ถึงแม้เขาจะร้ายกาจยิ่งกว่านี้ก็ตาม แต่มือของเขาไม่อาจเปื้อนเลือดอีกแล้ว แม้หัวชิงจะปล่อยเขาไปเพราะคำขอร้องของนาง แต่กลับไม่ได้เลิกระแวดระวังเขา ในฐานะเจ้าสำนัก หัวชิงอาจจะไม่สนใจความสัมพันธ์ฉันท์หญิงชายระหว่างพวกเขา แต่ย่อมไม่อาจเพิกเฉยต่อคนที่อาจจะมีภัยคุกคามต่อสำนักได้!
หากเขาฆ่าหูเจียงเต๋อ นางกล้ารับประกันว่าอีกไม่นานหัวชิงก็ต้องรู้ ถึงตอนนั้นก็ปิดเรื่องที่พลังของเขามากขึ้นไม่อยู่แล้ว จีหมิ่นจวินต้องออกมาซ้ำเติมแน่…นางไม่ยอมให้เขาเป็นเช่นนั้น ดังนั้นจึงพุ่งเข้าไปโดยไม่สนใจอะไร ในยามนั้นนางกระทั่งเตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะต้องตายด้วยเงื้อมมือเขา!
นางไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองถึงเข้าไปขวาง และก็ไม่เข้าใจว่าทำไมยังต้องแอบชี้แนะหูเจียงเต๋ออีก
หูเจียงเต๋อย่อมเข้าใจว่านางหมายถึงอะไร อยู่ให้เป็นเสียหน่อย ในเมื่อไม่อาจขัดคำสั่งของหัวชิงได้ ทั้งยังไม่อาจหาเรื่องหลินเจี้ยนหรู วิธีที่ดีที่สุดคืออะไร? ทำได้เพียงดื้อตาใส เปิดตาข้างปิดตาข้างเท่านั้น
นางหวังว่าหลินเจี้ยนหรูที่สุดท้ายก็ปล่อยหูเจียงเต๋อไปแล้วก็จะให้โอกาสเขาเช่นกัน
นางยกแก้วดื่มเหล้า จากนั้นนั่งลง มือกุมหน้าผาก
เขาไม่ต้องการนาง นางก็ไม่ได้ถึงขนาดขาดเขาไม่ได้
แต่นางย้อนกลับไปเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้อีกแล้ว ตั้งแต่เขาเอ่ยความในใจกับนางที่ถ้ำลมหนาวนั้น นางก็ไม่อาจกลับไปดูแคลนรังแกเขาเช่นในอดีตได้อีก ทั้งยังไม่อาจไม่สนใจเรื่องของเขาด้วยเหมือนกัน
แต่เดิมนางไม่ใช่คนใจดำ แต่ครานั้นนางผิดที่ช่วยคนชั่ว
ถือว่านางติดค้างเขาก็แล้วกัน
ลู่ยาอารมณ์ดีขึ้นมากแล้วในวันถัดมา
แต่มู่จิ่วรู้ว่าเขาเหย่อหยิ่งขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะวางเฉยไม่สนใจจริงๆ ดังนั้นในเมื่อเขาไม่พูดถึงเรื่องนั้นนางก็ไม่พูด เพียงทำตัวตามปกติ นอกจากหาโอกาสป้อยอเขามาตลอดหลายวันจนสีหน้าเขาสดใสขึ้นมาก วันนี้ก็ออกไปดูตาข่ายสวรรค์ที่ตัวเขาสร้างไว้ที่หงชาง
มู่จิ่วกลับกังวลที่เขาทำแบบนี้ เพราะมันอาจขัดขวางชิงเสียที่จะส่งข่าวมาหานาง แต่ลู่ยาบอกว่าไม่เป็นไร เพราะตาข่ายสวรรค์ที่เขาสร้างขึ้น แม้แต่จุ่นถีก็หาไม่พบ หากพวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่เขาหงชางจริง ตาข่ายนี้ก็ไม่รบกวนการเข้าออกตามปกติ เพราะสิ่งที่ลู่ยาต้องการก็คือการปรากฏตัวของพวกเขา
มู่จิ่วได้ยินเช่นนี้ก็วางใจ
