พลังสายเสวียนหมิง!
หลีหังพลันไร้คำพูด
ต้นกำเนิดของพลังสายเสวียนหมิงคือลู่ยา ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่เขาไม่เคยรับศิษย์มาก่อน และถึงแม้จะเคยรับไว้ ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะเข้าเขตพลังนี้ไม่ได้!
นี่เป็นไปได้อย่างไร?
“อาจารย์อาใหญ่แน่ใจหรือ?” เขาไม่กล้าเชื่อเลยจริงๆ
ลู่ยาไม่ตอบ สีหน้าเคร่งขรึมยิ่ง เพียงยื่นมือออกไปแล้วปล่อยพลังเข้าไปยังเขตพลังนี้ พลังวิญญาณที่เข้าไปนั้นเหมือนวัวปั้นจากโคลนที่ร่วงหล่นลงทะเล และยามที่เขาชักพลังกลับมา เขตพลังนั้นก็ผลักพลังของเขาออกมาด้านนอกเช่นกัน แต่ก็ยังไม่พอให้เขาเก็บมันกลับเข้าร่างได้!
“หากไม่ใช่พลังสายเสวียนหมิง เช่นนั้นเขตพลังนี้ย่อมต้องดูดพลังของข้าเข้าไปไม่ได้ และก็ไม่สามารถผลักพลังข้าออกมาได้ด้วย” ลู่ยามองฝ่ามือของตนเองพลางพูดช้าๆ
นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้มากที่สุด แต่กลับเกิดขึ้นกับเขา คนที่เป็นต้นกำเนิดของพลังสายเสวียนหมิงกลับถูกขวางด้วยพลังของตนเอง!
ถึงแม้เขาจะไม่เคยโดนคนตบหน้ามาก่อน แต่ตอนนี้ใบหน้าก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาแล้ว
เขาพลันหมุนตัวมา พาหลีหังออกจากใจกลางคลื่นจิตพสุธา ก่อนเอ่ยว่า “ถึงแม้เฟยอีจะไม่อยู่ที่คลื่นจิตพสุธาก็ต้องอยู่ที่ถิ่นทุรกันดารทางเหนือ เจ้าไปตามหาเองก่อน!”
จากนั้นก็หายวับไป
หลีหังคิดจะรั้งเขาไว้ถามสักคำสองคำแต่กลับไม่ทัน
ลู่ยาไม่ได้กลับไปสวรรค์ อีกทั้งไม่ได้กลับไปหงชาง ทว่ามุ่งตรงไปยังสวรรค์อันสูงส่งแทน
เขาไปหาหุนคุนที่วังจิตกระจ่างก่อน แต่หุนคุนไม่อยู่ ดังนั้นจึงเปลี่ยนไปวังเทียนสวี่
หนี่ววากำลังหวีผมอยู่หน้ากระจก บนกระจกสูงสามฉื่อสะท้อนใบหน้ารูปไข่อันงดงามอ่อนโยนของนาง แต้มสีชาดระหว่างคิ้ว ช่วยขับเน้นความงามพิสุทธิ์ส่วนหนึ่งขึ้นมาจากความเรียบง่าย นางที่กำลังพูดคุยกับเซียนหญิงรับใช้ว่าจะใช้ชาดอะไรดีมองเห็นลู่ยาจากในกระจก ยังไม่ทันได้หันไปหาก็ยิ้มน้อยๆ ออกมา แล้วเอ่ยทักอย่างเอ็นดู “น้องสี่ของพวกเรากลับมาแล้ว”
นางหมุนกายกลับไป ลู่ยาก็เดินมาถึงข้างหน้าแล้ว เมื่อก่อนเขามักจะเอ่ยชมนางสักคำสองคำหรือออดอ้อนอะไร วันนี้กลับไม่ได้ทำ และเอ่ยถามทันที “ช่วงนี้ศิษย์พี่ได้ไปที่คลื่นจิตพสุธาหรือไม่?”
“คลื่นจิตพสุธา?” หนี่ววาชะงักเล็กน้อย เดินไปยังม่านก่อนถาม “ไม่ได้ไปเลย ทำไมหรือ?”
“เช่นนั้นก็ประหลาดแล้ว!” ลู่ยานั่งลงข้างนาง ขมวดคิ้วพูด “มีคนใช้พลังเสวียนหมิงผนึกที่นั่นไว้ แม้แต่ข้าก็เข้าไปไม่ได้!”
