“อรุณสวัสดิ์” มู่จิ่วเดินเข้าไปทักทายนาง
นางหันมา ริมฝีปากยกขึ้นน้อยๆ ก่อนเอ่ย “อรุณสวัสดิ์แม่นาง”
เสียงนี้ไพเราะอย่างมาก เหมือนน้ำพุที่ไหลริน เหมือนนกกระจาบฝนที่ออกจากหุบเขา
เหลียงจีถูกนางมองแบบนี้ก็ไม่ค่อยสบายใจ กุมใบหน้าพลางถาม “หน้าข้าสกปรกหรือ?”
อากัปกิริยานี้เจือไปด้วยความเขินอายอย่างเป็นธรรมชาติ นางเป็นแม่ที่มีลูกอายุสามร้อยปีแล้ว กลับยังเหมือนหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน มู่จิ่วตอบ “ไม่สกปรก แต่สะอาดยิ่งนัก ข้าเพียงคิดไม่ถึงว่าเจ้าเรียบร้อยขนาดนี้ ทำไมถึงเลี้ยงลูกชายที่ทั้งน่ารักและซุกซนขนาดนั้นออกมาได้ ข้ายังเข้าใจว่านิสัยแบบเจ้า เด็กที่เลี้ยงมาควรว่านอนสอนง่ายอย่างรุ่ยเจี๋ยถึงจะถูก”
เด็กสองคนที่กำลังฝึกลมปราณอยู่ด้านหน้าก้อนหินหันหน้ามา
อาฝูวิ่งเข้ามาหาแม่อย่างว่าง่าย มือเท้าเกาะอยู่กับขาเหลียงจี เหลียงจีก็ไม่รำคาญ ยื่นมือไปลูบหลังคอเขาพลางนั่งยองลง
“ตั้งแต่ตอนข้าตั้งครรภ์เด็กคนนี้ เขาก็ไม่เคยสงบเสงี่ยมมาก่อน เหมือนกับพ่อของเขา ขี้เล่นซุกซนเป็นที่สุด มดที่เดินผ่านทางเขาต้องตบ ผีเสื้อที่บินผ่านไปเขาต้องจับ พอดุเขาสักหน่อย เขาก็ยังเอาหัวดุนแขนขาออดอ้อนเจ้า”
“ข้าจนปัญญากับเขา คิดบ่อยครั้งว่าควรจะเข้มงวดกับเขาหน่อยหรือไม่ แต่ตอนไม่ขี้เล่น เขาช่างเป็นเด็กที่น่ารักที่สุดในโลก ตอนข้าเหม่อลอย เขาก็จะเลียมือเจ้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ออกไปเล่นกลับมาก็จะคาบดอกไม้กลับมาให้เจ้า ดังนั้นข้าจึงรู้สึกอยู่เสมอว่าเขาต้องเป็นคนที่สวรรค์ส่งมาอยู่เป็นเพื่อนข้าแทนพ่อของเขา”
คำพูดของนางอ่อนโยนเหมือนสายลม มู่จิ่วฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจ
แต่มู่จิ่วจินตนาการไม่ได้เลยว่าเหลียงจีทำเรื่องทั้งหมดนั้นได้อย่างไรภายใต้เงื้อมมือของเซวียนหยวนฮุ่ย นางคิดมาตลอดคืน สุดท้ายก็ไม่มีข้อสันนิษฐานที่น่าเชื่อถือ
“เหลียงจี พวกเราไปเคารพเซิ่งจุนก่อนเถิด”
ซื่ออินเดินเข้ามาพอดี เขาที่อิ่มเอมไปด้วยความสุขทักทายนาง ความพอใจบนใบหน้ากับความอาลัยอาวรณ์เหมือนได้โลกทั้งใบกลับมาอีกครั้ง
ตั้งแต่เขาออกมาเหลียงจีก็มองไปที่เขา สายตาที่ก่อนหน้านี้เจือไปด้วยความสุภาพและห่างเหินพลันกลายเป็นอ่อนโยน
มู่จิ่วมองเห็นคนคู่นี้ ก็อดอารมณ์ดีขึ้นมาไม่ได้
ในเรือนทางตะวันออก รุ่ยเจี๋ยกำลังชงชาให้ลู่ยา ส่วนลู่ยากำลังพลิกหนังสืออยู่ตรงชั้นหนังสือทางทิศใต้
รอพวกเขาคารวะเสร็จเขาก็พยักหน้า ชี้เก้าอี้ในห้องให้พวกเขานั่ง จากนั้นเดินเข้ามามองสีหน้าของเหลียงจีก่อนพูด “ไม่มีปัญหาใหญ่อะไรแล้ว แต่ลมปราณเสียหายอย่างหนัก อย่างน้อยต้องฟื้นฟูหลายร้อยปี” พูดถึงตรงนี้เขาก็ชะงักไป เหลือบตามองซื่ออิน “อย่างน้อยในสามร้อยปีนี้ก็ไม่เหมาะจะให้กำเนิดบุตรอีก”
ซื่ออินหน้าแดงทันที เหลียงจีก็กระดากอาย
ลู่ยาทำเป็นมองไม่เห็น ก้มหน้าดื่มชาที่รุ่ยเจี๋ยชงให้ จากนั้นจึงถาม “พูดมาซิว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น เจ้าถูกเสือลายเหลืองลักพาตัวหรือเจ้าไปหาเขาเอง?”