อีกทั้งนางพบว่าลู่ยาดูยุ่งขึ้นมาก แต่ก่อนเหมือนพวกคนติดบ้านอยู่ในห้องทั้งวันไม่ออกไปไหน ช่วงนี้กลับออกไปข้างนอกทุกวัน บางครั้งออกไปครึ่งค่อนวัน บางครั้งไปหนึ่งถึงสองวัน ทั้งยังไม่บอกอะไรชัดเจนกับนาง นางเดาว่าเขาต้องกำลังจัดการเรื่องของคลื่นจิตพสุธาอยู่แน่ จึงไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยให้เขาจัดการตามใจชอบ
ตอนนี้ในหน่วยรับคดีเล็กน้อยมาหลายคดี แต่ใช้เวลาเพียงสามถึงห้าวันก็จัดการเรียบร้อย
สบายก็สบายอยู่ แต่คดีเหล่านี้สะสมบุญกุศลได้น้อยเหลือเกิน บางคดีถึงกับถูกละเลยด้วยซ้ำ ไม่มีบุญกุศล วาสนาเซียนย่อมไม่เพิ่ม หากวาสนาเซียนไม่เพิ่ม วันที่จะได้เลื่อนขั้นของนางยิ่งห่างไกลออกไป
ดังนั้นช่วงนี้นางจึงครุ่นคิดว่าช่วงนี้ที่ไหนมีคดีใหญ่อะไรให้ทำได้บ้าง
แต่น่าเสียดายที่ไม่มี ตั้งแต่มูจิ่วเข้ามารับตำแหน่ง หน่วยของนางก็กลายเป็นกลุ่มรับทำคดีใหญ่ที่มีชื่อเสียงท่ามกลางสำนักบัญชาการทั้งหมด กระทั่งนางยังไม่มีคดีให้ทำ คนอื่นก็ย่อมต้องไม่มี
บางครั้งนางก็รู้สึกว่าตนเองชั่วร้ายอยู่บ้าง หากมีคดีใหญ่นั่นก็หมายความว่ามีคนลำบาก เพื่อขึ้นเป็นเซียนนางกลับหวังให้คนอื่นตกที่นั่งลำบาก เช่นนี้ก็ไม่ดีนัก
วันนี้นางพาอาฝูและรุ่ยเจี๋ยไปเยี่ยมหลิวจวิ้นที่จวน เห็นหลิวจวิ้นกำลังอ่านหนังสือในสวนดอกไม้ จึงเดินเข้าไป “ใต้เท้ากำลังอ่านอะไรอยู่หรือ?”
หลิวจวิ้นวางหนังสือลงบนโต๊ะ เอ่ยตอบ “ไม่นานมานี้หลีหังเจินเหรินกลับมายังสวรรค์แล้ว เขาเอ่ยถึงเรื่องคลื่นจิตพสุธา ข้าจึงหาบันทึกโบราณมาอ่านเสียหน่อย”
หลีหังกลับมาสวรรค์ ทั้งยังเล่าเรื่องนี้ให้หลิวจวิ้นฟัง?
“เขาว่าอย่างไรบ้าง?” มู่จิ่วรีบถาม
“บอกว่าจิตวิญญาณของเฟยอีอาจจะอยู่ที่คลื่นจิตพสุธา” หลิวจวิ้นจิบชาคำหนึ่ง
“ยังว่าอะไรอีกหรือไม่?” มู่จิ่วอยากรู้ว่าเขาได้ป่าวประกาศเรื่องที่ลู่ยาถูกขวางด้วยเขตพลังออกไปทั่วหรือไม่
“ยังมีอะไรอีก?” หลิวจวิ้นเริ่มอารมณ์ไม่ดีอีก ด้วยไม่ชอบคนจี้ถามเช่นนี้ “ยังมีอะไรต้องเล่าอีกหรือ?”
มู่จิ่ววางใจ
หากหลีหังกล้าพูด นางต้องหาโอกาสไปฟ้องหวังหมู่เหนียงเหนียงแน่นอน!
มู่จิ่วหยิบบันทึกขึ้นมาพลิกเปิด เมื่อเห็นหน้าแรกก็ชะงักงันไป “หกวิญญาณในคลื่นจิตพสุธาสามารถกลายร่างเป็นร่างเซียนได้?”
“เวลาหลายหมื่นปีไม่ว่าอะไรก็กลายเป็นร่างคนได้ วิญญาณหกภพเดิมก็คือวิญญาณท่ามกลางเหล่าวิญญาณ กลายเป็นร่างคนจะมีอะไรประหลาดกัน” หลิวจวิ้นมองนางด้วยสายตาประหลาด
มู่จิ่วกลับเพิ่งได้ยินครั้งแรก ไม่รู้ว่าวิญญาณหกภพกลายเป็นร่างเซียนแล้วจะมีรูปอย่างไร?