หนี่ววามองเขาคราหนึ่ง “เจ้าไม่มีธุระอะไร ไปที่นั่นทำไม?”
“ข้าไปหาคน” ลู่ยาไม่ได้สนใจสีหน้าของหนี่ว์วา ตกอยู่ในห้วงความคิดตนเอง จากนั้นเล่าเรื่องที่ช่วงนี้เขาพบชายชุดเขียวซึ่งมีที่มาไม่ชัดเจนได้อย่างไร รวมถึงเรื่องที่ได้พบจุ่นถีแล้วเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอยด้วย “คนผู้นี้สามารถเข้าไปในคลื่นจิตพสุธาได้ และยังสามารถใช้พลังสายเสวียนหมิงสร้างเขตพลังขึ้นมาอีก หรือคลื่นจิตพสุธาจะถูกเขาควบคุมแล้ว?”
หนี่ว์วาหยิบผลเซียนป๋ายหรูขึ้นมาปอก เอ่ยช้าๆ ว่า “เป็นไปไม่ได้กระมัง ไม่มีใครสามารถทำเช่นนี้ได้ หากแอบไปก่อเรื่องพวกเราก็ต้องรู้ก่อน” นางแบ่งผลไม้ที่ปอกเปลือกแล้วส่งให้เขาครึ่งหนึ่ง ก่อนพูดอีก “ชายชุดเขียวที่เจ้าพูดถึง เขาเคยทำเรื่องร้ายอะไรกับเจ้า?”
“ยังไม่ได้ทำเรื่องร้ายอะไร แต่ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้!” ลู่ยานั่งหลังตรง อารมณ์พลุ่งพล่าน “ไม่แน่ว่าเขตพลังนี้เขาคงเป็นคนสร้าง หากเป็นจริง เช่นนั้นเจตนาของเขาก็ยิ่งน่าสงสัย! แล้วเขาสามารถฝึกฝนพลังสายเสวียนหมิงของข้าได้อย่างไร? หรืออาจารย์จะเคยรับศิษย์อีกคนที่ฝึกพลังสายเสวียนหมิง?”
เขาต้องสืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง แต่ก่อนเขาก็คิดแบบเดียวกับหนี่ว์วา เพียงแค่ชายชุดเขียวไม่ได้ก่อเรื่องร้ายแรง เขาก็จะละเว้นปล่อยให้กำแหงไปก่อน แต่ตอนนี้กลับทำไม่ได้แล้ว! ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่สร้างเขตพลังมาตบหน้าเทพอันสูงส่งเช่นเขา พูดถึงแค่เรื่องที่ชายชุดเขียวเก่งกาจขนาดนี้ เขาผนึกคลื่นจิตพสุธาไว้เพราะคิดจะทำอะไรกันแน่?
เมื่อครุ่นคิดดูแล้ว หรือว่าไม่ควรจะให้ความสำคัญกับชายชุดเขียว?
“เจ้าพูดเพ้อเจ้ออันใด?” หนี่ว์วาขมวดคิ้ว “อาจารย์มองเจ้าเป็นดั่งแก้วตาดวงใจ จะรับศิษย์อีกคนมาฝึกพลังสายเสวียนหมิงของเจ้าได้อย่างไร? ถึงแม้จะเกิดขึ้นจริงก็คงไม่อาจปิดบังพวกเรา และให้เขากลับมาแว้งกัดเจ้านี่? ภายหลังอย่าได้พูดเช่นนี้อีก ศิษย์พี่ใหญ่ได้ยินเข้าจะลงโทษเจ้าเอา”
พูดจบก็อดเหลือบมองเขาไม่ได้
ลู่ยาก็รู้ว่าตนพูดเกินไป มือทั้งสองกุมเข่าไม่เอ่ยอะไรอีก
หนี่ว์วาผ่อนน้ำเสียงลง ก่อนพูดต่อ “ในเมื่อเจ้าสงสัยอาจารย์ได้ ทำไมถึงไม่สงสัยตัวเจ้าเอง? บางทีเจ้าอาจจะเคยรับศิษย์ที่เก่งกาจมาก่อน และตอนนี้ก็ร่ำเรียนสำเร็จแล้ว? ไม่แน่ว่าเจ้าอาจลืมเขาไป แต่เขากลับฝึกสำเร็จจนแกร่งกล้า” อย่างไรก็เป็นศิษย์น้องที่นางเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ หนี่ว์วาจึงอดปลอบโยนเขาไม่ได้
เมื่อพูดจบพลันมีสายลมหนึ่งลอยมาทีริมหู พัดปอยปมนางขึ้นมา
“เป็นไปไม่ได้” ลู่ยายืนยันหนักแน่น “มีหรือไม่มีศิษย์ มีหรือที่ข้าจะจำไม่ได้?”
