รุ่ยเจี๋ยกลับเบิกบานใจยิ่งนัก เพราะในที่สุดเขาก็มีเพื่อน แต่ลู่ยาไม่ยินยอมให้เขาเล่นกับจื่อจิ้ง เขาจึงทำได้เพียงเชื่อฟัง
ตลอดเวลาที่กินข้าว ลู่ยาสีหน้าทะมึนตลอดเวลา จื่อจิ้งทำราวกับไม่มีเขาอยู่ เมื่อรู้จักทุกคนแล้วยังพูดคุยเรื่องชิงชิวกับรุ่ยเจี๋ย
เสี่ยวซิงถามมู่จิ่วหลังมื้ออาหาร “ให้เขาพักที่ไหนดีล่ะ?”
ไม่อาจให้พักเรือนของอาฝูได้
มู่จิ่วใคร่ครวญ ก่อนพูดกับซ่างกวนสุ่น “ให้เขาไปพักกับเจ้า?”
“ไม่ได้! ข้าไม่ชอบอยู่กับผู้อื่น!” ซ่างกวนสุ่นเก็บชามตะเกียบเดินเข้าเรือนไป
นางทำได้เพียงไปถามรุ่ยเจี๋ย รุ่ยเจี๋ยยังไม่ทันตอบ ลู่ยากลับชิงตอบก่อน “ระเบียงทางเดินในลานบ้าน หรือว่าวางกระดิ่งอันหนึ่งไว้ไม่ได้?”
จื่อจิ้งอยากต่อต้าน แต่ลู่ยาส่งสายตาคมกริบไปให้ เขาจึงอดกลั้นไว้
ลู่ยาไม่ให้รุ่ยเจี๋ยเข้าใกล้เขา เด็กนั่นเลวเกินไป และรุ่ยเจี๋ยก็ว่าง่ายเกินไป ใครจะรู้ จื่อจิ้งอาจวางหลุมพรางไว้ให้เขาก็เป็นได้?
มู่จิ่วโบกมือ “แบบนั้นข้าก็จนปัญญา เจ้าจัดการเองเถิด”
อย่างไรเด็กนี่ก็ไม่ใช่คนดีอะไร และไม่ใช่นางที่เชิญเขามา ในเมื่อลู่ยาไม่ยินยอม บุญคุณความแค้นของพวกเขาก็มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่จะจัดการกันเองได้ แต่นางก็สงสัยอย่างมาก เป็นไปได้อย่างไรที่ลู่ยาจะจัดการกระดิ่งอันหนึ่งไม่ได้? ถึงแม้หุนคุนส่งมาจับตามอง แต่เขามหาเทพลู่ก็ไม่เหมือนคนที่ยอมทนให้ใครรังแกได้เลย!
นางยังรู้สึกว่าพวกเขาทั้งสองมีลับลมคมในกัน รอลู่ยากลับห้องแล้วจึงเดินเข้าไปถามด้วยตนเอง แต่เขาปากแข็งตอบเพียงว่าไม่มี ไม่ว่านางใช้ไม้แข็งไม้อ่อนหลอกล่ออย่างไรเขาก็ตอบว่าไม่มี จนสุดท้ายแม้แต่นางเองก็รู้สึกว่าตนเองไม่เข้าใจอยู่บ้าง
จื่อจิ้งโกรธจนจมูกงอ เขาเห็นชัดเจนว่าด้านในยังมีห้องว่างที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว! แต่เป็นตายลู่ยาก็ไม่ยอมให้เขาเข้าไป ทั้งยังสร้างเขตพลังไว้ จึงจนปัญญา อีกอย่างเขาสามารถรอดภายใต้เงื้อมมือลู่ยาคนระยำนั่นมาได้ก็ไม่ง่ายแล้ว ส่วนเรื่องไม่มีห้องอยู่ก็อดทนไป อย่างไรตอนอยู่ที่วังจิตกระจ่างเขาก็นอนบนชั้นไม้
แน่นอน ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องทรมานตนเองแบบนี้ แต่ทุกครั้งเมื่อนึกถึงว่าเจ้าคนระยำนี่เกือบเผาเขาจนมอดไหม้ความโกรธนี้ก็ไม่อาจดับลงได้ แต่เดิมทำได้เพียงซ่อนความโกรธไว้ ไม่รู้ว่าจะลงกับเขาอย่างไร ไหนเลยจะรู้ว่ากลับเจออีกฝ่ายที่ภูเขาหงชางอย่างไม่คาดฝัน ทำให้เขาเชื่อจริงๆ ว่าแม้แต่ปฐมวิญญาณยังสนับสนุนให้เขาดัดนิสัยเจ้าคนเลวนี่!
