วันนี้ขณะกำลังเตรียมตัวออกจากหน่วย เสียงฝีเท้าดังมาจากนอกประตู จากนั้นหลินเจี้ยนหรูก็พลันเดินเข้ามา “มู่จิ่ว ช่วงหลายวันนี้เจ้ามีเวลาว่างหรือไม่?”
มู่จิ่วนิ่งอึ้งไปสามวินาที ถึงนึกขึ้นได้ว่าเคยรับปากเขาจะไปนำกุญแจจันทราหยางมาจากอ๋าวเชิน! เมื่อนับเวลาก็เกือบสามเดือนแล้ว!
มู่จิ่วรีบพูด “ขอโทษด้วย ก่อนหน้านี้ยุ่งนัก เกือบลืมไปเสียแล้ว ข้าจะไปช่วยเจ้าถาม!”
หลินเจี้ยนหรูรีบเรียกนางไว้ “ดึกแล้ว ไม่ต้องรีบไปตอนนี้หรอก พรุ่งนี้ค่อยไปเถิด”
มู่จิ่วมองไปข้างนอก เห็นว่าดึกแล้วจริงๆ จึงพยักหน้า “เช่นนั้นข้าจะไปพรุ่งนี้เช้า”
หลินเจี้ยนหรูพยักหน้า
เขารู้ว่าช่วงนี้นางยุ่งนัก ดังนั้นถึงแม้ใจร้อนรนก็ไม่ได้มาหานาง
ทางเหลียงชิวฉานไม่มีอะไร เพียงแต่สถานการณ์ทางด้านพยับทมิฬดูไม่ค่อยมั่นคงนัก หัวชิงกำลังจะเลื่อนขั้น ตอนนี้สำนักกำลังเผชิญหน้ากับการคัดเลือกเจ้าสำนัก จีหมิ่นจวินผลักดันลูกชายคนเดียวของนางขึ้นมาอยู่แถวหน้า ต้องการให้เขาได้รับตำแหน่งเจ้าสำนักนี้ ตามหลักเหตุผลเขาไม่มีคุณสมบัติ แต่คนเช่นจีหมิ่นจวินมีเรื่องอะไรทำไม่ได้ด้วยหรือ?
ความขัดแย้งในสำนักยิ่งมาก เขายิ่งยากจะหลีกเลี่ยงการถูกเรียกตัวกลับ ไม่ว่าเขากลับไปหรือไม่ อย่างไรก็ต้องทำเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนค่อยว่ากัน
ดังนั้นการร้อนใจของเขาไม่ใช่ไม่มีสาเหตุ
มู่จิ่วจดจำเรื่องนี้ไว้แล้ว เช้าวันถัดมานางจึงขี่อาฝูมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบน้ำแข็ง
อ๋าวเชินรอนางอยู่นานแล้ว เมื่อเห็นหน้านางก็พูดว่า “แม่นางทำไมจึงเพิ่งมา? ข้ายังคิดว่าเจ้าไม่ใช้มันแล้ว หลายวันนี้พลังหยินกำลังดี เหมาะกับการซ่อมแซมจิตต้นกำเนิด หากเจ้าไม่มาเกรงว่าจะไม่ทันช่วงเวลาที่ดีนี้แล้ว”
มู่จิ่วหลีกเลี่ยงไม่อธิบาย รอจนเขานำกุญแจจันทราออกมาให้ดูและนัดหมายเวลาส่งคืนกับเขาอีกครั้ง ก่อนจะเดินทางกลับบสวรรค์
เดินทางไปกลับครั้งนี้ใช้เวลาเพียงครึ่งช่วงเช้า กลับมาถึงทัพทหารสวรรค์ก็มุ่งตรงไปยังหน่วยลาดตระเวนเพื่อพบหลินเจี้ยนหยูที่เพิ่งกลับจากการออกตรวจตรา
อันที่จริงหลินเจี้ยนหรูก็กำลังรอนางอยู่ ครั้นเห็นนางนำกุญแจจันทรากลับมา เขาก็รีบยืนขึ้น แก้วน้ำในมือพลิกคว่ำ เก้าอี้ที่นั่งอยู่ก็ล้มลงยามลุกขึ้นยืน
เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ แสงสว่างของกุญแจจันทราพลันส่องสะท้อนใบหน้าไปทั่วทิศ
“เจ้าช่างรวดเร็วนัก!”
