กลุ่มคนเดินทางกลับเขาบัวหยก
ซ่างกวนสุ่นรอรับมู่จิ่วอยู่ที่ระเบียงทางเดิน หยิบบันทึกที่จดไว้เมื่อครู่นี้เข้ามาในห้องด้วย “คำให้การเมื่อครู่นี้ ต้องมอบให้หลี่อี้ด้วยหรือไม่?”
มู่จิ่วชะงักอยู่ตรงปากประตู
คำให้การของหลินเจี้ยนหรูเมื่อครู่สามารถยืนยันเรื่องที่เขาเป็นคนฆ่าหลินเซี่ยกับจีหย่งฟางได้แล้ว มีคำให้การอยู่ นางสามารถมุ่งกลับไปยังสวรรค์ได้ทันที แต่นางอยากทำเช่นนี้จริงๆ หรือ?
นางกำหมัด คิดถึงหลินเจี้ยนหรูที่ถูกจีหมิ่นจวิ้นชี้หน้าด่าทอ จึงโบกมือ “เก็บไว้ก่อนเถิด”
นางไม่อยากใจกว้างกับหลินเจี้ยนหรูอย่างไร้เหตุผล แต่ก็ไม่อยากให้เป็นไปตามใจของจีหมิ่นจวิน หากหลินเจี้ยนหรูจะตายก็ต้องตายด้วยกฎของสวรรค์เท่านั้น ไม่ควรตายด้วยความแค้นของจีหมิ่นจวิน เขาสามารถเป็นอย่างทุกวันนี้ จีหมิ่นจวินก็มีส่วนต้องรับผิดชอบเช่นเดียวกัน! นางอย่าได้คิดลำพองใจไป!
ซ่างกวนสุ่นตอบ “เช่นนั้นข้าจะเก็บไว้ก่อนแล้วกัน!”
พูดจบเขาก็นำอาฝูกลับห้อง
มู่จิ่วก็เข้าห้องไปนั่งอยู่ข้างโต๊ะ ไม่รู้สึกง่วงเลย
เรื่องที่ชายชุดเขียวช่วยหลินเจี้ยนหรูทำเรื่องชั่วนั้น ทำให้นางกระสับกระส่ายได้มากกว่าคดีในตอนนี้เสียอีก พลังที่ชายชุดเขียวให้เขาคือพลังเสวียนหมิง นางทดสอบด้วยตนเองแล้ว หัวชิงก็เชื่อโดยไม่มีข้อแม้ นี่เป็นการยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง ชายชุดเขียวฝึกพลังสายเสวียนหมิง ถ้าพิจารณาจากจุดนี้ เขาต้องเป็นคนสร้างเขตพลังที่คลื่นจิตพสุธาอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ที่แท้จริงเขาเป็นใครกันแน่? มีพลังแก่กล้าขนาดนี้มาจากไหน? แล้วทำไมเขาถึงได้คุ้ยเคยกับนางนัก? และทำไมต้องขวางทางลู่ยาด้วย?
ความเป็นไปได้เดียวที่จะฝึกพลังเสวียนหมิงได้กล้าแกร่งเช่นนี้มีเพียงปฐมวิญญาณ แต่ปฐมวิญญาณลาโลกไปนานแล้ว ย่อมต้องไม่อาจรู้จักนาง และยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะทำเรื่องน่าเบื่อพรรค์นี้ หากเขาคิดจะทำอะไรบางอย่าง จำต้องวางแผนซับซ้อนอย่างนี้ด้วยหรือ?
หากไม่ใช่ปฐมวิญญาณก็ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว
แต่พลังเสวียนหมิงของหลินเจี้ยนหรูเป็นของจริง…หรือว่าจะเป็นลู่ยาจริงๆ?
ลู่ยาวางแผนเรื่องเหล่านี้ไว้แต่แรก?
…ไม่ นี่จะเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
ไม่เพียงลู่ยาจะทำเช่นนี้ไม่ได้ นับแต่เขาปรากฏตัวอยู่ข้างกายนาง เขาก็ไม่เคยห่างกายนางเลย! นางเจอชายชุดเขียวบนเขาไท่ครั้งแรก ยังอาศัยดอกบัวที่ลู่ยาประทับไว้หลบหนีออกมา หากเป็นเขาที่ก่อเรื่องทั้งหมดนี้ หากบอกว่าชายชุดเขียวก็คือเขา เช่นนั้นเป้าหมายของเขาคืออะไร?
