อวี้ตี้กัดฟันชี้นาง อดกลั้นกลืนความโกรธนี้เข้าไป และพูดกับหวังหมู่ดีๆ “ภรรยาข้า เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ชะตาชีวิตของต้าอี้ไม่ใช่ข้าเปลี่ยนจริงๆ ระหว่างข้ากับฉางเอ๋อร์ก็ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ต้นเหตุของเรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ นางมาขอร้องให้ข้าช่วยเพราะรู้ว่าต้าอี้มีเคราะห์กรรมนี้ ข้าจะทำเรื่องที่ผิดต่อวิถีฟ้าได้อย่างไร?”
มู่จิ่วเงยหน้าขึ้นมา
หวังหมู่ฟังถึงตรงนี้ก็หมุนตัวมา สีหน้าเย็นชากวาดตามองเขา ก่อนพูด “ท่านพูดจริงหรือ?”
“โกหกสักครึ่งคำก็ไม่มี!” อวี้ตี้เอ่ย
จากนั้นเขาเริ่มเล่าเรื่องจากคืนวันนั้นว่าฉางเอ๋อร์มาขอร้องให้ช่วยอย่างไร เล่าถึงว่าเขาไปสืบหาเรื่องราวกับมหาเทพตงเยวี่ย และเล่าเรื่องที่ก่อนหน้านี้เขากับฉางเอ๋อร์ไปต้าหนิงเพื่อสืบเรื่องเกี่ยวกับต้าอี้อย่างหมดเปลือก รายละเอียดในเรื่องล้วนไม่ต่างจากที่มู่จิ่วเห็นมาแม้แต่น้อย
“หากข้ากล้ามีเรื่องปิดบัง พรุ่งนี้ก็ย้ายข้าออกจากวังหลิงเซียวได้เลย!”
หวังหมู่จ้องเขาอยู่นาน สุดท้ายสูดลมหายใจเข้าไปช้าๆ ก่อนผ่อนคลายลงเอนไหล่พิงตั่งไหม
มู่จิ่วครุ่นคิดอยู่นาน ค่อยเดินออกมาพูด “แต่ปีก่อนทำไมฉางเอ๋อร์ถึงไปสถานที่ฝังกระดูกของต้าอี้ที่ภูเขาเรือ?”
จนตอนนี้อวี้ตี้ถึงได้มีเวลามาสนใจนาง เห็นนางเสนอหน้าออกมาอย่างรนหาที่ตาย ก็กัดฟันถลึงตาหยิบหางนกยูงบนโต๊ะขึ้นมา ทำท่าจะพุ่งเข้าไป!
มู่จิ่วหลบอยู่ฝั่งหวังหมู่ จึงไม่ได้รับอันตราย
“นางพูดถูก ในเมื่อฉางเอ๋อร์มาหาท่านไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนชะตาชีวิตต้าอี้ แบบนั้นนางไปภูเขาเรือทำอะไร?!”
หวังหมู่ทำหน้าตึงทันที
อวี้ตี้จนปัญญา เอ่ยว่า “ที่จริงนางพบมาระยะหนึ่งแล้วว่าชะตาชีวิตของต้าอี้ถูกเปลี่ยน เพราะเรื่องปีนั้นนางจึงรู้สึกผิดต่อต้าอี้มาตลอด กลัวผู้คนหัวเราะเยาะนาง จึงไปจัดการด้วยตนเอง”
“นางไปภูเขาเรือเพื่อตามหากระดูกทิพย์ของต้าอี้ เจ้าก็รู้ หากสามารถนำเอากระดูกทิพย์ของต้าอี้มาได้ในเวลาเดียวกับที่เขาเกิด จะสามารถแก้ไขชะตาชีวิตเขาได้ แต่คิดไม่ถึงว่าจนถึงเวลานั้นแล้วนางกลับทำไม่สำเร็จ”
“ทำไมไม่สำเร็จ?” มู่จิ่วยื่นหน้าออกมาจากหลังหวังหมู่
อวี้ตี้แยกเขี้ยวใส่นางอีก แต่ถูกหวังหมู่ทำตาขวางใส่ จึงทำได้เพียงพูดทันทีว่า “ปัญหาอยู่ที่ข้าสืบหาไม่เจอว่าใครเป็นคนเปลี่ยนชะตาชีวิตเขา และไม่รู้ว่าเขาใช้วิชาของสำนักไหน ส่วนพลังที่ควบคุมอยู่เบื้องหลังชะตาชีวิตแข็งแกร่งอย่างมาก ทำให้ข้าได้แต่ไปร้องขอความช่วยเหลือจากเซิ่งจุนรอง ยืมลมปราณของท่านมาหยุดไม่ให้จิตต้นกำเนิดของต้าอี้สลายไป”
เซิ่งจุนรอง? หุนคุนจู่ซือ?
