แต่ละคำของมู่จิ่วมั่นคงหนักแน่น แววตาเป็นประกายแรงกล้า แรงกดดันทั่วร่างทรงพลังเดิมในห้องไม่มีลมพัด แต่ปอยผมริมหูของนางกลับขยับไหวเล็กน้อย
ซ่างกวนสุ่นเดินกลับมา อาฝูก็ยืดตัวยืนข้างนาง
ถึงแม้หลินเจี้ยนหรูมั่นใจว่าพละกำลังของเขาแกร่งกล้ากว่ามู่จิ่ว แต่เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางก็จำต้องสะกดกลั้นความโกรธกลับลงไปหลายส่วน มือทั้งสองจับริมโต๊ะไว้ “ข้าไม่ได้กล่าวเลื่อนลอย! ยามนี้พลังในร่างข้ากลายเป็นพลังสายเสวียนหมิงหมดแล้ว และแต่ก่อนข้าฝึกฝนพลังสายเสวียนชี่ของหงจวินเหล่าจู่! อีกทั้งข้าก็ไม่ใช่คนที่หลอกเขา เป็นหัวชิงที่ถามข้าเอง…”
“ถามอะไร!”
“ถามข้า…ถามข้าว่าเคยเจอลู่ยาเต้าจู่มาก่อนหรือไม่” หลินเจี้ยนหรูกัดฟัน “เขาไม่เพียงดูออกว่าข้ามีพลังเสวียนหมิง แต่ยังมองออกด้วยว่าพลังเสวียนชี่ทั้งหมดถูกผนึกไว้ในชีพจรเส้นหนึ่ง ตอนนั้นเขาเชื่อว่าข้ากับลู่ยาเป็นอาจารย์ศิษย์กัน ดังนั้นข้าถึงได้ตอบรับตามน้ำไป!”
มู่จิ่วถลึงตาใส่หลินเจี้ยนหรู พลันยื่นมือไปจับข้อมือเขา!
นางจับมือลู่ยามาไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง ฟังเสียงลมหายใจของเขาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ อีกทั้งบนแขนของนางยังมีดอกบัวที่เขาประทับไว้ให้อีก ใช่พลังสายเสวียนหมิงหรือไม่ นางแค่ดูก็รู้แล้ว อย่าได้คิดจะหลอกนาง!
ยามที่มือนางสัมผัสโดนข้อมือเขา พลังอันคุ้นเคยก็ไหลปราดเข้ามาสัมผัสปลายนิ้วราวกับกระแสไฟ จากนั้นก็ไหลระเรื่อยเข้ามายังกลางฝ่ามือและหลังมือ…เป็นพลังเสวียนหมิง! และยังเป็นพลังเสวียนหมิงที่บริสุทธิ์ยิ่งนัก!
นางชักมือกลับทันที ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง ราวกับต้องการจ้องเขาจนแหลกละเอียด!
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?!”
นอกจากรุ่ยเจี๋ยกับอาฝูแล้ว ลู่ยาก็ไม่ได้รับศิษย์คนอื่นอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเอาพลังของตนเองยกให้คนอื่นเลย! หากพลังบนร่างหลินเจี้ยนหรูไม่ใช่พลังที่ลู่ยาให้จะเป็นของใครได้อีก? แต่ลู่ยาเอาพลังให้เขา ทำไมนางถึงไม่รู้!
“เจ้าจำคืนที่ข้าไปที่ปรโลกเก้าแดนได้หรือไม่?”
หลินเจี้ยนหรูยืดตัวตรง ความโกรธแค้นในแววตาโหมซัดออกมาราวกับคลื่นทะเล “คืนที่ข้าไปปรโลกเก้าแดน ข้าเจอคนคนหนึ่ง”
มู่จิ่วไม่ได้พูดสิ่งใด
เขาเลียริมฝีปากล่าง ก่อนเอ่ยต่อว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาคือใคร ตอนที่ข้ากำลังตามหาจิตต้นกำเนิดของอู่หลานเอ๋อร์ที่แตกออกไป เขาพลันปรากฏตัวขึ้นมา เอาเศษเสี้ยวจิตต้นกำเนิดนั้นมาข่มขู่ข้า! บังคับให้ข้าเข้าสู่หนทางมาร แต่ข้าไม่ยอม ข้าบอกว่าข้าได้สัญญากับเจ้าไว้แล้ว ย่อมไม่ลงมือทำเรื่องเลวร้ายอีก! หลังจากนั้นเขาก็ขโมยกุญแจจันทราของข้าไป แล้วส่งพลังนี้เข้ามาในร่างกายข้า!”
