มู่จิ่วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “พูดยาก”
ลู่ยาอ้าปากงับจมูกนาง จึงได้กำปั้นนางมาสองกำปั้น
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ลู่ยาก็ยังกังวลเรื่องมู่จิ่วไปร่วมงานเลี้ยงลูกท้อนั้นเล็กน้อย
ประเด็นคืองานเลี้ยงลูกท้อของหวังหมู่เหมือนกับงานชุมนุมวีรบุรุษในหกภพ มีเหล่าคนหนุ่มมากความสามารถหน้าตาหล่อเหลาเยอะนัก ถึงแม้ตัวเขาเองมีความมั่นใจในตัวเองยิ่งนัก แต่ก็ยากจะป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน อย่างไรใจหญิงสาวก็ยากแท้หยั่งถึง
เขาจึงควรแสดงความกังวลของเขากับมู่จิ่วอย่างจริงจัง
มู่จิ่วตีหน้าเขาพลางพูด “วางใจเถอะ ข้าแค่หยอกเจ้าเล่น แม้แต่คนแบบอาจาย์ข้าข้ายังไม่หวั่นไหว แล้วจะหวั่นไหวกับคนอื่นได้อย่างไร? สรุปคือชั่วชีวิตนี้ของข้าเกิดก็เป็นคนของเจ้า ตายก็เป็นผีของเจ้า”
ลู่ยาจึงได้วางใจลงบ้าง
แต่ยังกังวลอยู่หลายส่วน เพราะถึงแม้นางไม่ยุ่งกับคนอื่น ก็ไม่แน่ว่าคนอื่นอาจจะมายุ่งกับนาง แบบนั้นผลสุดท้ายไม่เหมือนกันหรือ?
ยังมีอีก อะไรเรียกว่าคนแบบอาจารย์นาง?
พูดถึงหลิวหยาง เขาพลันนึกขึ้นได้เรื่องที่ให้ซื่ออินไปทำที่หงชาง ผลคือเขาไม่ได้อะไรกลับมาเลย
ซื่ออินบอกว่าไม่พบว่าหลิวหยางมีอะไรผิดปกติ ดูแล้วก็เป็นจินเซียนที่บรรลุธรรมผู้หนึ่ง เขาไม่เชื่อนัก ที่จริงเขาดูเก่งกาจมากในใจมู่จิ่ว ถึงแม้บอกได้ว่าเป็นเพราะความเคารพด้วย แต่เขาสามารถสืบหาชาติก่อนของมู่จิ่วและผลออกมาก็ไม่ผิดเพี้ยน เขาทำได้ขนาดนี้แสดงว่าต้องมีส่วนที่ไม่ธรรมดา
คิดแบบนี้ เขาจึงตัดสินใจไปดูเองดีกว่า
แต่เรื่องนี้ไม่อาจให้มู่จิ่วรู้ ไม่อาจให้นางรู้เด็ดขาดว่าเขาแอบไปสืบเรื่องอาจารย์นาง
วันนี้ตอนเช้ารอนางไปหน่วยงานแล้ว เขาจึงเดินออกมาจากห้อง พูดกับเสี่ยวซิงช้าๆ ว่า “ข้าจะออกไปเดินเล่น ไม่ต้องรอข้ากินข้าว”
เสี่ยวซิงกำลังคิดจะไปเดินเล่นกับซ่างกวนสุ่นพอดี จึงไม่ได้คัดค้านใดๆ
ลู่ยาออกจากประตูสวรรค์แดนใต้ พริบตาเดียวก็ถึงหงชาง
หงชางในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากที่มาครั้งก่อน สงบเงียบเหมือนเดิม พลังวิญญาณเต็มสมบูรณ์ เหล่าสัตว์ปีกปีศาจล้วนอยู่อย่างสงบเสงี่ยม รอบด้านเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสุข เพียงแต่เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ต้นไม้บนเขาราวกับถูกย้อมสี ใบไม้แดงเหมือนแสงอรุโณทัย ต้นหญ้ากลายเป็นสีเหลืองแล้ว ผลไม้ป่าบนเขาก็มีมากขึ้น
เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกเห็น เขาผนึกตนเองให้กลายเป็นจินเซียนก่อน และใช้พลังของจินเซียนกลายร่างเป็นใบไม้แห้งลอยตามลมขึ้นไปบนภูเขา
ตอนนี้การอำพรางร่างไม่ปลอดภัยเท่าการแปลงกายมา เพราะอำพรางร่างสิ้นเปลืองพลังฤทธิ์กว่าการแปลงกายมากนัก อีกทั้งเวลาอำพรางร่าง แต่ละการเคลื่อนไหวล้วนผลักอากาศด้านหน้า ทว่าแปลงกายนั้นไม่ต้อง รวบรวมพลังเล็กน้อย แปลงกายเป็นรูปธรรม ก็ทำให้เล็ดรอดจากการมองเห็นและได้ยิน ไม่กระทบกับการเคลื่อนไหวของอากาศโดยรอบ
แน่นอน นี่เป็นเพียงการพูดเปรียบเปรย หากเจอเข้ากับคนแบบตัวเขา โอกาสหลบหนีก็ยังน้อยนิดอยู่ดี
แต่หลิวหยางจะเป็นคนระดับพวกเขาไปได้อย่างไรเล่า?
