งานอารักขาของวันนี้เตรียมการไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ในความเป็นจริงแขกทั้งหมดที่มายังสวรรค์ล้วนเป็นมือดีในการวิวาท พูดโดยทั่วไปก็ไม่น่ามีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วเพียงดูแลเรื่องภายในของตนเองไม่ให้มีเรื่องวุ่นวายอะไร งานอารักขานี้ก็นับว่าสำเร็จแล้ว
หลิวจวิ้นเคยมาร่วมงานเลี้ยงลูกท้อหลายครั้งแล้ว มั่นใจว่าจะจัดการงานได้เรียบร้อย วันนี้ก็มีเวลาว่างเข้าไปกินลูกท้อและเดินเล่นเช่นกัน
มู่จิ่วเป็นผู้ติดตามเขา ย่อมต้องเดินตามเขา
ดังนั้นนางจึงมุ่งตรงไปยังที่พำนักเซียนของเขา หลิวจวิ้นแต่งตัวเสร็จแล้ว ตอนนี้เขาไม่ได้ใส่ชุดเครื่องแบบ เปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมยาวสีดำ ปักขอบสีเงินไว้ที่ริมผ้า ปล่อยผมลงมา สวมครอบศีรษะทรงสูงสีเดียวกับเสื้อ ดูไปแล้วทั้งสง่างามและน่าเกรงขาม เทียบกับเขาในเวลาปกติแล้วหล่อเหลากว่าไม่รู้ตั้งเท่าไหร่
แต่มู่จิ่วมองเขาแล้วมองเขาอีก ก่อนมองตัวเองแล้วมองตัวเองอีก จากนั้นเอ่ยว่า “ท่านดูสิ พวกเราคนหนึ่งชุดดำคนหนึ่งชุดขาว อีกสักครู่เข้าไปในงานผู้คนคงไม่คิดว่าเราเป็นยมทูตขาวดำหรอกนะเจ้าคะ?”
หลิวจวิ้นไม่สบอารมณ์ “ใครใช้ให้เจ้าสวมสีขาว!”
มู่จิ่วนิ่งอึ้ง เขาก็ไม่ได้บอกนางว่าจะใส่ชุดดำสักหน่อย! จะโทษนางได้อย่างไร?
“ยังยืนนิ่งทำอะไรอีก? เจ้าอยากเข้างานเป็นคนสุดท้ายหรือ?”
หลิวจวิ้นถลึงตาใส่นาง
มู่จิ่วรีบตาม เดินทางไปวังหลิงเซียวกับเขา
เพราะระยะทางสั้นมาก ดังนั้นไม่จำเป็นต้องใช้พาหนะ และไม่จำเป็นต้องขี่อาชาสวรรค์ เดินเท้าไม่นานก็ถึงด้านนอกวังหลิงเซียวแล้ว
เมื่อมองไปบนถนนล้วนเต็มไปด้วยเทพเซียนจากหลากทิศ โดยทั่วไปแล้วมู่จิ่วไม่รู้จัก แต่หลิวจวิ้นกลับเหมือนกับรู้จักมักคุ้นไปเสียทุกคน บ้างก็หยุดฝีเท้าทักทาย หรือไม่ว่างเข้าไปทักทายก็พยักหน้ารับ โดยเฉพาะราชามังกรสี่ทะเล ตอนเห็นเขาก็วิ่งเข้ามาหาแต่ไกล
เรื่องตระกูลอ๋าวทำให้หลิวจวิ้นแนะนำมู่จิ่วกับอ๋าวก่วงเสียยิ่งใหญ่ อ๋าวก่วงชายชราผู้ทระนงตัวกลับปฏิบัติต่อนางอย่างเกรงอกเกรงใจยิ่ง ดูแล้วอ๋าวเชินคงไม่ได้พูดถึงนางในด้านเสียหายต่อหน้าพ่อเขา
เข้าไปภายในจากปราการเซียนหน้าประตูวัง คนด้านในยิ่งมีมากกว่า!