หากลู่ยาคิดจะอาศัยพลังของคลื่นจิตพสุธามาเติมเต็มความทะเยอทะยานของตน…แต่เขาเป็นถึงหนึ่งในสี่จตุรเทพแล้ว ทำไมเขาต้องทำแบบนี้อีก? เขาเป็นคนที่ฐานะสูงส่งที่สุดในโลกนี้ วิชาอาคมแก่กล้าที่สุด เป็นหนึ่งในสี่เทพที่มีอำนาจมากที่สุด และในสายตาของเขาอำนาจก็ไม่ได้มีค่าอะไรกระมัง? พูดในอีกแง่หนึ่ง ถ้าเขาทะเยอทะยานก็ไม่จำเป็นต้องรอถึงตอนนี้!
อีกทั้งยิ่งไม่จำเป็นต้องยืมมือนาง และยิ่งไม่ต้องตั้งใจหลบซ่อนไม่ให้นางรู้ด้วย!
นางไม่เชื่อ ชายชุดเขียวไม่ใช่ลู่ยาแน่นอน!
แต่เขาเป็นใครกันแน่?
มือทั้งสองของนางยกขึ้นกุมหัว รู้สึกสมองชาไปทั้งหมด ทำให้ราวกับมีพลังเคลื่อนไหว วิ่งพล่านไปทั่วทั้งแขนขา
เขาไม่เพียงวางแผนสร้างคดีมากมายขนาดนั้น แต่ยังช่วยให้หลินเจี้ยนหรูเข้าสู่ทางสายมาร! หากนางเห็นย่อมต้องไม่อาจญาติดีกับเขาได้เหมือนเมื่อก่อนอีก…
ตอนนี้นางพลันคิดถึงความผิดปกติตอนที่จับหลินเจี้ยนหรูไว้ก่อนหน้านี้
ดูจากอาคมของเขา หากตอนนี้นางคิดจะบีบคอเขาก็ลำบากเกินไปแล้ว เว้นก็แต่เขาจะไม่ขัดขืนเลย แต่เมื่อครู่นี้ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิดขัดขืน เห็นได้ชัดว่าสู้ไม่ได้ ตอนนั้นแม้นางจะกำลังโกรธอยู่ ทว่าตอนนี้หวนนึกถึงแล้วกลับรู้สึกเหมือนพลังพุ่งพล่าน ไม่ต้องพูดว่าเป็นหลินเจี้ยนหรู ถึงเป็นไท่ซ่างเหล่าจวินนางก็ไม่ละเว้น…
นี่คือเรื่องอันใดกัน?
นางมองมือตนเอง ยิ่งรู้สึกสับสน
นางจำได้ว่าคราวก่อนที่นางมีพลังทำลายฟ้าดินเช่นนี้ก็คือที่คุนหลุนตะวันออก นั่นเป็นเพราะลู่ยา ครั้งนี้แม้จะไม่ผิดปกติถึงขั้นนั้นแต่ก็เป็นเพราะลู่ยาเช่นกัน…
หรือพลังวิญญาณในร่างนางกับเขาจะเป็นเหมือนอย่างที่หลิวหยางบอก มีความเกี่ยวข้องกัน?
นางจ้องไปด้านหน้าแน่นิ่ง ก่อนจะยืนขึ้นมากะทันหัน…
ไม่ว่าพูดอย่างไร นางก็ควรจะไปหาลู่ยา บอกเขาเรื่องที่ว่าชายชุดเขียวเป็นคนสร้างเขตพลังที่คลื่นจิตพสุธา!
“อาฝู!”