เขาเข้าไปในเขตพลัง เห็นด้านหน้าเป็นต้นพลับใหญ่ต้นหนึ่งอยู่นอกกำแพงลาน ตอนนี้ลูกพลับแดงเต็มต้นเหมือนโคมมังกรแขวนอยู่บนต้นไม้ สองคนอ้วนเตี้ยที่อ้วนจนแก้มทั้งสองย้อยลงมาแล้วกำลังหอบหายใจเหยียบไหล่ พลางถือลำไม้ไผ่เตรียมปีนขึ้นไปบนกำแพงเพื่อสอยลูกพลับ เขาโยกลำไม้ไผ่ข้ามหัว ลำไม้ไผ่พลิกไปนอกกำแพง คนก็ร่วงลงไปกับพื้น
ลู่ยาเหนื่อยหน่ายอยู่บ้าง เป่าปราณเซียนออกไปช่วยพวกเขาเด็ดสิบกว่าลูกลงพื้น จากนั้นเคลื่อนเข้าประตูต่อ
แต่ละถ้ำพักอาศัยของหงชางส่วนใหญ่ก็เหมือนกับสำนักอื่น โถงอยู่ด้านหน้า ลานอยู่ด้านหลัง ลานใหญ่หน้าประตูสำนักไว้ใช้รวบรวมพล รับแขก หรือจัดการเรื่องภายในสำนัก ด้านหลังเป็นเรือนของผู้อาวุโสแต่ละคนที่ตั้งอยู่แต่ละยอดเขา แต่เพราะหงชางมียอดเขาหลักเพียงหนึ่งเดียว และยอดเขาก็ใหญ่มากพอ ดังนั้นจึงตั้งอยู่ด้วยกัน เพียงแต่เรือนพักที่อยู่สูงที่สุดดูไปแล้วชัดเจนว่าเป็นระดับชั้นสูง
เขาเคยไปห้องสนครวญมาก่อน พริบตาเดียวเขาก็เจอลานด้านนอกเรือนของหลิวหยาง
ตอนนี้ลมฤดูใบไม้ร่วงกำลังพัดโชย หลิวหยางสวมเสื้อลำลองดูหนังสืออยู่บนตั่ง ในห้องจุดกลิ่นกฤษณา ริมกำแพงมีกิ่งเบญจมาศกำลังออกดอกวางอยู่หลายกิ่ง ใต้หน้าต่างวางพิณโบราณไว้ตัวหนึ่ง นอกหน้าต่างมีเสียงลมพัดป่าไผ่ บนพื้นใบไผ่มีกระเรียนเซียนสองตัวเดินเล่นอยู่ เซียนเต่าที่รับผิดชอบกวาดพื้นกำลังแบกไม้ขนไก่พิงต้นกล้วยงีบหลับ ทั้งในและนอกลานล้วนสงบอย่างมาก
ลู่ยาเข้าไปในประตู มองไปรอบด้านจากในห้อง มองไปที่เท้าหลิวหยาง บนร่างเขา จากนั้นก็ที่ใบหน้า…ไม่อาจไม่ยอมรับได้ ใบหน้านี้ดูดีอย่างแท้จริง คิ้วตาสง่างาม จมูกโด่งเป็นสัน ถึงแม้ริมฝีปากทั้งสองบาง กลับไม่แสดงความเด็ดขาดแม้แต่น้อย ใบหน้าด้านข้างดูไปแล้วค่อนข้างทรงภูมิอ่อนโยน…
ในใจเขารู้สึกอิจฉาอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าอาจิ่วอยู่กับชายคนนี้ถึงสองพันปี
สองพันปีเชียว
เขาสะกดกลั้นอารมณ์ สัมผัสชีพอีกฝ่ายอย่างละเอียด
ชีพจรสงบมาก ในเบื้องต้นพลังบำเพ็ญลึกล้ำยิ่งนัก พลังวิญญาณก็ดี
แต่เพราะยังไม่กล้าปล่อยพลังของเขาออกไป ดังนั้นจึงดูไม่ออกถึงแก่นแท้
หลิวหยางอ่านหนังสืออย่างใจจดใจจ่อ ไม่รู้สึกถึงลู่ยา ดวงตาทั้งสองของหลิวหลางมองหน้าหนังสือ ไม่ขยับอยู่นาน ทันใดนั้นพลันเงยหน้าขึ้นมองไปนอกหน้าต่าง จากนั้นหยิบกระดองเต่าขึ้นมาสองชิ้น ก่อนทำนายบนโต๊ะ
ลู่ยาไม่รู้ว่าเขากำลังทำนายอะไร บนใบหน้าก็ดูไม่ออก
