อาฝูได้ยินเสียงเขาก็พลันกระโดดลงพื้น อุ้งเท้าทั้งสี่หมอบทำความเคารพอย่างเป็นทางการ แต่เขาพูดไม่เป็น คำถามของลู่ยาเขาก็ตอบไม่ได้ เพียงใช้อุ้งเท้าที่ใส่ปลอกแขนนั้นแตะมือลู่ยา
ลู่ยาประคองอุ้งเท้าข้างนั้นไว้ ลูบด้านในของปลอกแขน หยิบจดหมายที่ติดอยู่ออกมา
“เขียนอะไรไว้?” มู่จิ่วเดินมา นางก็กังวลยิ่งนักว่าตอนนี้โหย่วเจียงเป็นอย่างไรบ้าง
“โหย่วเจียงทำสงครามกับหนานเซียง เซวียนหยวนฮุ่ยใช้อำนาจควบคุมโหย่วซยง ตอนนี้ทำลายโหย่วซยง และส่งทหารจำนวนมากเข้าประชิดโหย่วเจียง” ลู่ยาขมวดคิ้วพูด “ตอนนี้สถานการณ์ของโหย่วเจียงวิกฤต ซื่ออินถูกเซวียนหหยวนฮุ่ยจับตัวไปในสนามรบ เหลียงจีสวมเกราะเข้าสู่สนามรบเพื่อช่วยเขา รบกันสามครั้งพ่ายแพ้กลับมา นางส่งอาฝูมาบอกข่าว!”
มู่จิ่วตื่นตกใจทันที “หนักหนาถึงเพียงนี้?”
ถึงแม้ตอนที่พวกเขากลับไปก็คาดเดาได้แล้วว่าเซวียนหยวนฮุ่ยคงไม่อยู่อย่างสงบแน่ แต่คิดไม่ถึงว่าเวลาสั้นๆ ขนาดนี้เขาจะยึดครองโหย่วซยงได้แล้ว นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องที่เขาเข้าสู่หนทางสายมาร แต่ยังเป็นปัญหาเรื่องการดำรงอยู่ของชนเผ่าต่างๆ ในถิ่นทุรกันดารทางเหนือทั้งหมด
“เซวียนหยวนฮุ่ยทำไมถึงได้เก่งกาจขึ้นขนาดนี้?” นางถาม
“ข้าเดาว่าวิญญาณร้ายหลอมเสร็จแล้ว” ลู่ยาเก็บจดหมายไปก่อนตอบ
“วิญญาณร้ายนั่นหลอมเสร็จแล้วจะร้ายกาจขนาดนี้เลยหรือ?” มู่จิ่วไม่เข้าใจอยู่บ้าง วันนั้นเขาบอกไม่ใช่หรือว่าหากใช้เพียงวิญญาณร้ายและวิญญาณเทพก็จะไม่มีปัญหาอะไรมากมาย?
“ไม่นับว่าร้ายกาจ” ลู่ยาบอก “เป็นเพียงวิญญาณของภพหนึ่ง ช่วยทำสงครามไม่เป็นปัญหา แต่นอกจากนี้แล้ว เซวียนหยวนฮุ่ยอาจใช้วิญญาณร้ายนี้เพิ่มพลัง และฝึกวิชาที่ยิ่งสูงส่งขึ้นไปอีก เช่นประเภทค่ายกลพันมารที่เหมาะในการหลอมวิญญาณมืด”
“ค่ายกลพันมาร?”
“มันคือค่ายกลสงครามของสกุลเสินหนงที่เมื่อก่อนชือโหยวใช้กับสกุลเซวียนหยวน โหดร้ายยิ่งนัก ทั้งรวดเร็วและรุนแรง สามารถใช้ค่ายกลนี้กวาดล้างอาณาจักรโหย่วซยงได้ภายในสามวันโดยไม่มีปัญหา” ตอนนี้จื่อจิ้งไพล่มือเงยหน้า เอ่ยแทรกขึ้นมา “เหล่าคนประสบการณ์น้อยอย่างพวกเจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อนย่อมไม่แปลก”
“เด็กน้อย เจ้าหาว่าใครประสบการณ์น้อย?!”
ซ่างกวนสุ่นในตอนนั้นก็เป็นเด็กวัยรุ่นถือดีที่แข็งแกร่งแล้ว คำพูดโอ้อวดประเภทนี้ขัดหูยิ่งนัก เขาเหยียบเท้าข้างหนึ่งบนขอบม้าหินก่อนพูด “เจ้าดูให้ชัด รุ่ยเจี๋ย อาฝู และยังมีข้า พวกเราทั้งสามเป็นเผ่าเทพ หากไม่นับพวกเขาทั้งสอง ข้าคนเดียวเปลี่ยนร่างเป็นคนมานานหลายปีแล้ว เจ้าดูสิ ความสูงเท่าเม็ดถั่วอย่างเจ้ายังกล้ามาพูดเรื่องประสบการณ์กับข้า?”
