ในสองปีนี้ยุ่งนัก ออกไปข้างนอกค่อนข้างมาก อยู่ๆ ว่างขนาดนี้ก็รู้สึกปรับตัวไม่ได้อยู่บ้าง
พูดตามจริง มู่จิ่วยังหวังให้เกิดคดีอะไรขึ้น ให้นางมีโอกาสดูว่าชายชุดเขียวจะปรากฏตัวออกมาอีกหรือไม่?
ตอนนี้พวกเขาไม่ไปตามหาชายชุดเขียว ชายชุดเขียวก็ไม่ได้มาหานาง สถานการณ์กลายเป็นฝ่ายตั้งรับ
นางถามลู่ยา “เจ้าว่าเขาจะหายไปไม่ปรากฏตัวออกมาอีกหรือไม่?”
อย่างไรร่องรอยที่เขาทิ้งไว้ก็ไม่น้อย หรือเขาไม่กลัวจะถูกสวรรค์อันสูงส่งขวางทาง? ถึงเขาจะเก่งกาจกว่านี้ก็คงไม่เก่งกาจไปกว่ามหาเทพหลายคนบนนั้นหรอกกระมัง?
ลู่ยากลับบอก “ไม่มีทาง เขาต้องปรากฏตัวออกมาอีกแน่” เขาวาดยันต์พลางพูด “เขายังทำไม่สำเร็จตามเป้าหมาย จะละมือไปได้อย่างไร? ตอนนี้โลกมนุษย์กับโลกปีศาจยังไม่มีการเคลื่อนไหว เขาเอาไปแม้กระทั่งหินวิญญาณมาร ที่เหลือก็มีเพียงวิญญาณคนและวิญญาณปีศาจที่ไม่ได้แตะต้อง…ไม่แน่ว่าอาจจะมีข่าวมาเมื่อไหร่ก็ได้ รอก่อนเถอะ”
ความสงบนิ่งของเขาถูกก่อกวนเล็กน้อย
มู่จิ่วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล แต่ถึงแม้บนร่างต้าอี้มีวิญญาณคนอยู่ แต่ตอนนี้ฉางเอ๋อร์พบเรื่องนี้เข้าก่อน อวี้ตี้จึงใช้ของวิเศษที่หุนคุนให้ผนึกเอาไว้ แบบนั้นไม่ช้าก็เร็วเขาย่อมต้องเคลื่อนไหว เขาหลอมวิญญาณได้สี่อย่างแล้ว มีเหตุผลอะไรที่จะทิ้งวิญญาณคนกับวิญญาณปีศาจเล่า? พูดแบบนี้เขาย่อมต้องปรากฏตัวออกมาอีกแน่
นางฝนหมึกให้เขา เพียงช้อนสายตาขึ้นมาก็พลันชะงักไป
“เป็นอะไร?” ลู่ยาที่ลอบสำรวจนางอยู่แล้ว ย่อมมองออกว่านางกำลังเหม่อลอย
นางคืนสติกลับมามองเขา ฝนหมึกต่อไป “ไม่มีอะไร”
อันที่จริงมีบางครั้งที่นางรู้สึกว่าใบหน้าด้านข้างของลู่ยาเหมือนกับชายชุดเขียวบางส่วน นี่เกรงว่าเป็นเพราะพวกเขาล้วนเป็นผู้เก่งกาจ เพราะโครงร่างเข้มแข็งเด่นชัด ยังมีมุมที่ก้มหัวของพวกเขาอีก…แต่คำพูดเหล่านี้นางไม่กล้าพูด เขาอาจหึงหวงได้ ไม่แน่ว่าอาจคิดว่านางมีใจให้กับชายชุดเขียว
ที่จริงลู่ยาไมได้หึงเรื่องชายชุดเขียวแล้ว อย่างไรก็เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น
แต่ภายหลังจะยังหึงอีกหรือไม่นั่นเป็นเรื่องไม่แน่นอน เขายังคงไม่ชอบให้ใครมองนางอยู่ดี
ภายใต้การอบรมสั่งสอนของเขาในช่วงหลายวันมานี้ อาฝูเริ่มอ่านคัมภีร์กับรุ่ยเจี๋ยแล้ว
ยามที่มู่จิ่วไม่ยุ่งนางจะนั่งอยู่นอกประตูห้องเขา ฟังพวกเขาท่องคัมภีร์ไปพลาง ใช้หินขนาดเล็กโม่แป้งไปพลาง แป้งนั้นสามารถทำอาหารได้หลายชนิด ครั้งนี้นางคิดจะลองทำเค้ก…
เค้กคือของสิ่งใด? เขาไม่เข้าใจ แต่เห็นนางว่างยิ่งนัก เช่นนั้นอยากทำก็ทำเถิด
มู่จิ่วไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะแอบมีมุมนี้ด้วย คิดเพียงว่าเมื่อไหร่จะมีคดีใหญ่ออกมาให้นางทำ ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่รู้บุญกุศลของนางจะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร
วันนี้ยามกำลังเก็บลูกหม่อนใต้ต้นหม่อน กำไลไม้บนข้อมือพลันขยับไหว จากนั้นกระเรียนกระดาษบินเข้ามาตรงหน้าทันใด ก่อนจะร่วงลงสู่พื้น
นี่เป็นกระเรียนกระดาษที่นางส่งไปให้ชิงเสียก่อนหน้านี้! มันกลับมาแล้ว?