เขายื่นมือจะไปหยิบมา มู่จิ่วกลับกำมือแล้วชักกลับไปทันที
“เจ้าต้องรับปากข้าก่อนเรื่องหนึ่ง ข้าถึงจะเอามันให้เจ้าได้” มู่จิ่วมองเขาพลางพูดอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา
“เรื่องใด?” เสียงของหลินเจี้ยนหรูก็ไม่รีบร้อน แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยเอ่ยเงื่อนไขกับเขา นางต้องการทำอะไร?
“เจ้าต้องรับปากข้า หลังจากช่วยแม่เจ้าได้แล้ว เจ้าห้ามทำเรื่องชั่วร้ายอีกตลอดไป”
มู่จิ่วพูดออกมา หลินเจี้ยนหรูก็อึ้งไป
แต่นางไม่ถอยให้ มือกำกุญแจจันทราไว้แน่นยิ่งกว่าเหล็กไหล
นี่เป็นคำพูดที่นางคิดไว้ก่อนนานแล้ว ถึงแม้ลู่ยาเคยบอกว่าชะตาชีวิตของเขาไม่ว่าดีร้ายอย่างไรก็มีประโยชน์ต่อนาง แต่นางไม่อยากให้เขาเดินทางผิด ไม่ใช่ว่าเขาทำร้ายนางไม่ได้ แล้วนางจะมองเขาทำเรื่องเลวร้ายต่อไปได้ ในเมื่อเขาช่วยนางและนางก็ช่วยเขา เช่นนั้นนางเอ่ยเงื่อนไขเช่นนี้กับเขาก็ไม่นับว่าเกินไป
“ทำเรื่องเลวร้ายย่อมไม่มีผลดี ในเมื่อเจ้าเดินอยู่บนหนทางเซียน ก็ต้องตั้งใจมุ่งบำเพ็ญเพียรทำความดี เรื่องเมื่อก่อนข้ารู้ว่าเจ้าขมขื่นนัก แต่นับแต่วันนี้ นับแต่ตอนนี้ เจ้าหยุดได้หรือไม่? ในเมื่อการช่วยซ่อมแซมจิตต้นกำเนิดของแม่เจ้าคือความหวังอันสูงสุดของเจ้า ตอนนี้ข้านำกุญแจจันทรามาให้เจ้าแล้ว เจ้าก็ไม่มีเหตุผลให้ยืนหยัดโดยไม่สนใจอีก”
นางมองเขาอยู่นาน หลินเจี้ยนหรูก็กลั้นหายใจอยู่นาน
ในช่วงหนึ่งปีนี้ พูดอย่างชัดเจนคือตั้งแต่นางรู้ว่าจีหย่งฟางตายด้วยเงื้อมมือเขา ระหว่างพวกเขากล่าวได้ว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก เขารู้ว่าเขาที่เป็นเช่นนี้ทำให้นางผิดหวัง และรู้ว่าหนทางที่พวกเขาเดินไม่บรรจบกัน เขายอมรับชะตาชีวิตนานแล้ว คนเช่นเขาไม่เหมาะจะมีเพื่อนแท้
หากเรื่องนี้ไม่สำคัญต่อเขา เขาย่อมไม่ไปขอร้องนางแน่ แต่เขาก็ยังแบกหน้าไป และใช้กำลังทั้งหมดขอร้องให้นางช่วย ตอนนั้นเขาไม่ได้ขอร้องนางในฐานะเพื่อน แต่อาศัยฐานะคนธรรมดาทั่วไปที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน
ดังนั้นตอนที่มู่จิ่วรับปาก เขาจึงไม่คิดว่านางจะใช้ความเป็นเพื่อนออกหน้า…เขาไม่คิดว่านางยังมองเขาเป็นเพื่อนอยู่อีก ความรู้สึกซาบซึ้งที่เขามีต่อนางนั้นบริสุทธิ์ บริสุทธิ์จนไม่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ก่อนหน้า
แต่ตอนนี้เขาเห็นความจริงใจและความกังวลจากแววตาของนางได้ นี่นางกลับยังสนใจเขาอีก?