งานเลี้ยงลูกท้อจัดอยู่ที่สระหยก เพื่อไม่ให้รบกวนการจัดการงานราชการที่ตำหนักด้านหน้า ก่อนหน้านี้หลายปี สระหยกจึงสร้างประตูแยกออกมาบานหนึ่ง ใช้สำหรับรับแขกโดยเฉพาะ วันนี้ประตูที่ทุกคนเดินเข้ามาก็คือประตูนี้
อาณาบริเวณของสระหยกใหญ่ราวหลายหมื่นมู่ แน่นอนว่าไม่ได้เป็นน้ำทั้งหมด มีภูเขามีพื้นราบ ยังมีลำธารสะพานน้อย หอคอยและศาลาริมน้ำ อีกทั้งเสียงดนตรีสูงๆ ต่ำๆ ที่ไม่รู้มาจากไหน ลอยมาแผ่วๆ ราวกับห่างไปหมื่นลี้ แต่เสียงกลับได้ยินชัดเจน วิหคแดงกับชิงหลวนบางครั้งปรากฏตัวบางครั้งหายไป สัตว์วิเศษสัตว์ประหลาดจำนวนมากจนไม่อาจนับได้ เป็นสวนป่าอันหรูหราในแดนเซียนอย่างแท้จริง
ตอนนี้ยังเช้าอยู่ เหล่าเทพเซียนคงยังมาไม่หมด
เก้าอี้โต๊ะที่ตั้งไว้แต่ละที่ยังไม่มีคน กลับมีเพียงกลุ่มสองสามคนพูดคุยเรื่องวันวาน หวังหมู่ที่แต่งกายอย่างประณีตกำลังเข้าร่วมงานกับองค์หญิงทั้งสาม แต่สีหน้ากลับดูเคร่งเครียดนัก และยังมองไปทางประตูบ่อยครั้ง ทั้งวันนี้แม้แต่อวี้ตี้ยังมีท่าทางตึงเครียด จัดมงกุฎไม่หยุด ลูบรอบยับบนแขนเสื้อไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง
มองไปทางองค์หญิงทั้งสามและองค์ชายทั้งสอง แต่ละคนมีท่าทางไม่กล้าเลินเล่อ
นี่ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก วันนี้มิใช่งานแต่งของคนในครอบครัวเสียหน่อย เหตุใดพวกเขาต้องจริงจังถึงเพียงนี้?
มู่จิ่วขึ้นไปทำความเคารพอย่างงุนงง หวังหมู่รีบเรียกนางเข้ามาพูด “อีกสักครู่เจ้าไปอยู่ที่ที่คนน้อย ประเดี๋ยวจะมีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่มา เจ้ายังไม่เป็นเซียน หากเจ้าเข้าใกล้หรือชนเข้า ต่อไปย่อมไม่มีโอกาสสำเร็จเป็นเซียนแล้ว!” จากนั้นพึมพำบ่นตนเอง “ข้านี่ก็จริงๆ ให้เจ้ามาทำอะไร! ดูพลังบำเพ็ญอันน้อยนิดของเจ้าสิ”
มู่จิ่วได้ยินก็ตกใจ ไม่รู้ว่าวันนี้ยังต้องเจอเรื่องใหญ่หาได้ยากขนาดนี้!
ไม่รู้ว่าเป็นบุคคลยิ่งใหญ่จากไหน?
นางรีบไปบอกหลิวจวิ้น จากนั้นยืนนิ่งอยู่ใต้กิ่งไม้ที่มีคนน้อย หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ทำลายหนทางฝึกบำเพ็ญ
รอไปสักครู่ก็ไม่เห็นมีความเคลื่อนไหว ได้ยินเซียนหญิงรอบกายพูดคุย จึงเดินเข้าไปถาม “สอบถามสักหน่อย เซียนหญิงรู้หรือไม่ว่าวันนี้มีเทพผู้ยิ่งใหญ่ท่านไหนมาหรือเจ้าคะ?”
เหล่าเซียนหญิงมองหน้ากัน “ไม่ได้ยินมาก่อนนะ”
มู่จิ่วตกตะลึง พวกนางกลับไม่รู้?
นางจึงสอบถามเซียนชายอีกสองคน ก็ไม่รู้เช่นเดียวกัน
ลึกลับขนาดนี้เชียว?
หวังหมู่คงไม่หลอกลวงกระมัง?
มู่จิ่วหยิบหมีโหวเถา (กีวี) จากบนโต๊ะมาปอกเปลือกกิน ท่าทางเคร่งเครียดเมื่อครู่ค่อยๆ หายไป
แต่เพิ่งกินไปได้ครึ่งผล พลันมีเสียงดนตรีดังเข้ามาใกล้ จากนั้นก็มีเสียงนกหงส์ร้องตามมา เมฆห้าสีที่แต่เดิมลอยอยู่ในอากาศพลันถูกไอมงคลปัดเป่าออกไป…ไม่สิ ควรจะบอกว่าก้มหน้าคำนับต่อหน้ามัน เมฆห้าสีที่กระจายออกไปล้อมรอบไอมงคลผืนใหญ่ไร้แรงคุกคามไว้!