ไม่ง่ายนักที่เขาจะได้โอกาสเอาคืน หากเขาไม่ใช้ประโยชน์ให้ดีจะชดเชยให้ตนเองได้อย่างไร?
หากว่าทำอะไรลู่ยาไม่ได้ ก็ต้องลอยหน้าลอยตาอยู่ต่อหน้าไปทุกวัน ขัดหูขัดตาไปทั้งวัน!
จื่อจิ้งสะกดกลั้นอารมณ์โกรธ ลากเขตพลังไว้ที่ระเบียงทางเดิน
เสี่ยวซิงยังนับว่าใจดี ให้ผ้าห่มกับหมอนเขา ยังบอกเขาอีกว่าน้ำชาตั้งไว้ตรงไหน ทำให้เขาตัดสินใจว่าภายภาคหน้าจะปฏิบัติต่อปีศาจกระต่ายนี่ให้ดีหน่อย
การมาของจื่อจิ้งในช่วงนี้ยังไม่ได้กระทบอะไรกับการใช้ชีวิตของมู่จิ่ว เพราะนางยุ่งมาก อีกอย่างวันถัดไปก็มีงานเลี้ยงลูกท้อ นางเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับเชิญ ยังรู้สึกว่าได้รับเกียรติอย่างมาก ระดับความสำคัญของเรื่องนี้ทำให้นางไม่สนใจเรื่องอื่น
ดังนั้นตกกลางคืนนางจึงเริ่มเตรียมตัว ในเมื่อต้องไปงานเลี้ยง แน่นอนว่าต้องแต่งตัวให้งดงาม นางไม่อาจสวมชุดราชการไปได้ ก่อนอื่นจึงเลือกเสื้อสีเขียวอ่อนสดใสออกมาตัวหนึ่ง จับคู่กับกำไลหยกเขียว จากนั้นประดับดอกไม้จากผ้าไหมสีเหลืองขนห่านสองดอก คล้องต่างหูหยกคู่หนึ่งก็พอใช้ได้แล้ว เมื่อสวมเสร็จส่องหน้ากระจก เสี่ยวซิงปรบมือชื่นชมทันที
ตัวนางเองจะพูดอย่างไรดี ถึงแม้เทียบไม่ได้กับความงามหยาดเยิ้มของเซียนหญิงส่วนใหญ่ แต่อย่างน้อยก็นับว่าไม่เลว
นางหมุนอยู่หน้ากระจกอย่างยินดี ไม่ได้แต่งตัวแบบนี้นานแล้ว! ลู่ยากลับกอดอกพิงกรอบประตู พูดอย่างหึงหวงเต็มทน “แต่งสีเขียวขนาดนี้ยังประดับดอกไม้เหลืองอีก ดูไปแล้วทำไมเหมือนปีศาจแตงกวาที่ส่วนหัวมีหนามเหลือง!” ตั้งใจแต่งตัวขนาดนี้ ไม่ได้เพื่อให้เขาดูเสียหน่อย
มู่จิ่วหันหน้ากลับไปถลึงตาใส่ “เจ้าสิเป็นปีศาจฟักเขียว!” รสนิยมของนางแย่ขนาดนั้นเลย?
ลู่ยาเข้ามาใกล้ “ปีศาจฟักเขียวคู่กับปีศาจแตงกวา นี่สิถึงเป็นคู่แท้”
มู่จิ่วมองเขาตาขวาง คร้านจะสนใจเขา แต่เมื่อมองกระจกอีกครั้งก็รู้สึกประหลาด เมื่อครู่ยังรู้สึกว่าแต่งตัวได้ไม่เลวอยู่ แต่เขาพูดแบบนี้ใส่ ก็พลันรู้สึกว่าเหมือนแตงกวาอย่างที่ว่าเล็กน้อย ดังนั้นจึงเอาดอกไม้ประดับสีเหลืองออก เปลี่ยนเป็นสีม่วง ดูไปแล้วก็ไม่เลวเหมือนกัน
“นี่เป็นปีศาจมะเขือ เจ้าไม่รู้หรือว่าดอกของมะเขือเป็นสีม่วง?”
นางไม่รู้ว่าเขารู้ แต่ก่อนเขาไปเดินเล่นที่สวนของหุนคุนบ่อย
มู่จิ่วชักฉุน ทำได้เพียงเปลี่ยนมาปักปิ่นทองสองอันเสียเลย
“เด็กสาววัยเยาว์สวมสีทองใส่สีเงิน บ้านนอก…”
มู่จิ่วพุ่งเข้าไปคว้าคอเขา “เจ้าลองบ่นอีกสิ!”