เขากัดฟันกรอด ความขมขื่นที่กักเก็บไว้นานพลันระเบิดออกมา “เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากเป็นคนดีหรือ? ทำไมข้าต้องเย็นชากับเหลียงชิวฉาน? ไม่ใช่เพราะข้าทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าหรือไร! ข้ายอมรับว่าแต่ก่อนข้าเคยคิดหลอกใช้นาง แต่เพื่อกลับมาเป็นคนดีตามที่สัญญาไว้กับเจ้า ข้าไม่ลังเลเลยที่จะตัดขาดสัมพันธ์กับนางทันที!”
“เป็นนางเองที่ไปฟ้องหัวชิง ทำให้หัวชิงรู้ว่าข้ามีพลังนี้ ถึงได้เกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้น!”
“ข้าเคยมาขอร้องเจ้าให้ช่วยข้าหลุดพ้นจากแรกพยับ แต่เจ้าปฏิเสธไม่ยอมช่วยข้า! ในเมื่อเจ้าไม่ยอมช่วย ข้าจะยังเหลือทางเลือกใดอีก? หรือจะให้ข้ายอมให้พวกแรกพยับกดขี่ต่อไป?! ข้ามีพลังอาคมติดตัวขนาดนี้แล้ว ยังต้องยินยอมใช้ชีวิตเยี่ยงสุนัขรับใช้ไร้เกียรติต่อไปหรือ?!”
“ข้าไม่ได้เป็นคนบอกว่าตนเป็นศิษย์ของลู่ยา เป็นหัวชิงคิดเอาเอง! เขาโง่เขลาขนาดนี้ หรือข้าจะต้องทำตัวโง่เช่นเขาแล้วปฏิเสธเรื่องดีๆ ที่เข้ามา?! เจ้าไม่มีทางเข้าใจความอับอายและอยุติธรรมที่ข้าได้รับมาตลอดสองร้อยปีหรอก! เจ้าไม่มีคุณสมบัติมาทำตัวสูงส่งว่าข้าทำถูกหรือผิด!”
ทั้งลานนั้นก้องไปด้วยเสียงของเขา แต่มีเขตพลังอยู่ เสียงจึงไม่ออกไปข้างนอก
มู่จิ่วทำหน้าเย็นชาเดินขึ้นไป “เจ้าบอกว่าคนผู้นี้บังคับเจ้าเข้าสู่หนทางมาร ยังกล้าเรียกคนผู้นี้ว่าลู่ยาอีก?!”
หลินเจี้ยนหรูกัดฟันยิ้มเยาะ “หากเจ้าคิดดีๆ หลังจากที่ข้ากลับมาจากปรโลกเก้าแดนมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นบ้างหรือไม่!”
มือทั้งสองของมู่จิ่วเกือบจะกำด้ามดาบจนแหลกเป็นผง
ถึงแม้ผ่านมาหลายเดือนแล้ว นางก็ยังจำชัดเจนว่าคืนนั้นหลังจากที่หลินเจี้ยนหรูออกมา เขาดูเงียบผิดปกติ ไม่มีท่าทีดีใจอย่างที่ควรจะเป็น และนางยิ่งจำได้ชัดเจนว่าหลังจากที่กลับมา ลู่ยายังถามว่าระหว่างทางที่นางกับหลินเจี้ยนหรูเดินทางไปปรโลกเก้าแดนมีอะไรผิดปกติหรือไม่!
แต่ลู่ยาจะมอบพลังทำให้เขาเป็นมารได้อย่างไร?
เป็นไปไม่ได้แน่!
“เจ้าคิดว่าลู่ยาเป็นคนดีหรือ? ถึงเขาจะมีชื่อเป็นถึงเทพชั้นสูง ก็เกรงว่าจะเป็นเพียงชื่อที่ได้มาเพราะแผนชั่ว!” หลินเจี้ยนหรูกัดฟันมองนาง ปลายหางตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “ข้าเกรงว่าเจ้าจะโดนหลอกก็เท่านั้น ฐานะของเขาสูงส่งนัก จะมาชอบเจ้าที่ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งเซียนได้อย่างไร? หรือว่า…”
พูดยังไม่ทันจบก็มีเงาหนึ่งพาดผ่านด้านหน้า มือขวาของมู่จิ่วจับคอเขาเอาไว้ “หากเจ้าอยากตาย ก็บอกมาได้เลย!”
