พืชพันธุ์บนสวรรค์อันสูงส่งที่ถือกำเนิดแล้วกลายเป็นเซียน เพียงเข้าทะเบียนเซียนของสวรรค์อันสูงส่ง แต่ไม่ได้บันทึกเรื่องในบันทึกสวรรค์ ตามที่เขาพูดเช่นนี้ บนสวรรค์อันสูงส่งยังมีคนที่ชื่อจื่อเย่าอยู่ ทว่ากลับไม่อยู่ในทะเบียนเซียน และยังสนิทสนมกับจุ่นถีมาก…
ลู่ยาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้างแล้ว!
เช่นนี้ก็หมายความว่าคนที่ไปหาจุ่นถีเป็นเพียงหลินจือบนสวรรค์อันสูงส่งต้นหนึ่ง
แต่ดีร้ายจุ่นถีก็เป็นศิษย์คนโตของหุนคุน เป็นที่นับหน้าถือตาบนสวรรค์อันสูงส่งเช่นกัน แค่หลินจือต้นเดียวไปหาเขาเท่านั้น ทำไมเขาถึงต้องออกไปพบราวกับเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งยังเชิญเข้ามาดื่มชาในเรือนอย่างมีมารยาทอีก? ตามที่จื่อจิ้งเล่ามา หลินจือต้นนั้นไม่มีแม้กระทั่งสมญานาม ไม่รู้ตำแหน่งของจุ่นถีสูงส่งกว่าเขาตั้งมากเท่าไหร่ เหตุใดจึงต้องปฏิบติต่อเขาอย่างมีมารยาทเช่นนั้น?
“ เจ้าแน่ใจนะว่าเขาคือต้นหลินจือ?”
“ไม่น่าจะผิดขอรับ” จื่อจิ้งตอบ “หลินจือต้นนั้นเป็นสีม่วง ปกติมักจะสวมเสื้อคลุมสีม่วง ท่าทางสง่างาม หน้าตาหมดจด จะมีสักกี่คนบนสวรรค์ที่มีชื่อบ้านนอกเช่นนี้?”
ลู่ยามองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ และนิ่งเงียบต่อไป
ในเมื่อเขามั่นใจว่าเป็นหลินจือต้นหนึ่ง เช่นนั้นขอบเขตก็เล็กลงแล้ว แต่เรื่องกลับยิ่งน่าสงสัย
นอกจากเรื่องที่หลินจือต้นนั้นไม่น่าได้รับการปฏิบัติตามมารยาทจากจุ่นถีแล้ว ยังมีปริศนาที่เขาทิ้งไว้ตอนแรกอีก ทำไมจุ่นถีถึงหลบซ่อนตัวไปอย่างรวดเร็วหลังจากที่จื่อเย่ามาหา ทำอย่างกับเขาเป็นตัวโชคร้าย นี่ช่างไม่สมเหตุผลนัก ไม่ว่าจื่อเย่านั่นจะเป็นหลินจือหรือเป็นอย่างอื่น เพียงแค่อยู่บนสวรรค์อันสูงส่ง ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเร่งเร้าให้หลบหนีเขาไป
และที่สำคัญที่สุด ทำไมจุ่นถีถึงเชื่อฟังแล้วหลบหนีไป? เขาปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนั้น และจนถึงตอนนี้พวกเขายังคงรักษาการไปมาหาสู่ที่แน่นแฟ้นไว้ ลู่ยาคิดไม่ออกจริงๆ พวกเขาคิดอะไรกันอยู่ถึงได้ใจกล้าหลบลี้หนีจากเขา ทั้งยังอยู่อีกที่หนึ่งอย่างสบายใจ?
คิดว่าจะซ่อนจากสายตาเขาไปได้ตลอดชีวิตหรือ?
