แต่ก่อนนางรักและเทิดทูนแต่หัวชิงเจินเหรินอาจารย์ของนางเท่านั้น นางหวังจะเป็นคู่ครองของเขา ในใจของนางหัวชิงเป็นราวกับเทพสวรรค์ เป็นประหนึ่งศรัทธาของนาง ดังนั้นนางจึงเห็นชื่อเสียงของตนเองสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งหมด ทั้งยังให้ความสำคัญกับพรหมจรรย์ของตนเองยิ่งกว่าสิ่งใด!
นางไม่เคยคิดเลยว่าจะถูกชายอื่นนอกจากหัวชิงเห็นเรือนร่างของตนเอง!
ด้านหนึ่งนางรู้สึกอับอาย อีกด้านหนึ่งภาพนั้นก็ยังวนเวียนอยู่ในสมอง…
เมื่อไม่มีคนเข้าใจความรู้สึกของนาง นางก็จนปัญญาจะอธิบาย นางไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สายตาของนางจับจ้องไปที่เขาอย่างไม่รู้ตัว มองแผ่นหลัง มองใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างละเอียด ยามรู้สึกตัวนางก็รู้สึกว่าตนเองคล้ายติดบ่วงเสน่ห์เข้าแล้ว จึงเพียรฝืนตนเองให้โกรธแค้นและรังเกียจเขาอยู่หลายครั้ง บอกตนเองว่าเขาเป็นเพียงลูกนอกสมรสอันต่ำช้าไม่ต่างจากมารดาของเขา!
แต่ส่วนลึกอีกด้านในใจของตนเองกลับเอ่อล้นออกมาทีละน้อย นางพบว่าตนเองเริ่มสนใจความรู้สึกของหลินเจี้ยนหรู! หากเขายิ้มให้นาง นางก็รู้สึกผ่อนคลาย หากเขาขมวดคิ้ว นางก็หวาดหวั่นอยู่บ้าง…เพราะรู้ว่าระหว่างเขากับนางมีเขตแดนขวางกั้น ดังนั้นนางจึงกลัวว่าอยู่ๆ หลินเจี้ยนหรูจะไม่ต้องการนาง
นางกระทั่งยินยอมลดศักดิ์ศรีทำดีกับเขา นางไม่เคยรู้สึกสิ้นกำลังเช่นนี้มาก่อน แต่เดิมนางมั่นคง เด็ดขาด เหลียงชิวฉานไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองจะเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้ แต่นางก็เปลี่ยนไปแล้ว ทั้งยังไม่มีหนทางถอนตัวด้วย
ใจนางราวกับมีทะเลคลั่ง มองมู่จิ่วที่กำลังพิจารณาตนคราหนึ่ง ใบหน้าพลันร้อนผ่าวขึ้นมา
แต่ก่อนเหลียงชิวฉานไม่เคยคิดจะมาหามู่จิ่วมาก่อน เหลียงชิวฉานก็มีศักดิ์ศรีของตัวเอง นางเข้าใจว่าอีกฝ่ายสามารถผ่านไปได้ หรือหลินเจี้ยนหรูที่ระมัดระวังว่าความผิดจะเปิดเผยออกมาตลอดเวลาคงกลับมาหานางเอง แต่ผ่านไปสิบวันเขากลับยังไม่มา ใจของนางเลยยิ่งร้อนรน คืนนั้นเขานำเสื้อผ้าของนางมาคืน เขาไม่คิดจะสนใจนางอีกจริงๆ…
นางรู้ว่าตัวเองมาถามเช่นนี้ต้อยต่ำไร้ค่าเพียงใด น่าสมเพชเพียงใด มู่จิ่วไม่พูดอะไร นางยิ่งรู้สึกอับอาย
นางเดินผ่านมู่จิ่วไปเฉกเช่นขุนพลพ่ายศึกสูญเสียเมืองหนีลนลาน
มู่จิ่วหันกลับมามองแผ่นหลังนาง ขมวดคิ้วแน่น ไม่รู้ทำไม นางเชื่อว่าเหลียงชิวฉานมีใจให้หลินเจี้ยนหรูจริง ความเจ็บปวดกังวลบนใบหน้านางไม่ใช่เรื่องโกหก แต่ทำไมนางไม่เคยได้ยินหลินเจี้ยนหรูพูดให้ฟังมาก่อน? เขาทำสิ่งใดไว้กันแน่ ถึงทำให้เหลียงชิวฉานปักใจกับเขาเช่นนี้?