เหลียงจีได้ยินเรื่องนี้ สีแดงเรื่อบนใบหน้าก็หายไปทันที สูดลมหายใจลึกก่อนกล่าว “ตอบท่านเทพ ข้าไม่ได้ถูกลักพาตัว และก็ไม่ได้ไปหาเซวียนหยวนฮุ่ยด้วยตนเอง”
ลู่ยาขมวดคิ้ว “พูดต่อสิ”
เหลียงจีเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ในตายังมีความกลัว “ยังต้องเล่าจากเมื่อห้าร้อยปีก่อน”
“ตอนนั้นเป็นตอนที่พวกเราใกล้จะแต่งงานกัน ในวังมีเรื่องจุกจิกมากมาย และหลายวันนั้นเป็นช่วงที่ซื่ออินไม่อยู่ที่วังพอดี จำได้ว่าข้าพาหญิงรับใช้ไปท้องพระคลังเพื่อเลือกผ้าต่วนตามปกติ ข้าเลือกไปเลือกไป โคมไฟรอบด้านก็พลันดับลง หญิงรับใช้ไม่รู้ไปไหน ตอนนั้นในท้องพระคลังพลันมีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น!”
“ใคร?” ลู่ยาถาม
“ข้าก็ไม่รู้เจ้าค่ะ” สีหน้าเหลียงจีซีดขาว ไหล่ทั้งสองห่อเข้ามา นิ้วทั้งสิบที่ประสานกันอยู่บิดม้วนไม่หยุด “จนถึงตอนนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร ตอนข้าเห็นเขาก็ดูปกติไปเสียหมด แต่เพียงเขาจากไปข้าก็จำไม่ได้ เหมือนกับเขาไม่มีหน้าตาอย่างไรอย่างนั้น”
“ตลอดหลายปีมานี้ข้าเจอเขาไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง แต่ข้าไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับใบหน้าเขาเลย! มีเพียงตอนเห็นหน้าเขาถึงจะนึกขึ้นได้ว่าเป็นเขา!”
“แบบนั้นเจ้าจำการแต่งตัวของเขาได้หรือไม่?” มู่จิ่วที่เดินเข้ามาพอดีเอ่ยถาม
“สวมเสื้อสีฟ้าครามทั้งตัว ธรรมดาอย่างมาก” เหลียงจีลุกขึ้นมองนางพลางพูด “ที่เหลือก็ไม่มีอะไรอื่นแล้ว การแต่งกายของเขาธรรมดามากนัก เหมือนกับคนของเขา ไม่ว่าเป้าหมายการพูดการกระทำก็ตรงไปตรงมาและเรียบง่าย!”
มู่จิ่วมองลู่ยาอย่างรวดเร็ว ตอนแรกที่อวิ๋นฉัวพูดถึงคนที่ทำร้ายเขาก็บรรยายไว้เช่นนี้
ชัดเจนมาก ทั้งสองเป็นคนเดียวกัน
ลู่ยาขมวดคิ้วอยู่สักพัก ก่อนพูด “นี่เป็นหนึ่งในวิชาลวงวิญญาณ คนผู้นี้รู้วิชาสายมารไม่น้อยทีเดียว”
มู่จิ่วเพียงรู้ว่าวิชาลวงวิญญาณของเผ่าจิ้งจอกร้ายกาจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้ก็ใช้เป็น
นางชะงักเล็กน้อย จากนั้นถามเหลียงจีที่ยังคงตกอยู่ในความกลัว “ตอนเจ้าอยู่ในท้องพระคลัง เขาพูดอะไรกับเจ้าบ้างหรือไม่?”
