ลู่ยารู้สึกเสียหน้าจึงไม่ตอบรับ นั่งขัดสมาธิด้วยความหงุดหงิด
มู่จิ่วกังวลยิ่งนัก รินชาให้เขา ทั้งยังนั่งคุกเข่าลงข้างๆ พลางพัดให้ จับจ้องเขาแบบไม่กะพริบตา
ถึงแม้นางจะสงสัยว่าเขาไปไหนมาในช่วงหลายวันนี้ แต่เมื่อเทียบกันแล้วการที่เขาอารมณ์ไม่ดีนั้นสำคัญกว่ามาก
“มีคนยั่วโมโหเจ้าหรือ?” นางถามเสียงเบาพลางลูบอกลูบหลังเขา
ลู่ยาถอนหายใจยาวก่อนตอบ “ข้าเพิ่งไปหงชางมา”
มู่จิ่วกลับไม่ประหลาดใจเลย วันนั้นรุ่ยเจี๋ยบอกว่าหลังจากพวกเขาพูดกันเรื่องจื่อเย่าจบแล้ว ลู่ยาก็ออกไปทันที นางเดาว่าเขาคงออกไปตามหาคน แต่ในเมื่อไปหงชาง ทำไมถึงอารมณ์เสียอีกล่ะ? “จากนั้นล่ะ?”
“จากนั้นข้าก็เจอหลีหัง” ลู่ยาสูดลมหายใจลึก มองไปนอกหน้าต่างอย่างหมดหวัง “เขาก็ไปตามหาคนเช่นกัน ไปหาเฟยอี ข้านึกขึ้นได้ว่าการหายตัวไปของเฟยอีก็เกี่ยวข้องกับชายชุดเขียว ดังนั้นจึงนำเขาไปยังถิ่นทุรกันดารทางเหนือ หาจนไปถึงคลื่นจิตพสุธา”
“เจ้าไปที่คลื่นจิตพสุธา?” สถานที่ในตำนานของหกภพแห่งนี้ มู่จิ่วยังนึกหวั่นเกรงอยู่บ้าง ทั้งยังรู้สึกประหลาดใจกับการเดินทางครั้งนี้ของเขา แต่นางก็ยังคงจับประเด็นไม่ได้ “ไปที่คลื่นจิตพสุธาแล้วอย่างไร?”
“ประตูหน้าของคลื่นจิตพสุธาถูกผนึกไว้ อีกทั้งคนที่ผนึกไว้ยังใช้พลังสายเสวียนหมิง” ลู่ยามองนาง ความขุ่นเคืองค่อยๆ ปรากฏชัดในแววตา “ไม่เพียงใช้พลังสายเสวียนหมิงผนึกประตูไว้เท่านั้น แม้แต่ข้ายังเข้าไปไม่ได้! เจ้าคนระยำสมควรตาย กล้าใช้พลังของข้าขวางไม่ให้ข้าเข้าไป!”
มู่จิ่วฟังจบก็เบิกตากว้างพูดไม่ออก
เขาถูกพลังเสวียนหมิงของตนเองขวางทางไว้! หนำซ้ำคนที่ผนึกยังแข็งแกร่งกว่า ทำไมฟังดูเหมือนเรื่องล้อเล่นนัก…ไม่ๆๆ นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่ประเด็นคือเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้แน่ เขาเป็นต้นกำเนิดของพลังสายเสวียนหมิง จะถูกผู้อื่นใช้พลังนี้ขวางทางได้อย่างไร?!
