“เช่นนั้นทำไมเขาถึงมาหาหลิวหยางได้?” ลู่ยาสับสน
“นี่เป็นเรื่องผิดปกติ อาจารย์ไม่เพียงแค่มีเพื่อนที่ข้าไม่รู้จักเลย ทั้งยังลุกขึ้นไปพบอย่างไม่ครุ่นคิดอีกด้วย ยิ่งเห็นได้น้อยนัก” มู่จิ่วมองเขาพลางเอ่ย “อาจารย์ไม่พบกับคนแปลกหน้า ครั้งก่อนข้าถล่มภูเขาของสำนักตะวันอำพรางไป คนของพวกเขาบุกมาถึงหงชาง อาจารย์ยังไม่พบเลย”
ลู่ยาเงียบไป
มู่จิ่วจึงเงียบตาม
หลิวหยางที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่รับแขกแปลกหน้ากลับไปพบจื่อเย่าเจินเหรินผู้นี้อย่างไม่ลังเล ทั้งเขายังทำนายผังดวงชะตาเหมือนกับครุ่นคิดอะไรอยู่ จื่อเย่าเจินเหรินนี้คือผู้ใด ผังดวงชะตานี้เป็นของใครกัน?
“พรุ่งนี้เจ้าไปฝ่ายบริหาร สืบค้นว่าจื่อเย่าเจินเหรินคือผู้ใด พวกเราลองค้นหาดูก่อน” ลู่ยาเก็บผังดวงชะตาไป
มู่จิ่วพยักหน้าก่อนยกชาเย็นชืดตรงหน้าขึ้นดื่มจนหมด
ถึงแม้ไม่มีใครพูดชัดเจน แต่ความหมายที่อยู่เบื้องหลังของคำถามนี้ชัดเจนนัก
ถึงแม้หลิวหยางมีหลักฐานยืนยันมากมายว่าเขาไม่ใช่ชายชุดเขียว แต่ตัวเขายังมีปริศนาที่ยังไม่คลี่คลายอยู่อีก พวกมู่จิ่วคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเหตุใดเขาต้องหลบหนีไป
ความจริงมู่จิ่วไม่อาจยอมรับได้ว่าหลิวหยางคือชายชุดเขียว ให้เหมือนเขาสักนิดก็ไม่ยินยอม จื่อเย่าเจินเหรินที่พลันปรากฏตัวออกมานี้เป็นราวแสงสว่างส่องหนทาง ภูมิหลังของเขาได้กลายเป็นตัวแปรสำคัญ นางหวังว่าเขาจะเป็นเพียงซ่านเซียนธรรมดาผู้หนึ่ง เพราะต้องติดต่อกับหลิวหยางจึงได้มาเยี่ยมถึงสำนัก
เมื่ออดกลั้นความอยากรู้อยากเห็นไม่อยู่ วันถัดมานางจึงมุ่งตรงไปยังฝ่ายบริหารแต่เช้าทันที
นางเดินอยู่แถววังหลิงเซียวบ่อยครั้ง เจ้าหน้าที่ในหกหน่วยต่างรู้จักนาง เมื่อได้ยินคำขอของนางก็เปิดทะเบียนเซียนขึ้นมาพลิกดู
เจ้าหน้าที่เซียนพลิกไปรอบหนึ่ง จากนั้นพลิกอีกรอบหนึ่ง ก่อนพูด “ไม่มีเซียนที่ชื่อจื่อเย่าเจินเหริน ใต้เท้ากัวจำผิดหรือไม่?”
ไม่มี?
มู่จิ่วยืนขึ้น รับทะเบียนเซียนมาเปิดเอง พบว่าไม่มีจริงๆ! นางจึงหาทั้งเสียง ‘จื่อ’ และ ‘จือ’ ทว่าไม่มีคนชื่อเช่นนี้เลย
นี่แปลกนัก
หรือจื่อเย่าเจินเหรินก็ปลอมตัวมา?