ในสิบวันนี้หลินเจี้ยนหรูก็ไม่ใคร่สบายใจนัก
เขาพยายามปรับสมดุลพลังในร่าง และสำรวจตนเองบ่อยครั้ง
อันที่จริง วิชาอาคมพลันสูงส่งขึ้นมาขนาดนี้ จะบอกว่าไม่ดีใจก็คงโกหก เขาเคยแอบลองใช้ ฝ่ามือหนึ่งของเขาสามารถล่มยอดเขาได้ครึ่งหนึ่ง ทั้งยังสามารถขี่กระบี่ได้ไกลถึงหลายพันลี้ในหนึ่งวัน วิชาที่เขาเคยเรียนในสำนักแรกพยับมาอย่างหยาบๆ บัดนี้กลับแข็งแกร่งขึ้นมากมาย ด้วยความสามารถระดับนี้ เขาไม่จำเป็นต้องกลัวสำนักแรกพยับอีกต่อไป
ชายชุดเขียวยังบอกอีกว่าเขาบำเพ็ญได้ถึงขั้นหัวเสินแล้ว นั่นก็หมายความว่าอีกไม่นานเขาจะสามารถผ่านด่านเคราะห์สำเร็จเป็นเซียน
รอจนเขากลายเป็นเซียนเมื่อใด อดีตที่ผ่านมาก็จะกลายเป็นหมอกควัน จะไม่มีคนดูถูกด้วยชาติกำเนิดของเขาอีกแล้ว เขาสามารถเทียบเคียงกับเหล่าเซียนและสำนักแรกพยับได้
แต่เขายังไม่ลืมท่าทางที่ชายชุดเขียวพูดกับเขา เป้าหมายของฝ่ายนั้นคือต้องการให้เขากลายเป็นมารก่อนเวลา แต่ยังไม่ได้บอกชัดเจนว่าต้องการให้เขาทำเรื่องใด หากไม่มั่นใจว่าเขาจะหันเข้าสู่ทางอธรรม ทำไมชายชุดเขียวถึงได้มอบพลังบำเพ็ญให้เขามากมายขนาดนั้น?
คิดเช่นนี้มือของเขาก็หลั่งเหงื่อออกมา
และเขาก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับมู่จิ่ว หากบอกไป เรื่องที่เขาผิดสัญญากับนางก็จะแดงออกมา เขามีนางเป็นเพื่อนเพียงคนเดียว เขาไม่อยากให้นางผิดหวัง ดูไปแล้วชายชุดเขียวก็ไม่ได้มีใจคิดร้ายต่อนาง ถึงเขาปิดบังเรื่องนี้ต่อไปก็คงไม่มีปัญหาอะไร
“ก๊อกก๊อก”
ขณะกำลังครุ่นคิด ตรงประตูพลันมีเสียงเคาะเบาๆ ลอยมา
เขาหยุดความคิดแล้วลุกขึ้น
ไหนเลยจะรู้ว่าคนที่มาคือมู่จิ่ว!
นางเข้ามาก่อนพูด “กลางวันแสกๆ เช่นนี้ เจ้าปิดประตูทำอันใดอยู่?”
เขานิ่งอึ้งไปชั่วครู่หนึ่งถึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง “เมื่อคืนเข้าเวรกะดึก อยากจะงีบหลับสักหน่อย”
มู่จิ่วมองใบหน้าเขา ไม่เห็นร่องรอยความเหนื่อยอ่อน แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ได้มาเพราะสิ่งนี้ “ระหว่างเจ้ากับเหลียงชิวฉานเกิดอะไรขึ้น?”
เหลียงชิวฉาน?
ไอเย็นเยียบพลันลอยขึ้นมาในแววตาเขา นางรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?