นางเหม่อมองลู่ยาอยู่นาน เข้าใจความคับแค้นของเขาอยู่บ้าง
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องพลังเสวียนหมิงของเขา แต่เขาเป็นถึงลู่ยาเต้าจู่ที่สั่นสะเทือนทั้งหกภพ ถึงแม้พลังบำเพ็ญจะไม่แข็งแกร่งเท่าศิษย์พี่หญิงชาย แต่ด้วยความเอ็นดูที่ปฐมวิญญาณและศิษย์พี่มีต่อเขา เขาจึงไม่เคยถูกรังแกมาก่อน แค่เห็นเขาทำกับจื่อจิ้งเช่นนั้น มู่จิ่วก็สามารถจินตนาการได้ทันทีว่า ถึงแม้เขาจะมีช่วงเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง แต่สุดท้ายก็เป็นคนที่ลงไปร้องไห้ชักดิ้นชักงอแล้วหัวเราะทีหลังเสียมาก
ตอนนี้ดีนัก เขากลับโดนคนอื่นใช้พลังของตนเองมาขวางไว้ คนรักศักดิ์ศรีหน้าตาเช่นเขาต้องเจ็บปวดอยู่แน่ๆ
นางยื่นมือเข้าไปประคองหน้าเขา เอ่ยปลอบว่า “เอาละ ไม่ต้องโมโหไป ไม่แน่ว่าคนคนนั้นอาจใช้ประโยชน์จากช่องโหว่อะไร เจ้าเพียงไม่รู้ตัวเท่านั้น จะมีใครฝึกฝนพลังสายเสวียนหมิงได้เก่งกาจเท่าเจ้าอีก? หากปะทะกันโดยตรง ไม่แน่ว่าเขาอาจจะรับฝ่ามือแรกของเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“รู้ไว้ด้วยว่าเจ้าคือเทพชั้นสูงที่เก่งกาจที่สุดในใจข้า”
“จริงหรือ?” ลู่ยามองนางอย่างน่าสงสาร
“แน่นอน อย่างไรข้าก็เชื่อว่าไม่มีใครเก่งกว่าเจ้าแน่นอน” มู่จิ่วพยักหน้าหนักแน่น
แววตาของลู่ยาฉายแววภูมิใจออกมาเล็กน้อยในที่สุด เขามองนางก่อนเอ่ย “ข้าเดาว่าคนผู้นี้อาจเป็นชายชุดเขียว”
“ชายชุดเขียว?” มู่จิ่วชะงัก
“เพราะเบาะแสเกี่ยวกับเฟยอีมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาอยู่บ้าง” ลู่ยาพูดต่อ “วิญญาณของเฟยอีไปยังถิ่นทุรกันดารทางเหนือ และวิญญาณที่เขาหลอมขึ้นมาก็เป็นวิญญาณของหกภพ…ข้ายังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด สรุปคือข้าเพียงสังหรณ์ใจ ชายชุดเขียวคือคนที่ผนึกประตูใหญ่ของคลื่นจิตพสุธาไม่ให้ข้าเข้าไป ข้าก็ไม่รู้เหตุผลที่เขาทำเช่นนี้ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่เหตุผลที่ดีแน่!”
มู่จิ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดเสียงอ่อนโยน “ถึงจะเป็นชายชุดเขียวก็ไม่เป็นไร ถึงแม้เขาจะบำเพ็ญพลังสายเสวียนหมิง ก็ไม่อาจบำเพ็ญอีกสามพลังที่เหลือได้ เมื่อถึงยามคับขัน เหล่าศิษย์พี่ของเจ้าต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแน่นอน” และกล่าวต่ออีก “เจ้าเคยเอาเรื่องนี้ไปพูดกับหนี่ว์วาเหนียงเหนียงแล้วหรือยัง?”
“พูดแล้ว” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ลู่ยาก็อารมณ์ไม่ดีอีก “แต่เมื่อครู่ข้าไปที่วังเทียนสวี่มา ศิษย์พี่บอกว่านี่เป็นเรื่องของข้า ให้ข้าจัดการเอง แม้แต่ประตูข้าก็ผ่านไปไม่ได้ แล้วจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร? อีกอย่าง เรื่องคลื่นจิตพสุธานี้เกี่ยวข้องกับใต้หล้าฟ้าดิน จะกลายเป็นเรื่องของข้าเองได้อย่างไร? กระทั่งไปดูนางยังไม่ไป จากนั้นก็ไล่ส่งข้าออกมา”
มู่จิ่วยิ่งรู้สึกว่าเขาเหมือนเด็กน้อยที่กำลังงอแงกับศิษย์พี่เพราะเจออุปสรรค จึงทำได้เพียงปลอบเขาต่อ “เหนียงเหนียงต้องเชื่อมั่นในตัวเจ้าแน่ ดังนั้นจึงได้มอบหมายให้เจ้าจัดการเรื่องสำคัญเช่นนี้ เจ้าดูตัวเองเที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกตลอด เรื่องบนสวรรค์อันสูงส่งล้วนเป็นศิษย์พี่เจ้าจัดการดูแลทั้งนั้น ให้เจ้าจัดการเรื่องนี้ก็สมเหตุผลอยู่”
“เจ้าคือลู่ยาเต้าจู่ผู้แข็งแกร่งและมีชื่อเสียงลือเลื่อง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ต้องทำอะไรเจ้าไม่ได้แน่ ข้าไม่เชื่อว่าชายชุดเขียวนั่นจะทำอะไรเจ้าได้”
ลู่ยาปรายตามองนาง ถึงแม้ไม่ได้เอ่ยคำ แต่ใบหน้ากลับแสดงความพึงพอใจอย่างมาก
มู่จิ่วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ไม่เช่นนั้น ข้ากับเจ้าไปเฝ้าที่นั่น ดูกันว่าใครเป็นคนทำ?”