นางครุ่นคิดอยู่สามวินาที คืนทะเบียนเซียนก่อนเอ่ยขอบคุณ แล้วมุ่งกลับบ้านไปอย่างรวดเร็ว
ลู่ยาได้ยินเรื่องนี้ก็ไม่ได้ตกใจอะไร เขาเพียงครุ่นคิดสักครู่ก่อนเอ่ย “ในเมื่อหาไม่เจอ นั่นก็แสดงว่าพวกเราเดินมาถูกทางแล้ว จื่อเย่าเจินเหรินผู้นี้ผิดปกติ หลิวหยางก็เช่นกัน” พูดถึงตรงนี้เขาก็ชะงัก “ถึงแม้พวกเขาไม่เกี่ยวกับชายชุดเขียว แต่ย่อมต้องมีความลับแน่”
เขาเชื่อคำพูดของหุนคุน ในเมื่อฝ่ายนั้นยืนกรานว่าหลิวหยางไม่ใช่ชายชุดขียว เช่นนั้นต้องไม่ใช่แน่นอน
แต่หากต้องการหาที่อยู่ของเขา เกรงว่าก่อนอื่นต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าจื่อเย่าเจินเหรินคือผู้ใด
ความเป็นไปได้ที่หลิวหยางจะโดนลักพาตัวหรือโดนทำร้ายนั้นมีไม่มาก ในเมื่อจื่อเย่าเจินเหรินปรากฏตัวก่อนหน้าที่เขาจะหายตัวไปพอดี นั่นนับได้ว่าทั้งสองอาจจะหายไปด้วยกัน หรือคาดเดาได้ว่าการหายไปของหลิวหยางอาจเป็นเพราะการมาเยือนของจื่อเย่า ไม่ใช่เพราะลู่ยา…
และผังดวงชะตาที่หลิวหยางทำนายไว้ก่อนหน้าถือเป็นเบาะแส เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นการทำนายการมาถึงของจื่อเย่า?
“วางเรื่องนี้ลงก่อน พวกเราต้องพุ่งเป้าไปที่ชายชุดเขียว และการหายไปของหลิวหยางไม่ได้หมายถึงเรื่องไม่ดี” เขาพูด
คำพูดสุดท้ายนี้เตือนสติมู่จิ่ว การหายตัวไปของหลิวหยางไม่ได้หมายความว่าไปทำเรื่องไม่ดี ถ้าหากเป็นเรื่องดีล่ะ?
ลู่ยาปลอบนาง “เจ้าวางใจเถิด ในเมื่อศิษย์พี่ของข้าบอกว่าเขาไม่ใช่ชายชุดเขียว ย่อมต้องไม่ใช่เขาแน่”
แน่นอนว่านางเชื่อคำพูดของหุนคุน จึงยักไหล่และวางเรื่องนี้ไปก่อน
แต่เพียงกลับไปถึงเรือนของตนเอง นางกลับอดนึกถึงจื่อเย่าผู้นี้ไม่ได้
การปรากฏตัวของเขาประหลาดเกินไปแล้ว
น่าเสียดายที่ช่วงนี้ไม่มีคดีน่าสงสัยอะไรให้ทำ และดูไม่ออกว่าจื่อเย่าผู้นี้เกี่ยวข้องกับชายชุดเขียวหรือไม่ ถึงแม้หลิวหยางไม่ผิดปกติ แต่ใครจะยืนยันได้ว่าจื่อเย่าซึ่งไม่รู้ที่มาที่ไปนี้ผิดปกติหรือไม่?
นางครุ่นคิดอยู่นานก่อนลุกเข้าไปในห้อง เปิดห่อผ้าหยิบห่อกระดาษ นำเอานกกระเรียนกระดาษขึ้นมา
นางส่งพลังวิญญาณให้กระเรียนกระดาษ และเขียนลงไปอีกหลายประโยค จากนั้นหยิบใบไม้แห้งแปะลงไป ก่อนปล่อยมันบินออกทางหน้าต่าง
ใบไม้แห้งนั้นเป็นใบต้นเฟิง (เมเปิ้ล) ที่ชิงเสียศิษย์ของศิษย์พี่เจ็ดเก็บมาจากบนเขา ตอนที่นางออกมาจากหงชาง ชิงเสียให้ไว้เป็นของขวัญ
เด็กผู้นั้นเห็นนางเป็นผู้นำมาตลอด กระเรียนกระดาษเป็นสิ่งที่หลิวหยางให้นางเมื่อปีก่อน อาคมย่อมแก่กล้า นางเก็บมันไว้เพื่อขอความช่วยเหลือจากหลิวหยางในยามขับขัน หากมันสามารถหาตัวชิงเสียได้ นางต้องติดต่อมู่จิ่วกลับมาแน่
…ขอเพียงแค่กระเรียนกระดาษไปถึงมือชิงเสีย