เขาตัดสินใจจะไปดูที่หงชางอีกครั้ง
เขาหันกลับมาพูด “ข้าจะออกไปดูหน่อย”
พูดจบก็หายตัวไปจากที่เดิม
เขาเพิ่งก้าวเท้าออกไป มู่จิ่วก็กลับเข้ามาพอดี แต่เดิมคิดจะเล่าเรื่องหลินเจี้ยนหรูให้เขาฟัง ทว่าคลาดกันพอดี
ฝ่ายลู่ยามาถึงหงชางก็สร้างเขตพลังขึ้นมารอบๆ ก่อน จากนั้นนั่งขัดสมาธิลงบนหิน หยิบผลไม้แถวนั้นขึ้นมากัดคำหนึ่ง
จุ่นถีพาคนหนีไปเยอะขนาดนั้น ย่อมต้องหาที่อยู่ใหม่แน่ แต่เขาหาร่องรอยไปทั่วทั้งเก้าทวีปสี่ทะเลอยู่นานก็ยังไม่ได้ข่าว ชัดเจนว่านี่ไม่ปกตินัก มีคนชุดเขียวที่สามารถซ่อนตัวจากสายตาเขาได้คนหนึ่งก็มากพอแล้ว แม้แต่จุ่นถียังทำได้อีก…ถึงจะบอกว่าวิชาอาคมของจุ่นถีแก่กล้าเข้าขั้น แต่ลูกศิษย์หลานศิษย์เหล่านั้นของเขาเล่า? แม้แต่กลิ่นอายสักนิดก็ไม่เล็ดลอดออกมา?
นอกจากนี้ พวกเขาคนมากมายขนาดนั้นต้องการหาที่อยู่ เช่นนั้นคนที่เคยอยู่มาก่อนในที่ใหม่นั้นก็ต้องย้ายออกก่อน ไม่ว่าจะเป็นห้วงมิตินี้หรือไม่ ขอเพียงแค่มีการเคลื่อนไหวก็ย่อมไม่อาจหลุดลอดจากตาข่ายฟ้าดินของเขาได้ แต่ทำไมจนถึงตอนนี้กลับยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย?
เขาไม่เชื่อว่าจุ่นถีจะมีความสามารถถึงเพียงนี้ได้
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจมาสืบหาที่หงชางอีก
หากที่อื่นไม่มีการเคลื่อนไหว นั่นก็แสดงว่าจุ่นถีสร้างเขตพลังที่แข็งแกร่งมากขึ้นเพื่อซ่อนตัวที่นั่น คราวก่อนตอนที่ชิงเสียนัดพบมู่จิ่วก็มิใช่ที่หงชางหรือ? นี่ก็เป็นการยืนยันข้อสงสัยนี้ได้
“เซียนจากที่ไหนกัน!”
เขาเพิ่งกินผลไม้ไปได้ครึ่งผล ก็พลันมีเสียงกระด้างเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากกลางตาข่าย
ลู่ยาหรี่ตามองไปยังตรงกลางเขตพลัง เห็นเพียงระหว่างคลื่นพลังวิญญาณมีคนถูกขังอยู่ในนั้น!
เขาเคลื่อนตัวเข้าไปทันที กระทั่งหินที่นั่งอยู่ก็เคลื่อนเข้าไปพร้อมกัน ชายเสื้อสะบัดพลิ้ว คลื่นพลังวิญญาณในนั้นพลันปรากฏร่างคนขึ้นมา เสื้อคลุมสีดำขลับ ครอบมวยผมสูงครึ่งฉื่อ สิ่งที่เด่นสะดุดตาคือเม็ดไฝสีแดงที่อยู่ระหว่างคิ้ว…หลีหัง? นี่ไม่ใช่หลีหังที่เขาเรียกมาทำความเคารพที่วังโตวลวี่แล้วจะเป็นใครไปได้?
“ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?” ลู่ยาคิดไม่ถึงว่าจะเจอเขาที่นี่ ดวงตาจึงเบิกโตยิ่งกว่าเมล็ดผลไม้ที่ปรากฏครึ่งหนึ่งในมือเสียอีก
หลีหังหมอบอยู่บนพื้น ถูกขังอยู่ในตาข่ายนั่นจะขยับตัวได้อย่างไร เขาช้อนสายตามองลู่ยา หน้าตาท่าทางแบบนี้ของเขาน่าขันนัก แต่ลู่ยาไม่ได้ล้อเลียน เพราะตนเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่
เมื่อเขาหมอบอยู่บนพื้น จึงจำต้องยืดคอขึ้น “ตอบอาจารย์อาใหญ่ ข้ามาตามหาเฟยอีภรรยาของข้า”
ตามหาเฟยอี?
ลู่ยารีบนำเขาออกมาจากกลางเขตพลัง ก่อนถาม “เจ้าตามหาเฟยอี ทำไมถึงมาตามหาที่นี่?”
