และวันนี้ลู่ยาก็ยังคงไม่กลับมา
มู่จิ่วอารมณ์ไม่ใคร่ดีนัก แต่ก่อนหน้านี้เขาก็เคยไม่กลับบ้านติดต่อกันหลายวันบ่อยๆ ดังนั้นจึงไม่ได้ประหลาดใจเท่าไหร่นัก ยิ่งไปกว่านั้น วันนั้นเขาจากไปอย่างเร่งร้อน ย่อมต้องไปจัดการเรื่องสำคัญแน่ หากเป็นเรื่องสำคัญย่อมไม่มีหนทางปลีกตัวมาได้
แต่ถึงเขากลับมาไม่ได้ก็น่าจะส่งข่าวมาได้บ้าง…
ยามค่ำคืนเพิ่งวางตะเกียบลงก็มีข่าวมาดังคาด มีกระเรียนกระดาษบินเข้ามาถึงกลางลาน แจ้งข่าวเรื่องที่เขายังต้องทำธุระอยู่นอกบ้านอีกสักหลายวัน
มู่จิ่ววางใจ ทุกคนต่างก็กลับไปทำงานของตนเองอย่างสบายใจเช่นกัน
วันถัดมามู่จิ่วไปทำงานหลังจากกินข้าวเสร็จ กำลังคิดจะไปรายงานตัวก่อนไปประตูสวรรค์แดนใต้ ใครจะนึกว่าเพิ่งเดินถึงหน่วยก็มีทหารชั้นผู้น้อยพุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว “ใต้เท้าหลิวมาพบนายพลกัวขอรับ”
มู่จิ่วไม่กล้าชักช้า เดินไปพลางถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“เหมือนกับมีเรื่องสำคัญ ข้าก็ไม่กล้าถามรายละเอียด ท่านนายพลเข้าไปก็จะรู้” เขาพูดจบก็รีบไปทำธุระของตนเอง
มู่จิ่วรีบก้าวเร็วๆ เข้าไปในหน่วยลาดตระเวน เดินผ่านลานตรงใจกลางสุด แต่เพิ่งเดินไปถึงประตูลานก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันจากด้านใน เมื่อฟังอย่างตั้งใจเหมือนมีเสียงของเซียนหญิงหนึ่งคน น้ำเสียงท่าทางร้อนรน แม้จะฟังได้ไม่ชัดนักว่าพูดถึงเรื่องอะไร แต่เสียงกระจ่างใสมีน้ำหนัก
เมื่อมาถึงประตูใต้ชายคา เสียงก็กระทบเข้าโสตประสาท “…เมื่อข้าคิดดีๆ แล้ว เป็นหลินเจี้ยนหรูนั่นแหละที่น่าสงสัยที่สุด อยากขอร้องให้ใต้เท้าช่วยดำเนินคดี ล้างมลทินให้ลูกสาวข้า ต้องให้เจ้าเดรัจฉานนี่ได้รับโทษ! ทัพทหารสวรรค์เป็นหน่วยงานที่ปกปักรักษาแต่ละภพ ย่อมต้องไม่อยากให้มีเดรัจฉานที่ฆ่าพ่อและน้องสาวตัวเองอยู่!”
หูของมู่จิ่วได้ยินเพียง ‘หลินเจี้ยนหรู’ และ ‘ฆ่าพ่อและน้องสาว’ ก็พุ่งเข้าไปในห้องหลิวจวิ้นทันที
ในห้อง หลิวจวิ้นนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน ส่วนทางตะวันตกมีชายหญิงนั่งอยู่คู่หนึ่ง ด้านหลังยังมีศิษย์สองคน ทั้งหมดล้วนสวมเสื้อของสำนักแรกพยับ! เมื่อมองหญิงหน้าตาโกรธขึ้งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ หากนั่นมิใช่จีหมิ่นจวินแม่เลี้ยงของหลินเจี้ยนหรูจะเป็นใครได้อีก?
นางมาที่นี่ทำไม?
คำที่ว่า ‘ฆ่าพ่อและน้องสาว’ หมายถึงอะไร?
ถึงแม้นางจะตัดสัมพันธ์กับหลินเจี้ยนหรูแล้ว แต่กลับยังกังวลใจแทนอยู่ เรื่องนี้ผ่านไปนานแล้ว ทำไมจีหมิ่นจวินถึงรู้ได้?!