“เหตุใดจึงถามเช่นนี้?” เขานั่งลง จากนั้นลองถามหยั่งเชิง
“นางเพิ่งมาหาข้า “ มู่จิ่วมองเขา “ถามข้าว่าอยู่กับเจ้าเมื่อสิบคืนก่อนหรือไม่ นางมองข้าเป็นคนมาแทรกกลางระหว่างพวกเจ้า” พูดถึงตรงนี้นางก็ถามต่อ “ทำไมข้าไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงแม้แต่น้อย? พวกเจ้าอยู่ด้วยกันแล้ว ทำไมข้าจึงไม่ได้ข่าวเลยสักนิด?”
แน่นอนว่าเขามีเหตุผลที่จะไม่ป่าวประกาศ แต่นางรู้สึกว่าเรื่องนี้เก็บเงียบเกินไปหน่อย
ก่อนหน้านี้นางลังเลว่าควรมาหรือไม่ เพราะทำเช่นนี้อาจยิ่งเพิ่มความเข้าใจผิดให้แก่พวกเขา
แต่เหลียงชิวฉานไม่พูดอะไรสักคำก็จากไป สีหน้าเช่นนั้นไม่เหมือนมาเพียงเพื่อทำให้นางอับอาย นางครุ่นคิดชั่งน้ำหนักในใจแล้ว จึงตัดสินใจมาถามหาความจริง หากไม่เพราะมู่จิ่วมีความสามารถอยู่หลายส่วน ฝ่ามือนั้นคงตบลงบนหน้านางแน่ ใครจะรู้ว่าต่อไปฝ่ายนั้นจะมาอีกเป็นครั้งที่สองหรือไม่?
สีหน้าของหลินเจี้ยนหรูเย็นชา
หลายวันมานี้เหลียงชิวฉานไม่ได้มาตอแยเขา เขายังเข้าใจไปว่านางถอดใจแล้ว คิดไม่ถึงว่านางกลับไปหามู่จิ่ว?
นางอยากครอบครองเขามากขนาดนั้นเลยหรือ?
“นางเข้าใจผิดแล้ว นางกับข้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันนอกจากความเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง” เขาบอก “ข้าว่านางคงคิดมากเกินไป อา นางคงไม่ได้พูดจาเลอะเทอะทำร้ายเจ้าหรอกนะ?”
มู่จิ่วมองเขาพลางคิ้วขมวดเล็กน้อย
นางรู้สึกว่าเขาพูดได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นยิ่งนัก เหลียงชิวฉานไม่ได้โง่ หากเขาไม่ได้ทำสิ่งใดให้นางเข้าใจผิด นางจะคิดมากได้อย่างไร?
และถึงแม้เหลียงชิวฉานจะเพ้อเจ้อไปเอง เขาก็ไม่ควรแสดงออกเช่นนี้
แต่นี่เป็นเรื่องของพวกเขา ไม่ว่าหลินเจี้ยนหรูจะพูดความจริงหรือไม่ เขาอยากอยู่กับใคร ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนาง
นางพยักหน้า “ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว”
จากนั้นจึงจากไป
หลินเจี้ยนหรูรอจนนางจากไปแล้ว สายตาก็พลันแข็งกระด้าง
เขาออกจากบ้านมุ่งไปทางถนนตะวันตกโดยไม่ลังเล
มู่จิ่วที่อยู่ตรงต้นสนมองแผ่นหลังของเขาที่เดินไปอย่างรวดเร็ว ดวงตาทั้งสองพลันหรี่ลง
ฝ่ายเหลียงชิวฉานกลับมาถึงห้องก็นั่งลงไปบนเตียง บอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไร
นางรู้ว่าหลินเจี้ยนหรูไม่คู่ควรต่อใจของนาง และรู้ว่าตัดใจตอนนี้ยังไม่นับว่าสาย แต่นางกลับไม่ยินยอม อย่างไรเขาก็เห็นเรือนร่างของนางแล้ว! หากเขาไม่ต้องการนาง เช่นนั้นภายหน้านางจะยังสามารถให้บุรุษอื่นเห็นเรือนร่างนี้ได้อีกหรือ? นางทำไม่ได้ ไม่ว่าหัวชิงผู้สูงส่งหรือหลินเจี้ยนหรูผู้ต่ำต้อย นางเลือกได้เพียงคนเดียว
เมื่อนึกถึงสายตาเมื่อครู่ของมู่จิ่ว นางยิ่งรู้สึกอับอายยิ่งนัก
……………………………………………………..