เมื่อเขาถามออกไป หลีหังพลันตระหนก นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แจ้งเรื่องตนกับเฟยอี ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเทพตำแหน่งสูงใหญ่เช่นเขาถึงรับรู้เรื่องราวอย่างรวดเร็ว และพูดชื่อเฟยอีออกมาอย่างคล่องปากเช่นนี้?
แต่เขาเป็นถึงอาจารย์อาบรรพบุรุษ อาคมแก่กล้า คิดว่าย่อมต้องเข้าใจเรื่องเล็กๆ ของเขากับอู่เต๋อกระจ่างนานแล้ว
ดังนั้นเขาจึงปัดๆ เสื้อคลุม ก่อนตอบ “ตั้งแต่ได้รับคำตัดสินจากฝ่าบาทและเหนียงเหนียงที่วังหลิงเซียวตอนนั้นแล้ว เพื่อทำตามความปรารถนาของอู่เต๋อและเพื่อทำตามความปรารถนาของตนเอง ยามว่างจึงได้เริ่มตามหาเฟยอีไปทั่วทั้งหกภพ ก่อนหน้านี้สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเฟยอีที่ซีหนิวในชั่วระยะสั้นๆ ช่วงนี้จึงตามหาอยู่แถวนี้ คิดไม่ถึงว่าจะพบอาจารย์อาใหญ่ ไม่ทราบว่าท่านมาที่นี่ทำไมขอรับ?”
ลู่ยาตอบอืมคำหนึ่ง โยนผลไม้ทิ้งไป “ข้าก็มาตามหาคน”
พูดจบก็เหลือบมองเขาคราหนึ่ง เห็นว่าเขาผอมลงไปจากคราวก่อนบ้าง ครุ่นคิดดูแล้วเกรงว่าเรื่องของเฟยอีกับชายชุดเขียวก็มีส่วนเกี่ยวข้องกันอยู่ จึงถามไป “เจ้าเจอกลิ่นอายของเฟยอีที่ซีหนิวได้อย่างไร?”
หลีหังชะงักก่อนตอบ “นางกับข้ามีวาสนาต่อกันหลายชาติ ข้ายังคงมีเส้นผมกับของติดตัวขางนางอยู่ ถึงแม้วิธีใช้กลิ่นอายตามหาคนจะด้อยที่สุด แต่สถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่มีหนทางอื่นอีก ข้าใช้เลือดหัวใจนำทาง พบว่าวิญญาณของนางไปสู่ปรโลกเก้าแดน จากนั้นวิญญาณของนางก็หลุดออกมาจากที่นั่น มุ่งไปทางทิศตะวันตกจนกระทั่งมาเจอที่นี่เข้า”
การใช้เลือดหัวใจตามหาคนเป็นวิธีที่อับจนหนทางที่สุด และยังเป็นวิชาที่ทำร้ายร่างเซียนที่สุด เพราะจิตต้นกำเนิดอาศัยเลือดหัวใจหล่อเลี้ยง สูญเสียเลือดหัวใจไปหยดหนึ่งต้องใช้เวลาร้อยปีในการฟื้นฟู คิดไม่ถึงว่าเพื่อตามหาเฟยอี หลีหังจะไม่สนใจกระทั่งพลังบำเพ็ญของตน
ลู่ยาครุ่นคิดก่อนเอ่ย “เอาเส้นผมนางให้ข้าดูหน่อย”
แต่เดิมเขาไม่คิดข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ตอนนี้เบื้องหลังเรื่องมีชายชุดเขียวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เขาย่อมต้องช่วยหาดูหน่อย
หลีหังรีบส่งเส้นผมของเฟยอีให้
ลู่ยาวางไว้กลางฝ่ามือ ใช้มือขวาเขียนยันต์เหนือมัน เพียงเห็นพลังวิญญาณวูบไหวเลือนรางเคลื่อนย้ายไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
“ไปยังถิ่นทุรกันดารทางเหนือ” เขาบอก
เพิ่งพูดออกไป เขาก็พลันชะงัก
ถิ่นทุรกันดานทางเหนือ?
ชายชุดเขียวปรากฏตัวต่อหน้ามู่จิ่วที่ถิ่นทุรกันดานทางเหนือ เขาหลอมวิญญาณร้ายขึ้นมาจากที่นั่น นี่คือเรื่องบังเอิญหรือจงใจกันแน่?
…………………………………………………