นางเปิดต่อไปอีก
นี่เป็นบันทึกเกี่ยวกับสถานที่ลึกลับบนเก้าทวีปสี่ทะเล บันทึกเกี่ยวกับเรื่องคลื่นจิตพสุธา
เพราะว่าสถานที่นี้ห่างไกลจากคาวโลกีย์ อีกทั้งคนยังรู้จักน้อย มู่จิ่วจึงไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับมันนัก นอกจากรู้ว่าปฐมวิญญาณเคยหลอมหกวิญญาณเพื่อใช้ประโยชน์ในการสะกดควบคุมก็ไม่รู้เรื่องอื่นอีกแล้ว ตอนนี้เมื่ออ่านถึงเพิ่งได้รู้ ที่แท้หกวิญญาณอยู่ที่คลื่นจิตพสุธามาถึงสามแสนปีแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ถูกปฐมวิญญาณผนึกด้วยยันต์เอาไว้
แต่ในบันทึกนั้นกล่าวไว้เพียงเล็กน้อย ที่เหลือเป็นภาพวาด ตำแหน่งที่อยู่ส่วนใหญ่ และลักษณะของหกวิญญาณ คงเป็นเพราะผู้เขียนก็ไม่เคยไปเยือนที่นั่นมาก่อน ภายในเป็นอย่างไรจึงไม่อาจบรรยายออกมาได้ แต่ภาษาที่ใช้ต่างจากในบันทึกปกติ ทั้งยังทำให้รู้สึกหวาดหวั่นยิ่งนัก
มู่จิ่วอ่านส่วนที่เกี่ยวกับหกวิญญาณอย่างตั้งใจ หากปล่อยหนึ่งในหกวิญญาณออกมา ถึงแม้พลังวิญญาณจะแข็งแกร่งมาก แต่ก็ปลดปล่อยได้เพียงส่วนที่พิเศษของตนเองเท่านั้น หากหกวิญญาณรวมพลังกันจะสามารถทำลายใต้หล้าได้ พวกมันเป็นตัวแทนของพลังชั้นยอดในหกภพ เฉกเช่นการก่อกำเนิดศักราชของมนุษย์ตอนเบิกฟ้าผ่าพิภพ
ไม่ว่าพลังวิญญาณในคลื่นจิตพสุธาจะแก่กล้าขนาดไหน มีพวกมันอยู่ก็ไม่ต้องกลัวว่าพลังชั่วร้ายจะรั่วไหลออกมา
“แต่พลังวิญญาณในคลื่นจิตพสุธาแก่กล้าขนาดนี้ เฟยอีจะไปที่นั่นได้อย่างไร?”
“นั่นต้องถามคนผู้นั้นที่บ้านเจ้าแล้ว” หลิวจวิ้นบิเมล็ดสนสองเมล็ด มองนางพลางตอบ
มู่จิ่วพูด “แต่เขาก็ยังไม่เจอตัวเฟยอี” ตามที่ลู่ยาบอกไว้ หลังจากที่เฟยอีเข้าไปในถิ่นทุรกันดารทางเหนือแล้ว กลิ่นอายของนางก็หายไป หากชายชุดเขียวเป็นคนพานางออกมาจากปรโลกเก้าแดนจริง ทำเช่นนี้ต้องมีเป้าหมาย เขาคงไม่ทำเพียงเพื่อพาเฟยอีไปทำลายที่คลื่นจิตพสุธาหรอก?
ที่แท้เฟยอีไปไหนกันแน่?
หรือไปที่คลื่นจิตพสุธา?
ชายชุดเขียวทำให้นางเข้าไปในคลื่นจิตพสุธาได้อย่างไร? เป็นเขาจริงหรือที่ทำเขตพลังที่คลื่นจิตพสุธา?
แต่ชายชุดเขียวฝึกพลังเสวียนหมิงจนเก่งกาจกว่าลู่ยาได้อย่างไร?
“เจ้าคิดอะไรอยู่?” หลิวจวิ้นกินเมล็ดสนพลางเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” มู่จิ่วเลิกคิ้วตอบ ก่อนเก็บมือที่เท้าคางเข้ามา ไม่ใช่ว่านางคิดจะปิดบังเรื่องชายชุดเขียวกับเขา แต่เกรงว่าการพูดถึงชายขุดเขียวจะทำให้โยงถึงเรื่องเขตพลังตรงคลื่นจิตพสุธา นางจะเอ่ยเรื่องที่ทำให้ลู่ยาขายหน้าได้อย่างไร
………………………………