ทางด้านลู่ยา เรื่องของชายชุดเขียวไม่มีอะไรคืบหน้า
การคาดเดาของเขาถูกต้องชัดเจน ชายชุดเขียวไม่ได้มาปรากฏตัวที่สวรรค์
ช่วงนี้มู่จิ่วก็ไม่มีคดีอะไรให้ต้องจัดการ เขาจึงมุ่งความสนใจไปกับการฝึกฝนรุ่ยเจี๋ยและอาฝู
เพราะเบื่อหน่ายนัก จื่อจิ้งจึงกลับไปยังวังจิตกระจ่าง แต่ถูกหุนคุนเตะกลับมา ดังนั้นเลยยิ่งซึมเซา ไร้ความกระตือรือร้น ไม่มีกระจิตกระใจแม้แต่จะพูดโอ้อวด
เหลียงชิวฉานอยู่ที่สำนักแรกพยับสองวัน เป็นลูกมือให้หัวชิงสองวันเต็ม
กฎของสำนักแรกพยับคือเมื่อเจ้าสำนักเลื่อนขั้นเป็นจินเซียนแล้วต้องสละตำแหน่งให้เจ้าสำนักคนใหม่ และอดีตเจ้าสำนักต้องออกท่องยุทธจักรบำเพ็ญเพียรทำความดี สั่งสอนวิชาที่ได้มาให้แก่คนรุ่นหลัง หัวชิงก็ใกล้ผ่านด่านเคราะห์พอดี ดังนั้นเรื่องสำคัญของสำนักแรกพยับในช่วงนี้คือคัดเลือกเจ้าสำนักคนใหม่
กลายเป็นเจ้าสำนักแน่นอนว่าต้องมีข้อดีไม่น้อย นอกจากอำนาจที่จะได้แล้ว ยังได้ครอบครองคัมภีร์บำเพ็ญเพียรลับของเจ้าสำนัก ทั้งยังได้มหาโอสถทองที่มีเพียงหนึ่งเดียว สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องรับประกันว่าเจ้าสำนักทุกรุ่นย่อมสำเร็จเป็นเซียน สุดท้ายจะสามารถกลับมาคืนคุณแก่สำนักได้
การคัดเลือกเจ้าสำนักทุกรุ่นจึงเข้มงวดยิ่งนัก
ครั้งนี้คนที่ดูเป็นเดือดเป็นร้อนที่สุดเห็นจะเป็นจีหมิ่นจวินและผู้อาวุโสหลิวเติงเจินเหริน
หัวชิงเป็นคนรุ่นก่อนหลิวเติงเจินเหริน
หลิวเติงเจินเหรินเป็นหลานศิษย์ของหัวชิง ศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักคนก่อน มากความสามารถ เต็มไปด้วยคุณธรรม สามร้อยปีก่อนเลื่อนขั้นเป็นเซียน ยามที่ขึ้นเป็นเป็นเซียนนั้นอายุเพียงแปดพันปีเท่านั้น หนำซ้ำอาวุโส เหมาะจะเป็นผู้สืบทอด เหล่าผู้อาวุโสก็ไม่คัดค้าน อันที่จริงฐานะของพวกเขาก็ไม่ด้อย ถึงแม้เข้าชิงตำแหน่งก็ครองตำแหน่งไว้ได้ไม่นาน ทั้งยังอาจไม่จำเป็นต้องใช้คัมภีร์ลับยาเซียนเหล่านั้นแล้วด้วย
ดังนั้นการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักจึงล่อตาล่อใจเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ผู้มีความสามารถมากกว่า
จีหมิ่นจวินไม่เห็นด้วยกับพวกหัวชิง นางคิดว่าลูกชายของนางจีเทียนเฉินเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าสำนักยิ่งกว่า เหตุผลคือความสามารถของเขาไม่น้อย ตระกูลจีของพวกเขาก็เป็นเครือญาติของราชวงศ์อาณาจักรจื่อจิว อีกทั้งเขายังเป็นถึงหัวเสินแล้ว ห่างกับหลิวเติงไม่มาก กลับกัน เขาสามารถดำรงตำแหน่งได้นานกว่าหลิวเติง สร้างความมั่นคงกับแรกพยับได้ดีกว่า
ทุกคนต่างดูออกว่าเหตุผลทั้งหมดนั้นเป็นข้ออ้าง ความจริงคือหมายตาตำแหน่งเจ้าสำนักไว้
…………………………………………….