ลู่ยาจึงปิดปากอย่างเชื่อฟัง
มู่จิ่วถลึงตาใส่เขาก่อนคลายมือออก ครุ่นคิดก่อนเข้าไปเปลี่ยนเป็นเสื้อสีขาว เสื้อขาวจับคู่กับเครื่องประดับใดก็เหมาะสม ตอนนี้เขาคงไม่มีทางบ่นมั่วซั่วได้อีกกระมัง?
ลู่ยายิ่งทนดูต่อไปไม่ได้ พลังฤทธิ์ของนางเดิมก็สะอาดบริสุทธิ์ ยิ่งสวมเสื้อสีขาวยิ่งขับเน้นคุณสมบัตินั้นออกมา
เซียนหนุ่มเหล่านั้นส่วนใหญ่มองงานนี้เป็นงานดูตัว แต่งตัวไปแบบนี้ยิ่งหนักกว่า?
“หวังหมู่ดีร้ายก็เป็นราชินีสวรรค์ เจ้าแต่งกายเรียบง่ายไปจะเหมาะสมหรือ? อย่างไรก็ต้องเคารพนางหน่อย”
มีใครบอกหรือว่าไปร่วมงานเลี้ยงห้ามแต่งกายเรียบง่าย?
มู่จิ่วมีโทสะลุกโชน กำลังจะเอาเรื่องเขา เขากลับพลันเสกเสื้อเขียวกระโปรงเขียวมาให้นาง “ข้าคิดว่าแต่งตัวเช่นนี้เหมาะสมยิ่งนัก”
มู่จิ่วหยิบมาดู ก่อนรีบยัดเสื้อใส่อกเขาอย่างแรง “เจ้าใส่เองเถอะ!”
กลับเอาเสื้อที่เหล่าป้าๆ ใส่มาให้นาง เขาเสียสติไปแล้วหรือ?
ลู่ยาถูกผลักออกไปอย่างเย็นชา
หลังจากออกมากำลังจะเคาะประตู แสงโคมด้านในกลับดับลง
เขาเพียงแค่ออกความเห็นไม่กี่ประโยค แม้แต่คำวิจารณ์ยังไม่ให้เขาพูดเลย นางช่างกล้านัก!
แต่คิดดูแล้วเขายังไม่พอใจ เซียนหนุ่มเยอะขนาดนั้น และแต่ละคนท่าทางเป็นผู้เป็นคน นางแต่งตัวดึงดูดสายตาขนาดนี้ ทั้งยังเป็นครั้งแรกที่เข้าร่วมงานเลี้ยงแบบนี้ ไม่แน่ว่าอาจดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมาก ตอนนี้เขาแต่งงานกับนางไม่ได้ นางที่เป็นหัวเสินกลับสามารถแต่งงานกับคนที่บำเพ็ญเป็นเซียนเหมือนกัน หากเรื่องนี้เกิดขึ้น…
เขาไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นแน่
ดังนั้นหลังจากใคร่ครวญแล้ว เขาจึงไปสะกิดจื่อจิ้งที่ระเบียงทางเดิน “เจ้าไปส่งข่าวที่วังหลิงเซียวให้ข้า!”
มู่จิ่วไม่สนใจลู่ยา เช้าวันถัดมาสุดท้ายก็สวมเสื้อสีขาวนั่น จากนั้นประดับปิ่นไม้ดำสองอัน แต่งหน้าบางๆ ออกไป ถึงแม้นางไม่คิดว่าตนเองจะสามารถดึงดูดมวลหมู่ภมรได้ แต่อย่างไรนางก็เป็นคนมีคู่หมั้นแล้ว ควรต้องใส่ใจความรู้สึกของคู่หมั้น จะเอาชนะคะคานกันก็ไม่ดีเท่าไหร่นัก?
เสี่ยวซิงสงสารนาง “เจ้าดูเจ้าสิ ตั้งแต่เจ้ามีเขา ตอนนี้แม้แต่เรื่องเสื้อผ้าก็ไม่มีอิสระแล้ว”
มู่จิ่วตอบกลับอย่างสงบ “แบบนี้ก็ดีมากแล้ว อย่างไรข้าก็ไม่ใช่เซียนจริงๆ เจียมเนื้อเจียมตัวไว้หน่อยเป็นดี”
เสี่ยวซิงมองค้อนนาง ก่อนเดินจากไป
มู่จิ่วไม่เห็นการเคลื่อนไหวในห้องลู่ยา จึงออกเดินทางไป
…………………………………………………………