จากนั้นหงส์ทองห้าสีสิบสองตัวเข้ามาก่อน ตามด้วยเซียนหญิงรับใช้ถือพัดอีกสองแถว
ทั้งยังมีผู้รับใช้ในวังสวมเสื้อนักพรตสีเดียวกัน แบกอาวุธน่าเกรงขามและแข็งแกร่งแต่ละอย่างตามมา เบื้องหลังไปอีกหามเกี้ยวหยกหน้าหลังยาวประมาณเจ็ดแปดจั้ง ซ้ายขวากว้างราวสามสี่จั้ง แต่เกี้ยวหยกที่เกรียงไกรขนาดนี้ ขนาดที่นั่งที่คนนั่งได้จริงนั้นกว้างไม่เกินหกฉื่อ ยาวจั้งกว่า ด้านหน้าและด้านหลังของเกี้ยวมีม่านโปร่งแสงแขวนอยู่ ถึงแม้มองเห็นใบหน้าไม่ชัด แต่ด้านในมีคนหนึ่งนั่งอยู่!
เป็นบุคคลที่วางตัวสบายๆ และแม้ห่างออกไปหลายร้อยลี้ก็ยังทำให้คนรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน!
ความจริงมู่จิ่วยังห่างจากขบวนนี้อีกสิบกว่าลี้ แต่นางกลับรู้สึกราวกับว่าคนด้านในเกี้ยวกำลังมองนาง และกองอารักขาที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เห็นแล้วรู้สึกว่าคุ้นตาอยู่หลายส่วน…
“คารวะขบวนของเซิ่งจุนสี่!”
กำลังครุ่นคิดว่าเป็นใคร ทันใดนั้นเทพเซียนทั้งสระหยกก็คุกเข่าลงไป
มู่จิ่วถือหมีโหวเถาครึ่งผลนั้นด้วยความสับสน!
ลู่ยามาแล้ว!
เขากลับเตรียมขบวนใหญ่ขนาดนี้มาเชียว?
เขาจะมาร่วมงานแต่ไม่บอกนางสักคำ!
นางมิใช่มาร่วมงานเพื่อเปิดหูเปิดตาเท่านั้นหรือ หึงก็ส่วนหึง เขาจำเป็นต้องควบคุมนางขนาดนี้เลย?
นางนิ่งอึ้งไม่สำคัญ แต่เทพเซียนทั้งบริเวณล้วนคุกเข่าลง มีเพียงนางยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น โดดเด่นสะดุดตาเกินไปแล้ว!
อวี้ตี้ หวังหมู่ และเหม่ยอิง รวมทั้งหลิวจวิ้นร้อนรนจนเหงื่อตกแล้ว! บนฟ้าใต้พิภพมีใครไม่รู้บ้างว่าบนสวรรค์อันสูงส่งมีท่านเทพองค์นี้ที่ไม่สมควรมีเรื่องด้วยที่สุด? เด็กสาวนี้กลับไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรในเวลานี้ หรือว่านางไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!
“กัวมู่จิ่ว! ยังไม่คุกเข่าลงมาอีก!”
หลิวจวิ้นไม่คำนึงถึงอะไรแล้ว เคลื่อนตัวเหมือนปูเข้าไปขวางตรงหน้านางทั้งที่ยังคุกเข่าอยู่ ก่อนแยกเขี้ยวยิงฟันเรียกนาง
มู่จิ่วอึดอัดใจ เจ้าคนนั้นบนเกี้ยวนั่น เมื่อคืนวานยังโดนนางบีบคออยู่เลย ตอนนี้พวกเขาให้นางคุกเข่าให้เขา? แต่ก็ไม่อาจไม่คุกเข่า นางยืนเป็นเสาอยู่แบบนี้ หรือว่าอยากให้คนอื่นรู้ว่านางกับคนที่ตั้งใจมาวางก้ามมีสัมพันธ์ฉันชายหญิงกัน? เช่นนั้นต้องตกหลุมที่คนระยำนั่นวางไว้แน่ อยากให้ทุกคนรู้เรื่อง แล้วหลังจากนี้นางจะปฏิบัติงานที่หน่วยอย่างไร? จะสะสมบุญกุศลอย่างไร?
ดังนั้นนางจึงร้องเสียงดัง “เซิ่งจุนโปรดอภัย” จากนั้นคุกเข่าลงไป หมอบกราบ จริงใจกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
ใจของหวังหมู่นับได้ว่าสงบลง
ครั้นเงยหน้าขึ้นมองเกี้ยวหยกที่สงบนิ่งไม่ขยับกลางอากาศ ใจที่เพิ่งสงบลงก็เต้นรัวขึ้นมาอีกครั้ง นางกล่าว “ถึงแม้กัวมู่จิ่วยังไม่สำเร็จเป็นเซียน แต่นางสร้างผลงานให้กับทัพทหารสวรรค์มาก เพราะไม่รู้ว่าวันนี้เซิ่งจุนสละเวลามา จึงให้นางออกมาเปิดหูเปิดตา หากมีสิ่งใดล่วงเกินท่าน ขอให้เห็นแก่คุณงามความดีของนาง ละเว้นนางด้วยเถิด”
…………………………………………………