จื่อจิ้งถอยไปสองก้าวพลางชี้หน้าเขา “เป็นคนอย่างน้อยก็ควรมีความเคารพขั้นพื้นฐานแก่ผู้อื่น ไม่ให้เจ้าพูดเรื่องส่วนสูง!”
“เอาละ เอาละ” มู่จิ่วห้ามทัพ “ทะเลาะอะไรกัน? เรากำลังพูดเรื่องจริงจังอยู่!” จากนั้นพูดกับลู่ยา “ในเมื่อเรื่องเร่งด่วนขนาดนี้ แบบนั้นพวกเรารีบไปกันเถอะ! หากสายไปไม่แน่ว่าซื่ออินอาจจะแย่!”
ไม่ง่ายนักกว่าอาฝูจะพบเจอพ่อแม่ นางไม่อยากให้เขากลายเป็นเด็กกำพร้า
อีกอย่าง ดูจากรูปการณ์ตอนนี้ สถานการณ์ทางเหนือเข้าขั้นวิกฤต
ลู่ยาพยักหน้า “เจ้าเก็บของเสียหน่อย พวกเราออกเดินทางทันที” กล่าวจบก็หันหลับมาจับจื่อจิ้งไว้กลางอากาศ “เจ้าก็เตรียมตัวด้วย!”
“ให้ข้าไปทำอะไร?!” จื่อจิ้งชี้จมูกตัวเอง “ถิ่นทุรกันดารทางเหนือไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเลย!”
ลู่ยายิ้มเยาะ “เรื่องสำคัญอย่างการทำสงครามเช่นนี้ ไม่พาบรรพชนของเทพหายนะอย่างเจ้าไป คงจะหมดสนุกมาก!”
พูดจบก็โยนเขาลงแล้วกลับห้องไป
จื่อจิ้งกุมก้นลุกขึ้นมา ชี้แผ่นหลังเขาพร้อมด่าทอเสียงดัง
มู่จิ่วยักไหล่ก่อนกลับห้องไปเช่นกัน
อาฝูไม่ได้กลับมานาน คิดไม่ถึงว่ามาเพราะเรื่องสำคัญแบบนี้ ทุกคนยังไม่ทันได้รำลึกความหลังก็ต้องเตรียมตัวเดินทาง
มู่จิ่วก็ไม่มีอะไรต้องเตรียมตัว กลับห้องหยิบของที่ใช้ประจำสองสามชิ้นค่อยออกมา เห็นรุ่ยเจี๋ยกับเสี่ยวซิงดูอาฝูกินเนื้ออยู่ที่ระเบียงทางเดิน จึงเรียกซ่างกวนสุ่นมา “เจ้าช่วยข้าไปแจ้งหลิวจวิ้นที่หน่วยสักหน่อย บอกว่าข้าไปทำธุระที่ถิ่นทุรกันดารทางเหนือเล็กน้อย พวกเราเพียงไปดู จะรีบกลับมา ให้เขาอนุญาตลาพักที”
ความจริงถึงนางไม่ส่งซ่างกวนสุ่นไปก็คงไม่เกิดเรื่องใหญ่ ในเมื่อหลิวจวิ้นรู้แล้วว่าลู่หยาคือลู่ยา ย่อมไม่หลับหูหลับตาเตะนางออกจากทัพทหารสวรรค์ แต่อย่างไรนางก็เป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์ เข้ามาแล้วต้องทำตามกฎ และหลิวจวิ้นก็ผ่อนปรนให้แก่นางมากแล้ว อย่างที่ ‘บรรพชนเทพหายนะ’ กล่าวไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีความเคารพขั้นพื้นฐานต่อผู้อื่น
รอจนอาฝูกินเนื้ออิ่ม ลู่ยาก็ออกมา เขาลากจื่อจิ้งขึ้นมาบนเมฆ ก่อนออกเดินทางไปยังดินแดนทุรกันดารทางเหนือ
จื่อจิ้งก่นด่าสาปแช่งไปตลอดทาง อย่างไรลู่ยาก็ฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่สนใจเขา
มู่จิ่วกอดอาฝูนั่งบนเมฆ กังวลเรื่องพวกซื่ออินแทนเขา ไม่มีอารมณ์สนใจจื่อจิ้งเหมือนกัน