แต่จับตามองเขาไปแบบนี้ กลับพลันรู้สึกว่าเงาร่างนี้คุ้นเคยนัก…
“อาจารย์ จื่อเย่าเจินเหรินแห่งภูเขาหลิวซุนมาเยี่ยมขอรับ”
ตอนนี้ที่หน้าประตูพลันมีเสียงแจ้งของมู่หัวลอยเข้ามา
หลิวหยางรับคำ สายตายังจับจ้องอยู่บนผังดวงชะตาอยู่ชั่วครู่ เขาเก็บกระดองเต่าก่อนยืนขึ้น สะบัดเสื้อเดินออกไป
ครั้นถึงปากประตูเขาพลันพูด “ปิดหน้าต่างเสีย ลมพัดแล้ว ระวังพัดฝุ่นเข้ามา”
มู่หัวตอบรับ สั่งการเซียนเต่าตรงระเบียงทางเดินให้ปิดประตูและเดินไปตรงระเบียงทางเดิน
ตอนนี้ลู่ยายังยืนอยู่ในมุมชั่วคราว ตอนนี้หลิวหยางไม่อยู่ เขาสามารถอำพรางร่างได้แล้ว แต่จนถึงตอนนี้ดูไปแล้วอีกฝ่ายยังไม่มีท่าทีพิเศษอะไร ภูเขานี้ก็ไม่มีอะไรประหลาด อย่างมากก็เพียงกระดูกเซียนปนเปื้อนไปหน่อย หรือมู่จิ่วแค่โอ้อวดไปเท่านั้น ไม่ก็เขาคาดเดามั่วไปเอง?
เซียนเต่าถือไม้ขนไก่เดินเข้ามา
ลู่ยาเดินเล่นอยู่ในห้องราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น มองไปทางนี้มองไปทางนั้น
ในห้องเก็บกวาดได้อย่างสะอาด เทียบกับวังชิงเสวียนของเขาแล้วยังสะอาดกว่าสามส่วน บนกำแพงแขวนภาพอักษร บนโต๊ะวางเครื่องปั้นดินเผาเก่าแก่ ของที่นับได้ว่าโบราณก็ไม่มี เซียนเต่ากวาดเสร็จก็ออกไป เขามองไปรอบด้าน กำลังคิดว่าจะไปดูหลิวหยางที่กำลังรับรองแขกอยู่หรือไม่ สายตาก็ตกไปยังขวดดินเผาเคลือบขวดหนึ่งบนตู้ที่มุมกำแพง จึงเดินเข้าไปทันที
ขวดนี้ขนาดเท่าลูกแตงโม รูปร่างใหญ่ คอเล็ก ปากแคบ ตัวขวดเป็นเนื้อละเอียด บนผิวมีเพียงรอยนิ้วมือเล็กอันหนึ่งใหญ่อันหนึ่ง ลักษณะธรรมดาอย่างมาก
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ยกมือขึ้นกวาดไปบนขวด
ขวดนั้นพลันเปลี่ยนเป็นโปร่งแสง…ไม่ ก็ไม่โปร่งแสงเสียทั้งหมด! เพราะตรงกลางของมันยังซ่อนไม้เท้าเทพหนึ่งด้าม ไม้เท้าเทพพันขึ้นจากไหม และไหมทุกเส้นพันขึ้นมาอย่างไม่มีระเบียบแบบแผน มองอย่างละเอียดอีกที แต่ละเส้นล้วนมีพลังวิญญาณอยู่ด้วย…
“ใครอยู่ที่นั่น?!”
กำลังพิจารณาอย่างละเอียด ด้านนอกพลันมีเสียงตะโกนเข้ามา จากนั้นหน้าต่างก็เปิดออก เงาสีเทาสายหนึ่งผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็วก่อนร่วงลงบนพื้น!
ลู่ยาชักมือกลับทันที จ้องมองสิ่งนั้นบนพื้น จากนั้นสีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยน ชี้เด็กอายุสิบกว่าขวบเกล้าผมจุกสองข้างที่ลุกขึ้นมาช้าๆ หลุดปากพูดว่า “ทำไมเป็นเจ้า!”
……………………………………………………