ทั้งวันนี้ใจของเขาสงบลงแล้ว
หลังเลิกงานกลับมาถึงลานสนเขียว เขากลับไปลงกลอนประตูห้อง หยิบกุญแจจันทราออกมา
เขาเคยศึกษามาก่อนนานแล้วว่ามันใช้อย่างไร เขาต้องหาคืนเดือนมืดที่พลังหยินแก่กล้า และวันที่ว่านี้ยังต้องเป็นหลังจากสามวันนี้
สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือพานางชิวออกมาจากบ้านหลังเดิมก่อนและหาที่อยู่ให้นาง
แต่นางมาสวรรค์ไม่ได้ เข้าโลกเซียนไม่ได้ เขาควรให้นางอยู่ที่ไหนดีเล่า?
คิดไปคิดมาก็ยังคงอยู่ได้ที่โลกมนุษย์เท่านั้น
ใช่แล้ว เขาพานางออกจากบ้านหลังเดิมเพื่อหลบหูตาผู้คน เช่นนั้นนางจะอยู่ที่โลกมนุษย์ต่อก็ได้
เขายืนขึ้นทันที แล้วออกจากห้องไป
“เจี้ยนหรู?”
เพิ่งออกมากจากประตูลาน เหลียงชิวฉานก็เดินตามเข้ามา “จะกินข้าวเย็นแล้ว เจ้าจะไปไหน?”
แก้มทั้งคู่ของนางแดงราวกับเพลิงภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง ช่วงนี้สีหน้านางดีมาก และเชื่อฟังเขาอย่างยิ่ง ถึงแม้ยามที่เอ่ยถึงหัวชิงนางยังคงโกรธเขาอยู่บ้าง แต่เทียบกับเมื่อก่อนแล้วกลายเป็นฟ้ากับเหวจริงๆ
แต่เขายังไม่เชื่อนาง เขาไม่คิดว่าตนเองมีเสน่ห์ใดควรค่าให้นางหวั่นไหว…ไม่ใช่เรื่องอื่น สำคัญคือเขารู้ว่าเมื่อก่อนแม้แต่หางตานางยังไม่เคยมองเขา
ถึงแม้ความรักเกลียดทุกข์สุขของนางล้วนจริงแท้ แม้แต่การเคลื่อนไหวของสายตายังราวกับมีชีวิต แต่เขาก็ยังไม่เชื่อ
หลายเดือนนี้ เขาอยู่กับนางอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
ไม่ได้แตะต้องนางอีก ไม่ใช่เพราะเกิดเมตตาขึ้นกะทันหัน แต่เขาไม่ต้องทำเรื่องลำบากเช่นนั้นก็รู้ว่านางจะคงท่าทางแบบนี้ไว้
แต่ตอนนี้…
“ข้าจะไปทำธุระเล็กน้อย”
เขาไม่ได้ยิ้มเล็กน้อยให้นางเช่นปกติ และไม่ได้มีท่าทีอ่อนโยนอย่างเสแสร้งแบบนั้น แต่มองไปยังพระอาทิตย์ตกที่ขอบฟ้า
ระหว่างเขากับนางแต่เดิมก็ไม่มีความจริงใจใดต่อกัน เขาเพียงใช้ประโยชน์นางต่อกรกับพยับทมิฬ ทว่าตอนนี้เขาสัญญากับมู่จิ่วไว้แล้วว่าจะไม่ทำร้ายใครอีก เช่นนั้นก่อนอื่นเขาควรคุยเรื่องความสัมพันธ์ของนางกับเขาให้ชัดเจน
เอาแบบนี้แล้วกัน ในเมื่อเขาก็รับปากนางแล้ว
เช่นนั้นไม่ว่าคนพยับทมิฬเคยทำเรื่องใดกับเขาไว้ เห็นแก่ที่หลินเซี่ยและจีหย่งฟางต่างก็ตายแล้ว เขากับพวกพยับทมิฬก็นับว่าเสมอกัน
“เจี้ยนหรู…”
เหลียงชิวฉานขมวดคิ้วดึงแขนเสื้อเขา พูดเสียงอ่อนโยน “เจ้าเป็นอะไร?”