“เขาถามข้าว่าอยากแก้แค้นให้พี่สาวหรือไม่!” เหลียงจีเงยหน้าขึ้นมาทันที เอ่ยทั้งแววตาส่องสว่าง “ตอนนั้นเพราะข้าไม่รู้ที่มาของเขา และกลัวมากเขาที่ผ่านการป้องกันหนาแน่นของอาณาจักรโหย่วเจียงมาได้ อีกอย่างข้าก็เคยชินกับการปรึกษาหารือเรื่องทุกเรื่องกับซื่ออิน ตอนนี้เขาไม่อยู่ ดังนั้นข้าจึงปฏิเสธไป”
“ข้าเชิญให้เขาออกไป ทั้งยังลองเรียกราชาและราชินี แต่ทั้งท้องพระคลังราวกับปิดแน่นด้วยกำแพงเหล็ก เสียงของข้าไม่สามารถออกไปได้เลย เสียงเคลื่อนไหวด้านนอกก็เข้ามาไม่ได้! ข้าเหมือนกับเข้าไปในโลกมืดมิดที่ไม่มีหนทางออก ทำได้เพียงปล่อยให้เขาโน้มน้าว ข้าไม่มีเรี่ยวแรงต่อต้านแม้แต่น้อย!”
กล่าวถึงตรงนี้การพูดของนางก็เร็วขึ้น น้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย เหมือนเพียงแค่หวนคิดถึงก็รู้สึกว่าคนผู้นั้นกำลังจับตามองนางอยู่ใกล้ๆ
ซื่ออินโอบไหล่นางเบาๆ ช่วยนางสงบใจ พลางพูด “บิดาของเหลียงจีเป็นขุนพลที่มีชื่อเสียงของโหย่วเจียง ตั้งแต่เด็กนางกับอู่เจินล้วนได้รับการฝึกวรยุทธ์ ภายหลังเข้ามาในวังโหย่วเจียง นางก็ไม่ได้ละทิ้งวิชา”
“แต่ถึงแม้เป็นแบบนั้น ข้าก็ยังคงทำอะไรเขาไม่ได้!”
เหลียงจีพูดต่อจากเขา “ เขาให้ข้ารับปากเขา ว่าจะช่วยเขาจับตาดูเซวียนหยวนฮุ่ยทำเรื่องหนึ่ง หลังจากสำเร็จแล้วเขาจะให้ข้าสังหารเซวียนหยวนฮุ่ยล้างแค้น ตอนแรกข้ายังไม่เชื่อ จึงถามเขาว่าทำไมต้องให้ข้าไป? เพราะในเมื่อเขามีความสามารถแบบนี้ ต้องการควบคุมเซวียนหยวนฮุ่ยให้ทำเรื่องอะไรนั้นง่ายดายมาก”
“แต่เขาบอกว่าเขาไม่อยากทำแบบนั้น เพราะตัวเซวียนหยวนฮุ่ยยังมีความทะเยอทะยานของตน เขาไม่เพียงมีใจอยากหลุดพ้นจากการควบคุมของอาณาจักรโหย่วซยง แต่ยังตั้งใจจะปกครองทั้งเขตทุรกันดารทางเหนือ เขาให้ข้าดูหลักฐานมากมาย ทั้งหมดเป็นบันทึกลับของในวังหนานเซียง! ข้าอยู่ในวังมานาน พอมั่นใจในการแยกแยะบันทึกจริงปลอม บันทึกเหล่านั้นล้วนเป็นกลยุทธ์ที่เซวียนหยวนฮุ่ยวางแผนยึดครองเผ่าต่างๆ ในดินแดนทุรกันดารทางเหนือ!”
“แต่เขาเป็นคนที่มีวิชาอาคมแก่กล้าขนาดนั้น เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่ามันเป็นของจริง?” มู่จิ่วพูด
“ข้ายืนยันได้!” เหลียงจีพูด “ตอนนั้นข้าก็คิดเหมือนกัน เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะสร้างมันขึ้นมาเพื่อหลอกข้า? แต่ดูแล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องแบบนี้เพื่อหลอกข้า จากนั้นข้าหยดเลือดหัวใจลงไปเพื่อพิสูจน์ต่อหน้าเขา…ท่านคงรู้ พวกเราเผ่าเทพมีพลังบำเพ็ญในระดับหนึ่ง เลือดหัวใจก็มีความสามารถสูงในการสลายอาคมปีศาจ บันทึกนั้นไม่ว่าจะพิสูจน์อย่างไรก็เป็นของจริง”
…………………………