นางเปิดประตูห้องอาฝู เรียกเขาออกมา ก่อนจะไปบอกซ่างกวนสุ่น แล้วขึ้นขี่อาฝูออกจากแรกพยับไป
มู่จิ่วเดาว่าลู่ยายังอยู่หงชาง นางจึงมุ่งหน้าไปที่นั่น จะได้ขอคำชี้แนะว่าจะจัดการเรื่องหลินเจี้ยนหรูอย่างไรดีด้วย
ลู่ยาอยู่ที่เรือนสนครวญมาสามวันแล้ว ไม่เห็นจื่อเย่าจะมา ในใจจึงไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก
จุ่นถีกลับอยู่อย่างสงบยิ่ง ทุกวันตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ไปฝึกพลังที่ป่าไผ่สักรอบ ก่อนกลับเรือนไปกินข้าวเช้า…นี่เป็นนิสัยที่ถูกบ่มเพาะมาตอนอยู่กับมู่จิ่ว ตอนนี้เคยชินไปเสียแล้ว ประเด็นคือที่นี่ยังมีอีกคนที่ถูกนางอบรมจนเป็นนิสัยอยู่ด้วย อาหารเช้าจึงสำคัญยิ่งนัก
หลังอาหารเขาก็จะไปอ่านหนังสือสักหนึ่งชั่วยาม จากนั้นกลับไปห้องคัมภีร์หรือไปชมดอกไม้ ให้อาหารนก อาหารกลางวันก็ไม่ชักช้า ยามกลางวันพักผ่อนสักครู่ ช่วงบ่ายก็ไปคัดลอกคัมภีร์ ฝึกสมาธิ ทำแบบนี้ทุกวันใช้เวลาเท่าเดิมไม่ขาดไม่เกิน กระทั่งก้าวเดินยังราวกับคำนวณมาแล้ว
ลู่ยาไม่ชินกับท่าทางดังคนแก่เช่นนี้ของเขาเลย
แต่ว่างก็คือว่าง เมื่อเห็นจุ่นถีเพิ่งออกมาจากโถงหลักที่สอนเหล่าศิษย์ฝึกพลัง ก็หมุนตัวเข้าไปแจกขนมให้เหล่าเด็กๆ ลู่ยาอาศัยตอนที่เขาไปเขียนยันต์พาเหล่าเด็กน้อยไปจับนกเป็ดน้ำ คราวก่อนที่เขาพลั้งมือทำลายเขาของสำนักตะวันอำพรางไปทำให้เกิดพื้นที่ราบแห่งหนึ่ง จื่อจิ้งสร้างสนามประลองที่นี่แล้วให้พวกเขาต่อสู้กัน ใครชนะจะได้ขวดที่ใส่ปลาส่องแสงได้จากทางช้างเผือกไป
ตอนนี้เหล่าเด็กๆ เล่นสนุกอยู่กับท่านอาจารย์ผู้ก่อตั้ง วันวันเล่นอยู่ในหุบเขาจนผมเผ้ายุ่งเหยิง
พวกมู่หัวมู่อวิ๋นมองจนปากสั่น ทำได้แต่ขอบคุณในความกรุณาอันล้นพ้นของอาจารย์อาใหญ่ผู้นี้
ล่วงเกินไม่ได้จริงๆ!
แต่หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปก็ไม่เข้าที! ดังนั้นหลังจากปรึกษาหารือกันแล้วจึงวิ่งโร่ไปฟ้องจุ่นถี
จุ่นถีฟังจบก็นิ่งไปครู่หนึ่ง เขาเพียงรู้ว่าลู่ยาพาเด็กๆ ออกไปเล่นข้างนอก ดูแล้วก็ไม่นับว่าเกินไป แต่คิดไม่ถึงว่าจะพาเด็กๆ ไปเปิดลานต่อสู้ให้ตีกัน!
นี่มันจะเกินไปแล้ว!
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงลุกขึ้นไปหาลู่ยาที่ห้อง เรียกอีกฝ่ายอยู่ที่ริมหน้าต่าง
“อาจารย์อา”
ลู่ยาเพิ่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา ทั่วทั้งร่างสะอาดสดชื่น เขารับชาหอมที่จื่อจิ้งส่งมาให้ก่อนถาม “จื่อเย่ามาแล้วหรือ?”
“ยังขอรับ” จุ่นถีฝืนตอบ “แม้จะยังไม่มา ท่านก็ไม่ควรทำให้เหล่าเด็กเสียคน และยังทำลายกฎระเบียบด้วย ต่อไปข้าจะสอนพวกเขาได้อย่างไร?”
“กฎ? ในสายตาข้าไม่มีกฎอะไรทั้งนั้น” ลู่ยาถือชาพลางนั่งลง นิ่งสงบอยู่บนเก้าอี้พร้อมเหลือบตามองเขา “หากเจ้าอยากคุยเรื่องกฎกับข้าจริงๆ เช่นนั้นก็ยึดตามมกฎของข้าก่อน จะดีร้ายข้าก็คืออาจารย์อาของเจ้าใช่หรือไม่? คนที่ข้าถามหาล่ะ? ไม่พาคนมาเจอข้าก็อย่าหวังจะมาพูดเรื่องกฎอะไร”
……………………….