น้ำเสียงของนางมีความกังวลเจืออยู่ ทั้งยังมีแววอ้อนวอน แต่หลินเจี้ยนหรูกลับดึงแขนเสื้อกลับมา ก่อนถอยไปสองก้าว มองนางพลางพูด “ที่นี่มีคนผ่านไปมา ไม่ใช่ที่จะคุยกัน เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
พูดจบเขาก็ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย
ตลอดมาเขาไม่ใช่คนโลเล ขอแค่ตัดสินได้แล้ว เขาย่อมไม่อ้อมค้อม สิ่งสำคัญคือแต่เดิมเขาเพียงใช้ประโยชน์นางเท่านั้น
“เจี้ยนหรู!”
เหลียงชิวฉานรีบก้าวตามไป คิดจะอ้าปากร้องเรียก แต่เขากลับหายไปกับตะวันรอนแล้ว
ในดวงตาของนางค่อยๆ ปรากฏความสับสนหวาดกลัว มือที่จับลำต้นไม้ไว้จิกเข้าไปในเนื้อไม้
มู่จิ่วกลับมาถึงบ้านก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ลู่ยาฟัง ลู่ยาหยักนิ้วทำนายแล้วพบว่าอีกสองวันให้หลังถึงจะสามารถลงมือได้ จากนั้นเขาก็ยุ่งเรื่องของตนเองไป
ตอนนี้การตามหาหลิวหยางเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง แต่เดิมหากเขาหาหลิวหยางไม่พบก็เพียงแค่ไม่อาจรายงานกับหุนคุนเท่านั้น แต่หลังจากมีเรื่องการพบหน้ากันระหว่างมู่จิ่วชายชุดเขียว ลู่ยารู้สึกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพวกเขาอย่างมาก ตอนนี้หลิวหยางคือคนน่าสงสัยที่ใกล้ชิดกับชายชุดเขียวมากที่สุด และหลิวหยางก็มีปริศนามากมาย เขาจำต้องค่อยๆ เริ่มดูจากตรงนี้
ดังนั้นหลายวันนี้เขาจึงยุ่งอยู่กับการวางค่ายกลไปทั่วทั้งสี่ทะเลเก้าทวีป ก่อนอื่นก็ขึงตาข่ายฟ้าดินไว้ ดูว่าสามารถจับร่องรอยของหลิวหยางได้หรือไม่
มู่จิ่วรู้ว่าช่วงนี้เขายุ่งอยู่กับเรื่องนี้ จึงไม่ได้ยุ่งกับเขามากมายนัก ยกน้ำแกงไปให้เขาเสร็จก็ออกไป
ลู่ยามองผังดวงชะตาอยู่นาน ไม่พบว่ามีที่ใดผิดปกติ ก่อนจะนึกถึงคำพูดของยูไลในวันนั้น จึงอดครุ่นคิดไม่ได้
พลังของจุ่นถียิ่งใหญ่ ยิ่งมีวิชาดูดวิญญาณทำลายล้างลัทธิ ตามที่ยูไลบอกไว้ พลังของเขาพัฒนาไปมาก บำเพ็ญมาจนถึงขั้นนี้แล้ว เขายังมีเหตุผลอะไรต้องเป็นปฏิปักษ์กับฟ้าดินอีก? เพียงแค่ตอนนั้นพ่ายแพ้แก่ยูไล เขาจึงผูกใจเจ็บหรือ?
หากพูดเช่นนี้ ทงเทียนเจี้ยวจู่ก็เคยแพ้แก่ซานชิง เช่นนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่าชายชุดเขียวคือทงเทียนเจี้ยวจู่?
ส่วนที่ว่าทำไมเขามีท่าทีเช่นนั้นกับมู่จิ่ว เป็นไปได้ว่าพวกเขาเคยรู้จักกันมาก่อน…
ม่อเหยียนลูกศิษย์ของทงเทียนเจี้ยวจู่ หลังจากรับช่วงต่อศิษย์ที่เหลือของลัทธิเจี๋ยก็หลายเป็นมารอย่างเป็นทางการ โลกมารทะเยอทะยานอยากควบคุมหกภพ เรื่องเช่นนี้มิใช่มีเหตุผลหรือ? โดยเฉพาะเมื่อเขาเคยยุ่มย่ามก่อเรื่องระหว่างหลีหังและอู่เต๋อมาก่อน หากอู่เต๋อสร้างความขัดแย้งให้แก่ชิงชิวและเผ่าอื่นๆ กับลัทธิฉ่านสำเร็จ จะสามารถแก้แค้นเอาคืนเรื่องที่ทงเทียนเจี้ยวจู่พ่ายแพ้แก่ซานชิงได้พอดีไม่ใช่หรือ?
