรื่องนี้เกินกว่าครึ่งก็เกี่ยวข้องกับการตายของอู่เจิน
“พบอะไรหรือไม่?”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซื่ออินเดินมาอยู่ตรงหน้า มู่จิ่วจึงถามเขา
เขาขมวดคิ้วส่ายหน้า มู่จิ่วก็แบมือพูด “ข้าก็ไม่พบอะไรเช่นกัน”
นางพูดพลางมองลู่ยา ลู่ยาถือผังเข็มทิศพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเงาเขาก็เคลื่อนวูบวาบ ลอยไปยังทิศที่ไกลออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ
“พวกเราไปดูกัน!”
มู่จิ่วเรียกซื่ออินให้ตามไป ถึงแม้ตามไม่ทันฝีเท้าของลู่ยา แต่ก็รู้ชัดเจนว่าเขามุ่งไปไหน
ทิศทางที่ลู่ยาไปออกจากเขตของภูเขาจิตอสุนีบาตแล้ว ในความเป็นจริง ทั้งภูเขาจิตอสุนีบาตไม่ได้มีเนินหินมากเท่าไหร่นัก แต่พอออกจากที่นี่ภูมิประเทศกลับพลันสูงขึ้น ยอดเขาทั้งผืนล้วนเป็นเนินหินเปิดเปลือย แต่ละเนินยกสูงขึ้นมาจากพื้น ระหว่างยอดเขาอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่า รายล้อมด้วยเมฆหมอก สัตว์ปีกเซียนบินว่อน พลังวิญญาณที่ลอยอยู่ทำให้สดชื่นแจ่มใส เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์โดยแท้!
ลู่ยาคาดเดาว่าสถานที่ที่เหลียงจีซ่อนตัวอยู่มีพลังวิญญาณอุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องพูดถึงซื่ออิน เพียงมู่จิ่วมาถึงที่นี่ก็รู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านบ้างแล้ว
สถานที่พิเศษขนาดนี้ เหลียงจีคงไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ที่นี่กระมัง?
อาฝูเกิดที่นี่หรือ?
ลู่ยายืนนิ่งอยู่บนยอดเขาด้านหน้า จากนั้นมองดูผังเข็มทิศที่แปลงมาจากพลังวิญญาณในมือ รอจนมู่จิ่วมาถึง จึงลงไปอย่างช้าๆ ตรงไปยังป่าไผ่เขียวชอุ่มด้านหน้าที่ยื่นออกมาจากเมฆ
ไม่นานก็มาถึงป่าไผ่ มู่จิ่วสำรวจรอบด้านหลังจากยืนได้มั่นคง ป่าไผ่เป็นป่าตามธรรมชาติที่ครอบคลุมพื้นที่เนินเขาทั้งหมด กลางป่าไผ่ขนาบด้วยลำน้ำเล็กๆ ต้นกำเนิดของแหล่งน้ำไม่รู้อยู่ที่ไหน สรุปคือยังไม่ทันได้สัมผัสแตะถูกมันก็มีไอเย็นลอยออกมาแล้ว
บนพื้นเต็มไปด้วยใบไม้แห้ง ใต้ใบไม้แห้งเป็นหินกรวด หินเหล่านี้แต่ละก้อนสุกใสเปล่งประกาย และที่ยิ่งน่าประหลาดใจคือพวกมันส่องแสงสว่างบาดตาหลากสี
“หินเจ็ดแสง!”
มู่จิ่วยังไม่ทันสำรวจรอบๆ เสร็จ ซื่ออินก็ร้องขึ้นมา เขาจ้องมองหินสีรุ้งบนริมน้ำ ไม่รู้คิดอะไรอยู่ สีหน้าไม่เพียงตกใจ แต่ยังสงสัยอย่างมาก
“หินเจ็ดแสงคืออะไร?” มู่จิ่วถาม
ลู่ยาเดินเข้ามาพูด “หินเจ็ดแสงคือของใช้การไม่ได้ที่ศิษย์พี่หญิงของข้าคัดออกระหว่างการซ่อมแซมฟ้าในกาลก่อน เพราะถูกละทิ้งจึงกลายเป็นหินหลอมวิญญาณร้าย พวกมันชอบกินวิญญาณมนุษย์เป็นอาหาร ยิ่งกินวิญญาณเข้าไปมาก สีสันก็ยิ่งสด ปกติพวกมันเกิดอยู่เฉพาะในที่มืดและหนาวเย็นอย่างปรโลกเก้าแดน หินเจ็ดแสงที่นี่ส่องแสงแสบตา ลำน้ำก็เย็นแบบนี้ แหล่งกำเนิดน้ำนี้ต้องเป็นน้ำจากแม่น้ำแห่งความตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
แม่น้ำแห่งความตาย?
แม่น้ำแห่งความตายของปรโลกน่ะหรือ?
“แต่เมืองวิญญาณอยู่ที่เฟิงตู ที่นี่จะมีน้ำของแม่น้ำแห่งความตายได้อย่างไร?”