อีกอย่าง ศิษย์คนนั้นของเขาจะสามารถขวางเขาผู้เป็นอาจารย์ได้หรือ?
หนี่ว์วาบิผลไม้ ไม่รู้จะกล่าวอะไรดี
“ศิษย์พี่หญิง ท่านไม่คิดจะไปดูจริงหรือ? คนผู้นี้ทำเกินไปแล้ว!” ลู่ยาเขย่าแขนนาง เขาเข้าไปไม่ได้ ทำได้เพียงขอร้องให้หนี่ว์วาหรือหุนคุนพาเขาเข้าไป รอให้เขาเข้าไปสืบหาความจริงได้ก่อน ชายชุดเขียวไม่รอดแน่!
หนี่ว์วาจนปัญญา เงียบอยู่นานก่อนจะเหลือบตามองเขา “เจ้าสี่น้อย เรื่องนี้เจ้าต้องแก้ปัญหาด้วยตนเอง ศิษย์พี่ก็ช่วยเจ้าไม่ได้”
“ชัดเจนว่าคนผู้นั้นเก่งกว่าข้า หากศิษย์พี่ไม่ไป ข้าจะเข้าไปได้อย่างไร?” ลู่ยาน้อยใจเล็กน้อย
“ศิษย์พี่รองก็เก่งกาจกว่าเจ้า มิใช่ว่าเจ้ารังแกเขาอยู่บ่อยๆ หรือ” ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไร หนี่ว์วาก็ไม่ไป “เจ้าเป็นศิษย์ที่อาจารย์รักที่สุด สอนวิชาให้เจ้าไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ถึงแม้ชายชุดเขียวจะเก่งกว่าเจ้า นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะเอาชนะเขาไม่ได้ เจ้าเอาเปรียบผู้อื่นจนชิน อยู่ๆ ทำไมถึงกลัวผู้อื่นขึ้นมาเสียล่ะ?”
ลู่ยาเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไรอีก
เขาไม่ได้เกรงกลัวชายชุดเขียว แต่เมื่อคิดถึงความสนิทสนมระหว่างเขากับมู่จิ่ว และยังมีความเป็นไปได้ว่าฝ่ายนั้นจะเป็นผู้สร้างเขตพลังซึ่งผนึกคลื่นจิตพสุธาขึ้น เขาก็ร้อนรนอย่างไม่มีเหตุผล เมื่อเปรียบเทียบกับศัตรูแบบนี้ หลินเจี้ยนหรูกับอ๋าวเจียงเทียบไม่ติดเลย เห็นได้ว่าเมื่อก่อนเขาเสียเวลาใส่ใจเรื่องของคนเหล่านี้ไปไม่น้อย?
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาไม่อาจปล่อยให้มู่จิ่วกับคนผู้นั้นพบเจอกันได้อีก
ใครเจอศัตรูหัวใจเช่นนี้แล้วจะไม่ร้อนอกร้อนใจบ้าง?
เขาลุกขึ้นมาอย่างอึดอัด ปรายตามองหนี่ว์วา ก่อนเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ
หนี่ว์วากุมหน้าผากถอนหายใจ
ริมหูพลันมีเสียงเนิบนาบลอยเข้ามา “เขานี่นะ ช่างเอาแต่ใจเสียจริง”
หนี่ว์วาหันไปมองเงาร่างที่โผล่มาจากประตู ขยับปากคิดจะแก้ต่างให้สักสองประโยค แต่สุดท้ายก็กลืนคำพูดกลับลงไป
ศิษย์น้องคนนี้ของนาง บางครั้งก็เอาแต่ใจเกินไปจริงๆ
ลู่ยาออกมาจากสวรรค์อันสูงส่งก็ไม่รู้จะไปที่ไหน จึงกลับไปสวรรค์
เขาไปอยู่ที่สวรรค์อันสูงส่งสักพัก บนสวรรค์ก็ผ่านไปแล้วสองสามวัน มู่จิ่วเห็นเขาหัวเสียกลับมาจึงรีบตามเข้าไปในห้อง “เจ้าเป็นอะไรไป?”
……………………………………………