เขาไม่ทันได้ปัดป้อง ถอยร่นไปหลายก้าว แผ่นหลังชนกำแพงและไม่อาจขัดขืน!
ซ่างกวนสุ่นไม่เคยเห็นมู่จิ่วในลักษณะนี้ เขายืนนิ่งอึ้งอยู่นานแล้ว ส่วนอาฝูเดินวนไปตามอารมณ์ของมู่จิ่ว ตอนนี้ตั้งท่าพร้อมต่อสู้ ราวกับว่าหากหลินเจี้ยนหรูมีอะไรผิดปติ เขาก็จะพุ่งเข้าไปกลืนกินทั้งเป็น!
มู่จิ่วไม่ได้อาละวาด ไม่ได้กระทืบเท้า ทั้งร่างมีเพียงไอสังหาร
พลังบนร่างค่อยๆ หลั่งไหลออกมา เหล่าขวดกระเบื้องใต้ม่านหน้าต่างรับแรงกระแทกไม่ไหว พากันแตกกระจายเป็นทิวแถว ผ้าปูโต๊ะและม่านต่างก็สะบัดไหวอยู่ตลอด นกแก้วตัวหนึ่งที่เกาะหลังหน้าต่างร้องเสียงดังทั้งยังร่วงลงกระทบพื้น ถึงแม้รอบด้านเรือนจะมีเขตพลังปกคลุมอยู่ แต่พลังนี้ก็ยังม้วนตัวเข้าปะทะต้นไม้ใหญ่หลายต้นในลานบ้านจนโอนเอน
“กัวมู่จิ่ว!”
ถึงแม้ซ่างกวนสุ่นจะเกลียดหลินเจี้ยนหรู แต่เห็นนางเป็นเช่นนี้ก็อดตกใจไม่ได้ ท่าทางเช่นนี้ทำให้เขานึกถึงนางที่คุนหลุนตะวันออก!
สายตาของหลินเจี้ยนหรูไม่มีความเกรงกลัว แต่ดวงตาก็ไม่กล้าละจากใบหน้านางแม้แต่น้อย!
เขาไม่อาจเชื่อมโยงนางที่อยู่ตรงหน้ากับนางที่เป็นมิตรจิตใจดีมาตลอดได้เลย ปกตินางมักจะซื่อตรง ใสซื่อ เกือบจะปฏิเสธคนไม่เป็นด้วยซ้ำ ทั้งยังทนมองคนถูกเอารัดเอาเปรียบไม่ได้ แต่นางตรงหน้านี้ไม่มีความอ่อนโยนในแววตาแม้แต่นิด นางลงมือโดยไม่ลังเล เป้าหมายของนางชัดเจนยิ่ง เพียงแค่มีคนหรือคำพูดใดทำร้ายลู่ยา ก็มีเพียงความตายรออยู่เท่านั้น…
เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มาจากไหน เห็นชัดอยู่ว่านางเป็นเพียงหัวเสิน หรือหลังจากติดตามลู่ยาจึงก้าวหน้าขึ้น แต่ก็น่าจะห่างจากขั้นที่อาจฆ่าเขาได้อยู่มาก แต่เขาคิดว่านางทำได้! เล็บทั้งห้าของนางกดลึกเขาไปบนผิว กำรอบลำคอเขาไว้พอดี เพียงแค่เขาขยับ จะอยู่หรือตายก็ไม่มีใครเดาได้!
“คนผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร?! เจ้าก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นลู่ยา ในเมื่อเจ้าบอกว่าคนผู้นั้นคือลู่ยา ทำไมถึงบอกว่าไม่รู้ว่าคือใคร!”
ซ่างกวนสุ่นพุ่งเข้าไปข้างหน้า ถามหลินเจี้ยนหรูอย่างร้อนรน
มู่จิ่วได้ยินคำนี้มือก็ชะงักเล็กน้อย แววตาก็แข็งกร้าวขึ้นทันที!
“เขา เขาสวมเสื้อเขียว…” หลินเจี้ยนหรูออกเสียงในลำคออย่างยากลำบาก
เสื้อเขียว!
มู่จิ่วพลันคลายมือออก ถามเสียงแข็งว่า “นอกจากเสื้อเขียวล่ะ!”
……………………………………….