กระเรียนกระดาษบนพื้นคลายออกมาเป็นรูปร่างเดิม นางรีบไปหยิบมาเปิดดู เห็นเพียงด้านในมีกระดาษอีกใบสอดไว้ ด้านบนมีตัวอักษรเป็นลายมือของชิงเสีย เขียนว่า ‘พรุ่งนี้ตอนบ่ายที่หงชาง’
นางพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เห็นเป็นกลิ่นอายของชิงเสียจริง จึงเก็บกระดาษลงไปอย่างดีใจ
ชิงเสียตอบกลับมาแล้ว อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ไม่ได้รับอันตราย
แต่ก่อนหน้านี้นางก็เคยส่งกระเรียนกระดาษไปหาพวกมู่หัว แต่พวกมันไม่เคยกลับมาเลย ครั้งนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?
หรือหลิวหยางเปิดเขตพลังแล้ว?
ไม่ว่าอย่างไร มีการตอบกลับมาก็ดีแล้ว
ในวันถัดมาไม่ง่ายนักที่จะฝืนทำงานอยู่ที่หน่วย นางรีบพุ่งไปที่ตลาดซื้อเพื่อขนมมาเล็กน้อย จากนั้นขี่เมฆมุ่งหน้าไปหงชาง
เพื่อป้องกันไม่ให้ลู่ยาทำเรื่องยุ่ง นางจึงไม่ให้เขาตามมา
หงชางยังเหมือนกับคราวก่อนที่มา แต่มีปีศาจย้ายมาเพิ่มสองสามตัว เมื่อมันเห็นนางมา แต่ละตัวแอบมองดูอยู่หลังต้นไม้ มู่จิ่วโยนน้ำตาลเข้าไปนิดหน่อย พวกมันถึงค่อยๆ ออกมาหยิบไป มีบางตัวรู้จักนางก็ยังเข้ามาทักทาย
ชิงเสียยังไม่มา นางจึงพูดคุยกับพวกมันไปเป็นการฆ่าเวลา
ผ่านไปราวหนึ่งสองเค่อ ในป่าพลันมีการเคลื่อนไหว มีเสียงเหยียบใบไม้กรอบแกรบดังออกมา
มู่จิ่วลุกขึ้นยืน เห็นสาวน้อยอายุราวสิบเอ็ดสิบสองแบกหมาป่าขนาดเล็กกว่าตัวนางไม่เท่าไหร่ออกมา เดินมาถึงหน้ามู่จิ่วก็โยนหมาป่าทิ้ง จากนั้นหอบหายใจมองนาง “อาจารย์อา!”
เหล่าปีศาจด้านข้างมองเห็นก็พลันร้องตะโกนวิ่งหนีไป!
มู่จิ่วตกใจ ก่อนจะชี้ร่างหมาป่าบนพื้น “นี่เกิดอะไรขึ้น?”
“อา ข้าสังหารปีศาจหมาป่ามา เก่งหรือไม่?” ชิงเสียเอ่ยอย่างภูมิใจ
มู่จิ่วยกนิ้วโป้งให้ ก่อนรีบพูด “แต่เจ้ามาหาข้าทำไมต้องแบกปีศาจหมาป่ามาด้วย?”