“จะทำได้อย่างไร? เจ้ายังไม่ทันเข้าไปก็อาจถูกพลังวิญญาณที่นั่นเผาจนเป็นเถ้าถ่านแล้ว” ลู่ยาปฏิเสธนางทันควัน
ลู่ยาเก็บสองขาขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนตั่ง ยื่นปากชี้ไปบนโต๊ะ “ข้ากระหายน้ำ”
มู่จิ่วรินน้ำให้เขา
“เช่นนั้นพวกเราก็อย่าไปคิดถึงมันเลย ในเมื่อแม้แต่ศิษย์พี่หญิงเจ้ายังคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เจ้าย่อมต้องแก้ปัญหาได้เองอยู่แล้ว”
ลู่ยากลับไม่มีคำพูดใดเอ่ยตอบ
ปกติเขาทำตามคำสั่งเท่านั้น กลับเป็นพวกหงจวินที่ดูแลเรื่องราวในหกภพเสียมาก หากผนึกนั้นเป็นคนนอกทำขึ้นมาจริง และหากเป็นชายชุดเขียวที่ภูมิหลังลึกลับคนนั้นจริง พวกเขาจะยังนั่งเฉยได้อยู่อีกหรือ? เกรงว่าจะรู้อยู่นานแล้ว นั่นยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะนิ่งเฉยรอให้เขาวิ่งไปฟ้องเข้าไปใหญ่
แต่ในเมื่อไม่ใช่คนนอกที่วางแผนอะไรอยู่ เช่นนั้นเป็นใครเล่า?
บนโลกนี้ คนที่สามารถสำแดงพลังเสวียนหมิงได้ถึงขีดสูงสุดและบำเพ็ญได้บริสุทธิ์เช่นนี้มีเพียงลู่ยาเท่านั้น อีกคนก็เป็นปฐมวิญญาณ เขาเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในการควบคุมบัญชาสรรพสัตว์ ปฐมวิญญาณสามารถใช้พลังเสวียนหมิงขวางทางลู่ยาได้ แต่ประเด็นคือเขาไม่อยู่แล้ว จะสามารถออกจากการดับสูญมาขวางทางลู่ยาได้อย่างไร?
ใช่แล้ว พลังเสวียนหมิงนี้สามารถขวางทางเขาและคนที่พลังบำเพ็ญต่ำกว่าเขาได้ พวกหุนคุนพลังสูงส่งกว่าเขา เข้าไปย่อมไม่เป็นปัญหา แต่ทำไมคนผู้นี้ต้องขวางทางกันด้วย? หรือเขาคำนวณได้แม่นยำว่าลู่ยาจะต้องไปที่นั่น?
ใครจะเก่งกาจเยี่ยงนี้?
มุ่งเป้ามาทางเขา?
อีกอย่างคนผู้นี้ขังเขาอยู่ข้างนอก ข้างในซ่อนความลับอะไรไว้หรือกำลังทำเรื่องอื่นใดกันแน่?
“อย่าขมวดคิ้วเลย ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นเบาะแสหนึ่ง หากมีเวลาว่างค่อยสืบเสาะ ไม่แน่ว่าอาจมีความคืบหน้าก็ได้”
มู่จิ่วนวดคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ของเขา เดิมทีนางก็กังวลอยู่บ้าง อาจมีคนที่เก่งกล้าสามารถวางแผนอะไรบางอย่างอยู่จริง ตอนนี้แม้แต่หนี่ว์วาก็ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย เรื่องนี้ก็ควรจะเป็นเรื่องเล็ก แต่นางเพิกเฉยต่อเรื่องนี้จนเกินไปไม่ได้เหมือนกัน อย่างไรคนผู้นี้ก็ก่อเรื่องไม่ดีไว้ กระทั่งใช้วิธีชั่วช้ากับลู่ยา ช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว!
…………………………………………………………………..