“เจ้ามาแล้ว?” หลิวจวิ้นเอ่ย “นั่งลงสิ”
มู่จิ่วตั้งสติตอบรับ แล้วจึงเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ทางฝั่งตะวันออก
จีหมิ่นจวินจ้องหน้านางตั้งแต่นางเดินเข้ามา และดวงตายังปรากฏแววคัดค้าน “เจ้ามาทำอะไร?!”
มู่จิ่วขมวดคิ้วไม่สนใจ เชิดคางขึ้น ไม่ได้พูดอะไร
หลิวจวิ้นตอบ “นี่เป็นคนที่มีความสามารถที่สุดคนหนึ่งในหน่วยบัญชาการของเรา ใต้เท้ากัว กัวมู่จิ่ว คดีนี้ของเจ้า ข้าจะให้นางทำ”
เมื่อเขาพูดออกมา ทั้งจีหมิ่นจวินและมู่จิ่วต่างก็ตระหนกพร้อมกัน!
หลิวจวิ้นพูดถึงคดี นางก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น จีหมิ่นจวินมาร้องทุกข์นี่เอง!
นางมาร้องทุกข์แทนหลินเซี่ยกับจีหย่งฟางที่ตายไปแล้วปีกว่า หลินเจี้ยนหรูมิใช่ปิดบังเรื่องนี้อย่างดีหรือ? ทำไมนางถึงสงสัยขึ้นมาได้อีก? …เอาเถอะ เรื่องนี้มิใช่เรื่องสำคัญอีกแล้ว สำคัญคือตนเองรู้อย่างชัดเจนว่าเรื่องนี้ใครเป็นคนลงมือ แล้วตอนนี้หลิวจวิ้นก็ผลักคดีนี้มาไว้ในมือนาง? นี่มิใช่โยนนางเข้าไปในกองไฟหรอกหรือ?
ไม่ดีแน่แบบนี้!
“ใต้เท้าโปรดพิจารณาอีกที ตอนนี้ข้ายังมีงานอื่นต้องทำอยู่” นางชิงพูดก่อน “อีกอย่างข้ากับหลินเจี้ยนหรูสนิทกัน มันทำให้ไม่โปร่งใสมิใช่หรือ?”
ให้ตายอย่างไรจีหมิ่นจวินก็ไม่ตกลง กัวมู่จิ่วนั่นกับหลินเจี้ยนหรูก็เป็นคนประเภทเดียวกัน นางจะส่งคดีนี้ให้กัวมู่จิ่วทำได้อย่างไร? คดีนี้ยังจะได้รับความยุติธรรมที่ไหน? ไม่ได้แน่นอน!
เมื่อมู่จิ่วพูดออกมา กล้ามเนื้อใบหน้านางก็ขึงตึง!
“หลักฐานอะไรก็ไม่มี เจ้าเอาอะไรมายืนยันว่าหลินเจี้ยนหรูเป็นคนทำ?”
หลิวจวิ้นหน้านิ่งมองนาง “ยังไม่ทันได้สืบเลย! หากเจ้าบอกว่าหลีกเลี่ยงคำครหา เช่นนั้นมีใครในหน่วยเราบ้างที่ไม่สนิทกับหลินเจี้ยนหรู? ข้าก็สนิทกับเขาเช่นกัน พูดเช่นนี้มิใช่ว่าข้าต้องหลีกเลี่ยงคำครหาเหมือนกันรึ? แบบนั้นก็เหลือเพียงให้ฝ่าบาทกับเหนียงเหนียงลงมาไต่สวนด้วยตนเองแล้ว! เป็นบ้าอะไร คนบอกว่าดำก็ดำหรือ? บอกว่าขาวก็คือขาวหรือ?”
มู่จิ่วจนด้วยคำพูด
ใบหน้าของจีหมิ่นจวินเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวแดง คำพูดนี้หลิวจวิ้นพูดกับมู่จิ่ว แต่ความเป็นจริงแต่ละคำพูดนั้นกระทบมาถึงนาง! บอกว่าให้อวี้ตี้กับหวังหมู่ลงมาไต่สวนด้วยตนเอง? พุ่งเป้ามาทางนางชัดๆ มิใช่หรือ!