“พูดไปเรื่องก็ยาว” ชิงเสียหันกลับไปมองบนเขา จากนั้นหาที่ที่มีพื้นหญ้าหนาแล้วนั่งลงไป “สองวันนี้เจ้าสำนักไม่อยู่ ข้าอ้างว่าจะออกมาจับปีศาจแอบหนีออกมา”
“เช่นนั้นช่วงนี้พวกเจ้าไปอยู่ที่ไหนกัน?!” มู่จิ่วรีบเดินขึ้นไปข้างหน้า
“ข้าก็ไม่รู้ว่าที่ไหน” ชิงเสียแบมือ “เป็นอาจารย์ที่ให้ยันต์ข้าใช้ออกมาจากเขตค่ายกล อีกอย่างนะ ข้าบอกท่านให้ ตอนที่พวกเราย้ายบ้านกัน พวกเราหลายคนไม่รู้ตัวเลยสักนิด! จนวันที่สองเดินออกมาข้างนอกพบว่าไม่ใช่หงชาง ถึงได้รู้ว่าย้ายบ้านแล้ว!”
มู่จิ่วพูดไม่ออก ตอนหลิวหยางย้ายหนีไปก็พาไปด้วยทั้งหมด พวกเขาที่อยู่ด้านในย่อมต้องไม่รู้ตัว
“แล้วศิษย์พี่ยอมให้เจ้าออกมา?”
“ข้าเอากระเรียนกระดาษของท่านให้เขาดูแล้ว” ชิงเสียบอก “อันที่จริงข้าไม่ใช่คนเก็บกระเรียนกระดาษ เป็นอาจารย์ใหญ่ที่เก็บได้ เขาเอามาให้ข้าและไม่ได้พูดอะไร ตอนหลังข้าไปขอร้องอาจารย์ ตอนแรกเขาไม่ยอม บอกว่าเจ้าสำนักสั่งไว้ แต่พอดีสองวันนี้เจ้าสำนักออกไปทำธุระ ข้าจึงอ้างเรื่องจับปีศาจกับเขาเพื่อออกมา”
แต่เดิมศิษย์พี่เจ็ดรู้แล้ว เช่นนั้นหลิวหยางสั่งอะไรพวกเขาไว้?
นางครุ่นคิดก่อนถามอีก “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าสำนักออกไปทำธุระอะไร?”
“เขาไปพบจื่อเย่าเจินเหริน”
“จื่อเย่าเจินเหริน?!” มู่จิ่วเกือบถูกสี่คำนี้ทำให้ตกใจตายแล้ว นางกำลังคิดว่าทำอย่างไรถึงจะจับคนนี้ได้ ตอนนี้กลับโผล่ออกมาแล้ว? “จื่อเย่าเจินเหรินผู้นี้สนิทกับอาจารย์?”
“ใช่แล้ว” ชิงเสียตอบ “อย่างไรช่วงนี้จื่อเย่าเจินเหรินผู้นี้ก็มาหาอาจารย์บ่อยมาก และยังดูสนิทสนมกันอีก ทั้งคุยทั้งหัวเราะ แต่ไม่ใช่ยามที่อยู่ในสำนักเรา พวกเขานัดกันข้างนอก”
มู่จิ่วรีบถาม “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าจื่อเย่าเจินเหรินผู้นี้มีที่มาอย่างไร?”
“ไม่รู้เลย” ชิงเสียแบมือ “จริงๆ แล้วข้าเพิ่งรู้ว่ามีคนเช่นเขาอยู่ตอนที่เจ้าสำนักย้ายบ้าน ใบหน้าของจื่อเย่าเจินเหรินผู้นี้อ่อนโยนนัก พูดน้อย เป็นกันเองกับพวกเรามาก แต่ไม่รู้ว่าว่าทำไมเจ้าสำนักถึงสนิทสนมกับเขานัก ยังเคยพาเขาไปดื่มชาถึงห้องสนครวญด้วย”
ถึงแม้หลิวหยางจะย้ายทั้งสำนักไป แต่แน่นอนว่าสิ่งปลูกสร้างแต่ละแห่งยังคงเดิมอยู่
…………………………………………………..