คิดไม่ถึงว่าอวี้ตี้ยังไปร้องขอความช่วยเหลือถึงสวรรค์อันสูงส่ง นี่ไม่ใช่เรื่องโกหกแล้ว มู่จิ่วพยักหน้า คำพูดของอวี้ตี้ทำให้คิดถึงคนผู้นั้นที่ควบคุมชะตาชีวิตของตระกูลอวิ๋น วิชาเหมือนกันขนาดนี้ ไม่ใช่คนเดียวกันหรอกหรือ? หรือจะเหมือนกับที่ลู่ยาพูด คดีเหล่านี้มีคนคิดชั่วร้ายวางแผนไว้นานแล้ว?
“คนผู้นี้คือใคร? เขามีความแค้นใดกับต้าอี้?”
นางยังไม่ทันเปิดปาก หวังหมู่กลับถามขึ้นมาแล้ว
“ไม่รู้” อวี้ตี้ส่ายหน้าถอนหายใจ “ไท่ซ่างเหล่าจวินก็ไม่สามารถหาร่องรอยของเขาได้เลย แต่แน่ใจได้ว่าต้องเป็นผู้สูงส่งแต่บรรพกาลคนหนึ่ง ข้ายังพบอีกว่า ชะตาชีวิตของต้าอี้ถึงแม้ถูกแก้ไขให้สิ้นสุดลง แต่ไม่ได้ให้สูญสลายไปในตอนนี้ เพียงแค่ถูกเปลี่ยนให้หลุดออกจากการเวียนว่ายตายเกิด หมายความว่าวิญญาณของเขายังคงอยู่ เพียงแต่หลุดออกจากวัฏสงสารเท่านั้น”
มู่จิ่วยิ่งฟังยิ่งงุนงง “หรือมีคนต้องการใช้วิญญาณของต้าอี้?”
อวี้ตี้กับหวังหมู่ล้วนมองมาทางนาง แต่ไม่ได้พูดสิ่งใด
ผ่านไปนาน หวังหมู่จึงค่อยพูดขึ้น “ในเมือพวกเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องปิดบังข้า?”
“ข้าไม่ได้พูดแล้วหรือ ฉางเอ๋อร์ขอร้องข้าให้เก็บเรื่องนี้ไว้ ข้าไหนเลยจะรู้ว่าพวกเจ้าถือเรื่องนี้เป็นเรื่องเป็นราว หากเจ้าไม่เชื่อ สามารถไปถามมหาเทพตงเยวี่ยเอาได้”
หวังหมู่เหลือบมองเขา ถึงแม้บนใบหน้ายังไม่พอใจ แต่ชัดเจนว่าไม่กังวลสงสัยแล้ว
หวังหมู่พึมพำ “ดูแล้วข้าคงเข้าใจนางผิดแล้ว”
อวี้ตี้รีบพูด “ไม่โทษเหนียงเหนียง หากจะโทษก็โทษที่ข้าไม่คิดให้รอบคอบ!”