ไม่นานจึงเห็นภูเขาจิตอสุนีบาต ผ่านไปอีกสักพักก็ข้ามแผ่นดินทุรกันดารไปหลายร้อยลี้ เข้าสู่แผ่นดินเขียวขจี ทิวเขาหมู่บ้าน ทุ่งนาแปลงผัก จากนั้นก็เป็นตัวเมือง ความมีชีวิตชีวาแต่ละอย่างปรากฏออกมา
ไกลออกไปอีกหน่อยเห็นกองทัพทหารกองใหญ่ นายพลเทพทหารเทพปิดล้อมประตูเมืองอย่างมิดชิด เหนือประตูเมืองก็เต็มไปด้วยทหารกล้า
เมื่อเห็นเสือขาวที่รวมตัวอยู่บนภูเขา มู่จิ่วจึงรู้ว่าถึงอาณาจักรโหย่วเจียงแล้ว
ไม่ผิดจากที่คาด เมฆร่อนต่ำลง อาฝูยืดขาหน้าลุกขึ้น ไม่เพียงสีหน้าที่เปลี่ยนไปกระวนกระวาย แต่แววตาก็ร้อนรน
ในที่สุดจื่อจิ้งก็หยุดก่นด่าสาปแช่ง
เมฆมุ่งตรงไปเมืองหลวงของโหย่วเจียง เมืองหลวงคือเมืองอิ่งที่ตั้งอยู่บนเนื้อที่ส่วนเหนือทั้งหมดกลางอาณาจักรโหย่วเจียง ไฟสงครามยังเข้ามาไม่ถึงเมืองชั้นใน ประชาชนในเมืองนับได้ว่ายังอยู่อย่างสงบสุข บนถนนหญิงสาวจูงมือเด็กน้อยต่อราคาสินค้ากับผู้ขาย พ่อค้าทั้งหลายพิงกรอบประตูเจรจาการค้า เหล่านักเรียนเพิ่งออกมาจากโรงเรียน กระโดดโลดเต้นพูดเล่นอย่างมีความสุขราวกับนกน้อย
แต่เมื่อมีนายพลทหารขี่อาชาผ่านไป ทั้งถนนพลันสงบเงียบลงทันที กระทั่งคนและอาชาหายไปจากปากถนน บทสนทนาก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที แต่ไม่ว่าชีวิตจะปกติเพียงใด สงครามที่ประชิดเมืองอยู่นี้ยังทำให้ผู้คนหดหู่
หลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว อาฝูพุ่งไปยังวังหลวงเพื่อแจ้งข่าวก่อน รอจนพวกลู่ยามาถึงกำแพงวัง ประตูวังก็เปิดออกแล้ว กลุ่มชายหญิงที่สวมเสื้อดำปักดิ้นคุกเข่ารอต้อนรับอยู่ที่ชั้นนอกประตูวังนานแล้ว สองข้างประตูวังมีแถวเป่ากลองยาวทอดมาจากด้านในวังถึงข้างนอกวัง ริ้วขบวนดูยิ่งใหญ่นัก
ลู่ยาลงไปที่พื้น เสียงอวยพรดังมาไม่ขาดสาย
มู่จิ่วมองสังเกตไปท่ามกลางหมู่คน เห็นเพียงจอนผมทั้งสองข้างของคนผู้หนึ่งด้านหน้าขาวเล็กน้อย หญิงที่มาด้วยกันถึงวัยกลางคนแล้ว ถึงแม้ไม่มีผมขาว แต่ริ้วรอยความกังวลระหว่างคิ้วชัดเจน ดูออกไม่ยากว่าคือราชาไท่ชีและราชินีของอาณาจักรโหย่วเจียง
และสองคนที่ขนาบข้างพวกเขาคงเป็นญาติในราชวงศ์ สวมเสื้อเกราะ กระบี่ที่ข้างเอวยังมีเลือดหยด บนแก้มทั้งสองข้างยังมีรอยเลือดอยู่
หญิงที่อยู่ข้างราชินีงดงาม รูปร่างหน้าตาอ่อนแรง แต่เกราะบนร่างทำให้นางดูองอาจขึ้นหลายส่วน คนผู้นี้คือเหลียงจี
เมื่อเทียบกับตอนที่หนีพ้นเงื้อมมือของเซวียนหยวนฮุ่ยมาได้ เหลียงจียิ่งดูซูบเซียวมากขึ้น และความเกรี้ยวกราดในดวงตานั้นก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
………………………………………………