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนยืนขึ้น แล้วขึ้นเมฆออกไปด้านนอก
มุ่งตรงไปยังสวรรค์อันสูงส่ง ไม่ได้กลับวังชิงเสวียน แต่มุ่งตรงไปหาหุนคุนทันที
หุนคุนขุดดินอยู่ในสวน แปลงผักผืนหนึ่ง เทพเซียนผู้สูงส่งผู้หนึ่ง กายท่อนบนเปลือยเปล่า มือถือคราด ผ้าขนหนูพาดอยู่บนคอชุ่มเหงื่อ เซียนหญิงรับใช้ด้านข้างถือถาดหยกมีน้ำชาและพัดคอยท่ารับใช้อยู่ไม่ห่าง แต่เพราะดินโคลนแตกกระจาย เซียนรับใช้จึงพับขากางเกงขึ้นมา เท้าเปลือยเปล่า ไม่รู้ว่าใบหน้าแดงเพราะดวงอาทิตย์หรือเพราะเห็นช่วงอกกำยำของท่านเทพกันแน่
ลู่ยานั่งลงบนแตงอวบใหญ่ที่หุนคุนปลูกอยู่สามเดือน “ท่านเตรียมจะปลูกอะไร?”
หุนคุนโยนคราดมา “เจ้านั่งทับแตงของข้า!”
ลู่ยาทำได้เพียงยกก้นออกไปนั่งลงบนหิน
หุนคุนเดินเข้ามา เช็ดใบหน้าด้วยผ้าขนหนู มือทั้งสองเท้าอยู่บนเอวที่กล้ามเนื้อหน้าท้องแบ่งออกเป็นแปดส่วนชัดเจน ก่อนพูด “ลูกศิษย์ข้าล่ะ? เจ้าหากลับมาให้ข้าได้หรือยัง?”
“ยัง” ลู่ยาเด็ดยอดหญ้ามาเล่นในมือ “เพราะข้าไม่รู้ว่าเขาไปไหนจึงมาหาท่าน ท่านบอกสิว่าเขาจะไปไหนได้บ้าง?”
หุนคุนโยนคราดมาอีก
ลู่ยาวูบไหวตัว ย้ายไปอีกที่ “ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน” พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อเรียกม่านแสง “ท่านมาดูคนนี้สิว่าคุ้นเคยหรือไม่”
บนม่านแสงนั้นพลันฉายภาพวันนั้นที่มู่จิ่วพูดคุยกับชายชุดเขียว ภาพใบหน้าของชายชุดเขียวยังคงไม่ชัดเจน และร่างของเขาในตอนนี้ยิ่งเลือนรางมากขึ้น ในความเป็นจริง หลายวันนี้เงาร่างและเสียงของเขานับวันยิ่งพร่ามัวลง แต่นอกจากตัวเขาแล้วสิ่งอื่นยังคงชัดเจนเหมือนเดิม
“ไม่คุ้น” หุนคุนพูดอย่างชัดเจน อย่างไรก็เป็นศิษย์พี่น้องที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาหลายปี เขาพูดทันที “หรือเจ้าคิดว่าเขาคือจุ่นถี?”
ลู่ยาสูดหายใจเข้าลึกพลางมองไปที่ไกลๆ “เขาสนิทสนมกับอาจิ่วมาก”
“ถึงแม้สนิทสนมก็ไม่จำเป็นต้องเป็นจุ่นถีนี่?” หุนคุนก็นั่งลงเช่นกัน ท่าชันขาข้างหนึ่งขึ้นยิ่งทำให้หน้าท้องนูนเด่น ใบหน้าของเซียนหญิงรับใช้รอบด้านยิ่งแดงก่ำ เขากล่าว “ถึงแม้มีเพียงเงาร่าง ข้าก็แน่ใจว่าเขาไม่ใช่จุ่นถี” ลูกศิษย์ของเขาเองเขาย่อมรู้ดี เกรงว่าเพียงแค่ให้เส้นผมจุ่นถีมาเส้นเดียวก็ดูออก แน่นอนว่าเงื่อนไขแรกจะต้องเป็นตัวเขาเอง
……………………………………………..