“ใต้เท้า ท่านพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก หมายวามว่าอย่างไรที่บอกว่าไม่มีหลักฐาน? หรือสิ่งที่ข้ากล่าวไปทั้งหมดมิใช่พยานบุคคล? กัวมู่จิ่วกับหลินเจี้ยนหรูสนิทสนมกันนัก ขอเพียงแค่นางไม่ใช่คนจัดการคดี เปลี่ยนเป็นใครข้าก็ยินดีทั้งนั้น!”
จีหมิ่นจวินพูดเสียงแหลมจนนกอยู่ที่อยู่บนคานล้วนตกใจกลัวบินหนีไปหมด
“เปลี่ยนเป็นใครก็ล้วนยินดี?” หลิวจวิ้นยิ้มเยาะ “ข้าทำงานมานานขนาดนี้ เพิ่งเคยเจอคนที่มาร้องทุกข์เลือกคนทำคดี ทัพทหารสวรรค์ของพวกเราไม่มีกฎนี้ อย่างน้อยพวกเราหน่วยลาดตระเวนก็ไม่มี! หากเจ้าไม่ยอมรับ เช่นนั้นก็ไปร้องทุกข์ที่อื่นเถิด ขอเพียงข้าหลิวจวิ้นยังอยู่ที่หน่วยลาดตระเวน เรื่องของหน่วยนี้ต้องฟังคำสั่งข้าเท่านั้น!”
ถึงแม้มู่จิ่วจะคัดค้านเรื่องที่หลิวจวิ้นให้คดีนี้แก่นาง แต่เมื่อเห็นจีหมิ่นจวินไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเข้ามาล่วงเกินทัพทหารสวรรค์โดนเขาตบหน้าเช่นนี้ ก็อดเหลือบมองนางไปสักครั้งไม่ได้
จีหมิ่นจวินพลันลุกยืน ชายด้านข้างรีบกดนางให้นั่งลง ก่อนโน้มกายคารวะหลิวจวิ้น “ใต้เท้าโปรดระงับโทสะ ศิษย์น้องไม่ได้หมายความเช่นนั้น พวกเรามาวันนี้เพื่อร้องทุกข์ ย่อมต้องให้ใต้เท้าเป็นคนตัดสินใจ ไม่กล้าแทรกแซงการทำงานของท่านแน่”
“ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าก็ไปลงทะเบียนบันทึกกันก่อน แล้วค่อยตามใต้เท้ากัวไป”
ชัดเจนว่าหลิวจวิ้นไม่อยากยุ่งกับพวกเขาแล้ว จึงเรียกลูกน้องด้านข้างหยิบบันทึกมาส่งให้พวกเขา
มู่จิ่วร้อนใจยิ่งนัก ท่าทางเช่นนี้เขาคงไม่เปลี่ยนใจแล้ว เรื่องนี้อย่างไรก็ทำไม่ได้!
นางรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว จะให้นางสืบสวนอย่างไร?
แต่ไม่ว่านางจะส่งสายตาอย่างไร หลิวจวิ้นก็ไม่มองสักนิดและเดินออกไปด้านนอก
นางรีบตามไปขวางเขาไว้หน้าประตูรูปขวด “ขอใต้เท้าโปรดถอนคำสั่งด้วย! เรื่องนี้จะตัดสินเช่นนี้ไม่ได้ ท่านก็รู้ว่าข้าสนิทสนมกับหลินเจี้ยนหรูนัก อย่างไรข้าก็วางตัวลำบาก ได้โปรดอย่าส่งเผือกร้อนให้ข้าเลย!”
“เผือกร้อนอะไร?! ทำไมถึงไม่รู้จักน้ำใจคน? ข้าไว้ใจเจ้าขนาดนี้เจ้ากลับโทษข้า?”
หลิวจวิ้นชี้หน้าตัวเอง โมโหอยู่บ้างจริงๆ “หากข้าไม่เห็นว่าเจ้ารีบร้อนสะสมบุญกุศลขึ้นเป็นเซียน ก็คงคร้านจะเรียกเจ้า! เจ้าคิดว่าข้าขอร้องให้เจ้าทำเช่นนั้นหรือ? ไม่คิดบ้างเลยว่าหลายวันก่อนใครกันที่นั่งเบื่อไร้เรี่ยวแรงทั้งวัน? ข้าหวังดีส่งคดีนี้ให้เจ้าทำ กลับโดนเจ้าบ่นไม่พอใจใส่!”
ความร้อนรนของมู่จิ่วถูกตีกลับลงไปทันที
เรื่องนี้จะอธิบายกับเขาอย่างไรดี!
……………………………………………………….