“สถานที่นี้ห่างจากเฟิงตูหลายหมื่นลี้ น้ำของแม่น้ำแห่งความตายของที่นี่ คงมีคนใช้พลังวิญญาณนำมันมาเลี้ยงหินเหล่านี้” ลู่ยาพูดเรียบๆ
มู่จิ่วมองหินหลากสีสว่างสดใสเหล่านี้ ดูไม่ออกจริงๆ ว่าพวกมันเป็นหินหลอมวิญญาณที่สะสมวิญญาณร้ายไว้
“หินพวกนี้เป็นของวิเศษที่ดีที่สุดในการหลอมวิญญาณ เพราะไม่เพียงแต่มีพลังสายเสวียนคง แต่ยังดูดซับวิญญาณผีได้ดีเป็นที่สุด หากนำหินที่มีอยู่เต็มแม่น้ำนี้โยนเข้าไปในเตาหลอม จะสามารถหลอมอาวุธวิเศษที่น่าเกรงขามได้ มันไม่เพียงมีความสามารถดูดซับวิญญาณ พลังวิญญาณยังบริสุทธิ์อย่างมาก พลังวิญญาณยิ่งบริสุทธิ์เท่าไหร่ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น”
มู่จิ่วฟังถึงตรงนี้ก็อดพูดไม่ได้ “แบบนั้นใครทำกัน? เขาต้องการอะไร?”
ลู่ยาหยิบหินก้อนหนึ่งวางไว้กลางฝ่ามือ หรี่ตากล่าว “หากข้าเดาไม่ผิด คนผู้นี้คงเป็นคนที่ใช้แมงมุมกลืนวิญญาณสร้างใยแมงมุมที่ภูเขาคุนหลุนตะวันออกไว้กำกับตระกูลอ๋าวตระกูลอวิ๋น”
คล้อยหลังคำพูดของเขา หินที่มีสีส้มแดงสว่างไสวในมือพลันมีจิตต้นกำเนิดมากมายลอยออกมา เหมือนกับควันเผาไหม้ลอยอยู่กลางอากาศชั่วครู่ใหญ่ก่อนสลายไปจนหมด!
“ดูไผ่เหล่านี้อีกที”
เขาพูดพลางทำสัญลักษณ์มือส่งพลังออกไป พบว่าที่ที่แสงค่อยๆ ปกคลุมไปนั้น ป่าไผ่งามเขียวขจีเมื่อครู่พลันกลายเป็นโครงกระดูกตั้งฉากผืนใหญ่! กระดูกขาวเหล่านั้นแต่ละแท่งแต่ละอันตั้งอยู่ในลักษณะเดียวกับต้นไผ่ก่อนหน้านี้ ส่วนผมยุ่งเหยิงบนหัวกลายเป็นใบไผ่รก!
ถึงแม้มู่จิ่วมีความสามารถจับเล่ห์กล ก็ยังตกใจโดยไม่รู้ตัว
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นเขา?” นางถาม
“เพราะปีนั้นอ๋าวเชินถูกทำร้ายก็เพราะเขาไปหลอมวิญญาณอยู่ที่ริมบึงน้ำดำ เพียงแต่สิ่งที่หลอมครั้งนั้นเป็นวิญญาณเทพ” ลู่ยาเป่าลมเข้าไปในป่าไผ่ โครงกระดูกเหล่านั้นกลับสภาพเป็นป่าไผ่เขียวขจีแบบเดิม
“ถ้าอย่างนั้น หรือตอนนี้เขาประสงค์จะหลอมวิญญาณร้าย?!” แม้แต่ซื่ออินก็อดสงสัยไม่ได้
“เป็นไปได้” ลู่ยาโยนหินที่สิ้นแสงแล้วในมือลงไปในแม่น้ำ “อย่างไรเสียหินในแม่น้ำสายยาวขนาดนี้ ก็เพียงพอจะหลอมวิญญาณร้ายออกมา”
“เจ้าหมายถึงวิญญาณเทพและวิญญาณร้ายในบรรดาวิญญาณของหกภพหรือ?” มู่จิ่วขมวดคิ้วพูด
“ไม่ผิด” ลู่ยาพูดจบก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดต่อ “เพียงแต่ตอนนี้ข้าไม่รู้ว่าเขาหลอมมาทำอะไร ถึงแม้วิญญาณในแต่ละภพสร้างเป็นของวิเศษอันร้ายกาจได้ แต่วิญญาณร้ายทำได้เพียงดูดซับวิญญาณ อีกอย่าง แม้วิญญาณเทพมีพละกำลังแข็งแกร่ง แต่หากเขาต้องการตั้งตนกุมอำนาจ ควรจะหลอมวิญญาณมารและวิญญาณเทพถึงจะถูก ยังมีวิญญาณเซียนอีก นี่ถึงจะเป็นวิญญาณมีฤทธิ์อย่างแท้จริง”
“การเดินทางครั้งนี้ แม้พวกเราจะพบข้อสงสัยไม่น้อย แต่กลับไม่เคยพบว่าพวกเขาลงมือกับวิญญาณเซียนมาก่อน ตั้งแต่ชิงชิวถึงทิวเขาริ้วหยก จนถึงภูเขาจิตอสุนีบาต สิ่งที่เขาลงมือด้วยล้วนเป็นวิญญาณเทพ และเบื้องหน้านี้ก็เป็นพียงวิญญาณร้ายเท่านั้น หากเป้าหมายมีเพียงสองวิญญาณนี้ ก็ไม่อาจสร้างผลกระทบอะไรได้”
…………………………………………………