กังวลว่าเขาจะมีจุดจบเช่นไร เดินไปบนเส้นทางไหน?
เขาอยากหัวเราะอยู่เล็กน้อย เป็นการหัวเราะแบบขมขื่น
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยคิดว่านางเป็นคนคบคนแค่ผิวเผิน แต่เขาไม่คิดเลยว่านางยังเป็นห่วงว่าเขาจะกลายเป็นคนอย่างไร
นี่คือเพื่อนคนเดียวที่เขามี
เขาพลันตื้นตันในส่วนลึกของหัวใจเล็กน้อย
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยทำอะไรเพื่อนาง แต่นางกลับช่วยเขาอย่างจริงใจทุกครั้ง
และแม้แต่ตอนนี้นางเอ่ยคำขอร้องที่จริงจังออกมา ก็ยังเพราะหวังดีต่อเขา
เขามองนางแน่นิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูด “ข้ารับปาก” จากนั้นยกมือขึ้นมา “ข้าสาบานต่อเจ้า สาบานต่อฟ้าดิน ภายหลังข้าจะไม่ทำเรื่องเลวร้ายอีก หากทำ ขอให้ข้าสลายกลายเป็นเถ้าธุลี ไม่ได้ผุดได้เกิดตลอดไป”
มู่จิ่วเม้มปาก สุดท้ายจึงยกมุมปากขึ้น
นางไม่ได้ต้องการให้เขาสาบาน แต่ในเมื่อเขาตัดสินใจเช่นนี้ก็แล้วไปเถิด
แต่ต่อให้สาบานรุนแรงกว่านี้ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงเขากลับตัวกลับใจ เช่นนั้นย่อมไม่มีทางเป็นไปตามคำสาบาน
“เช่นนั้นข้าไปล่ะ หากมีเรื่องอะไรก็ค่อยมาหาข้า”
ช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุด พลังบำเพ็ญของเขายังสู้ไม่ได้กระทั่งนาง ไม่แน่ว่าจะสามารถเข้าใจกระจ่างได้ทั้งหมด นางพูดอีกตอนที่ส่งกุญแจจันทราให้เขา “เจ้าจำไว้ มีเวลาเพียงเจ็ดวัน หากผ่านไปแล้ว ไม่ว่าเจ้าทำสำเร็จหรือไม่ ข้าก็ต้องเอากลับไปคืน”
หลินเจี้ยนหรูพยักหน้า ส่งนางด้วยสายตา
กุญแจจันทราในมือเขายังหลงเหลือไออุ่นของนาง นางส่งมันให้เขาโดยตรง และไม่ได้เอ่ยว่าจะไปลงมือพร้อมกับเขา ถึงแม้ตอนนี้นางก็ยังคงเชื่อใจเขา ยังรู้สึกว่าเขาคู่ควรแก่การเชื่อถือ
เขากลั้นหายใจเล็กน้อย เก็บกุญแจจันทราเข้าไปในอกอย่างดี
สิ่งที่ดีที่สุดหลังเขาขึ้นมาสวรรค์คงเป็นการพบเจอนาง
หากไม่มีนาง ไม่แน่ว่าเขาอาจตายภายใต้กระบี่ของจีหย่งฟาง หากไม่มีนาง เขาคงไม่ได้ดอกบัวกลีบม่วง และคงไม่ได้รับการช่วยเหลือให้ผ่านด่านเคราะห์จากลู่ยา หากไม่มีนาง เขาคงไม่มีความคืบหน้าในแผนการช่วยมารดา
ไม่ว่าใครก็ไม่ได้เกิดมาอยากทำความชั่ว คนที่ความสามารถน้อยเช่นเขาคิดอยากต่อกรกับพยับทมิฬ ก็เหมือนกับเอาไข่ไปทุบหิน เมื่อเผชิญหน้ากับอำนาจ ไม่ว่าความคิดเจ้าหมุนเร็วเท่าไหร่ หมัดเดียวก็หยุดทุกสิ่งได้
เพียงแค่สิ้นหวัง ไยเขาต้องผลักตัวเองเข้าสู่ทางตันด้วย?
……………………………………………………………