หวังหมู่เหลือบมองเขา เม้มปากยิ้มขึ้นมา
มู่จิ่วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
ทางนี้กระจ่างชัดเรื่องฉางเอ๋อร์กับภูเขาเรือแล้ว แต่ยังคงไม่รู้ว่าเหลียงจีรู้ล่วงหน้าได้อย่างไรว่าฉางเอ๋อร์จะไปภูเขาเรือ ทว่าตอนนี้ดูแล้วคงเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ในเมื่อฉางเอ๋อร์ร้องขออวี้ตี้ให้ปิดบังเรื่องไว้ ความเป็นไปได้ที่เรื่องราวจะแพร่งพรายออกไปก็น้อยมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหลียงจีรู้ได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้ว่าไม่มีเรื่องพรรณนั้นระหว่างอวี้ตี้กับฉางเอ๋อร์ นางก็วางใจแล้ว
ไม่เพียงนางไม่ต้องสะกดรอยตามอีก แต่ไม่ต้องปวดหัวแทนหวังหมู่ด้วย ระหว่างสามีภรรยาควรต้องไว้ใจกันให้มากหน่อย! ไม่ใช่ว่าผู้ชายทุกคนต้องชอบมีชู้ และไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนที่เคยทำผิดจะยิ่งหลงเดินทางผิดไปไกล ถึงแม้ฉางเอ๋อร์มีความผิด แต่ยังใส่ใจต้าอี้แบบนี้ได้ ก็ทำให้นางสบายใจขึ้นมาก
ออกมาจากวังหลิงเซียว หวังหมู่ก็นำผ้าทอสีเหลืองให้นาง
ถึงแม้อวี้ตี้อยากสั่งสอนนางอย่างมาก แต่มีหวังหมู่ขวางอยู่ข้างหน้า เขาก็เหมือนกับหมดหนทาง บวกกับหวังหมู่รับปากจะทำน้ำแกงให้เขาด้วยตนเองเพื่อปลอบใจ ปากเขาไม่พูดอีก ในตากลับแสดงออกถึงความสมใจ ปล่อยมู่จิ่วไปสักครั้งหนึ่ง
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาใหม่ ตอนบ่ายนางจึงมุ่งตรงไปหาซือมิ่งซิงจวิน นำคำสั่งของอวี้ตี้ส่งให้เขา และยังมองเขาเปลี่ยนชะตาชีวิตของเฉินผิงกับตาตนเอง จากนั้นค่อยกลับไปหน่วยงาน ครั้นนึกถึงบุญกุศลส่วนนั้น จึงมุ่งไปหาหลิวจวิ้น หลิวจวิ้นได้ยินนางพูดถึงได้นึกเรื่องนั้นออก เขาถามนางว่าทำไมนานขนาดนี้ถึงเพิ่งจัดการเสร็จ? นางจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
“ยังมีเรื่องนี้อีก?” ตอนหลิวจวิ้นได้ยินชื่อนี้ก็ขมวดคิ้ว
“ใช่เจ้าค่ะ ทำให้ข้าทั้งกังวลและกลัวอยู่นานขนาดนี้ แต่ดีที่เรื่องคลี่คลายแล้ว ฝ่าบาทก็ละเว้นข้า” นางวางใบชะตาชีวิตที่ซือมิ่งซิงจวินแก้ไขแล้วบนโต๊ะ จากนั้นเดินมาเร่งเขา “ใต้เท้ารีบดูบันทึกผลงานของข้าที ดูว่าข้ายังขาดบุญกุศลในการสำเร็จเป็นเซียนอีกเท่าไหร่?”
หลิวจวิ้นมองค้อนนาง ชี้ไปยังบันทึกปกสีเขียวในชั้นด้านหลัง
มู่จิ่วรีบนำมันออกมา พลิกดูแล้วก็ส่งให้เขา
หลิวจวิ้นหาหน้าของนางเจอ ก็เติมเรื่องคดีของตระกูลอ๋าวลงไป ในแถวที่แสดงบุญกุศลพลันปรากฏแสงสีน้ำเงินส่องออกมาบางๆ
“ยังไม่เลว เข้ามายังไม่ถึงสองปีก็มาถึงแสงสีน้ำเงิน ตั้งใจทำก็ไม่ไกลจากการเลื่อนขั้นแล้ว”
บนใบหน้าหลิวจวิ้นมีความพอใจอยู่บ้าง
มู่จิ่วปรบมือพูด “ดียิ่งนัก!”
วาสนาเซียนแบ่งเป็นเจ็ดขั้น ชาด แสด แดง เขียว ฟ้า น้ำเงิน และม่วง ขอเพียงบำเพ็ญถึงแสงสีชาดก็หมายความว่าวาสนาเซียนเต็มแล้ว รอเพียงบำเพ็ญถึงก็สามารถข้ามผ่านด่านเคราะห์เป็นเซียน
ตอนนี้พลังบำเพ็ญและพลังฤทธิ์ของนางพอเพียงนานแล้ว ขาดเพียงบุญกุศล เวลาสองปีมาถึงขั้นหก แท้จริงไม่ง่ายเลย! …นี่เป็นแสงน้ำเงินเชียว!
แต่ดีใจอยู่ครู่หนึ่งนางก็หยุด “นับไปแล้วข้าเพิ่งทำคดีใหญ่สองคดีอย่างเป็นทางการ ทำไมถึงเลื่อนขั้นเร็วขนาดนี้ ถึงขั้นหกแล้ว?”
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้” หลิวจวิ้นปิดบันทึก คิดสักครู่ก่อนพูดอีก “ไม่แน่ว่าปกติเรื่องโง่ๆ ทั้งหลายที่เจ้าทำก็ถูกนับด้วยกระมัง”
………………………………………………………