“จากนั้นล่ะ? นางจากไปเช่นนี้หรือ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งราวกับไม่ได้พูดมาราวหมื่นปี
“หากเป็นเช่นนั้นก็แล้วไปเถิด” หงจวินที่นั่งอยู่ตรงข้ามยืนขึ้นมา มองไปยังด้านนอกอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นยกพู่หางม้าขึ้นชี้ไปทางเขา “แต่ด้วยนิสัยเช่นนี้ของเจ้า ไม่ลงมือทำอะไรจะนิ่งเฉยได้อย่างไร?”
…ลู่ยาตามหาลู่จีไปทั่วทั้งฟ้าดิน
เขาเหมือนกับเสียสติไปแล้ว
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยสูญเสียสิ่งของใดมาก่อน มีเพียงทิ้งพวกมันไป ไม่เคยสูญเสีย
แต่ครั้งนี้กลับเป็นความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เขาสูญเสียลู่จีไปแล้ว เขาไม่มีนางแล้ว
นางเป็นเทพหญิงที่เกิดจากหกวิญญาณ ไม่ว่าอยู่ที่ภพไหนก็ไม่มีร่องรอยกลิ่นอายทิ้งไว้ แต่นางยังไม่รู้จักการเก็บงำพลังวิญญาณ ดังนั้นเขาทำได้เพียงตามหาตามจุดที่คลื่นพลังวิญญาณเคลื่อนไหวรุนแรงมากที่สุด
สุดท้ายเขาเจอนางที่คุนหลุนตะวันออก
นางอยู่กับปีศาจตนหนึ่งของโลกมนุษย์
ปีศาจตนนั้นชื่อหลินเจี้ยนหรู ถูกคนปิดล้อมทำร้ายบาดจนเจ็บหนัก เขาเป็นพวกทำร้ายอาจารย์ผลาญบรรพบุรุษ ลู่ยาอยากจะฆ่าเขา แต่หลินเจี้ยนหรูกลับไม่เคยใช้พลังวิญญาณซึ่งแผ่ออกมาเองของลู่จีเพื่อประโยชน์ของตนเลย เรื่องของหกภพไม่เกี่ยวกับลู่ยา เขาไม่จำเป็นต้องสนใจว่าหลินเจี้ยนหรูเคยทำอะไรมาก่อน เพียงแค่ไม่ทำร้ายลู่จี เขาก็ไม่มีเหตุผลต้องฆ่าอีกฝ่าย
แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่เขาไม่ทำก็เพราะกลัวว่าหากทำลงไปจะเป็นการกระตุ้นนางอีก
ลู่จีไม่เคยออกมาเผชิญโลกกว้าง นางแยกแยะคนดีคนเลวไม่ออก
หลินเจี้ยนหรูปฏิบัติต่อนางอย่างเพื่อนที่ดี ทั้งยังสร้างเรือนหลังหนึ่งตรงหุบเขาให้นางอยู่อาศัย ส่วนเขาอยู่ในถ้ำเขาที่ห่างออกไปไม่ไกล
ยามกลางวันเขาจะดูดซับพลังวิญญาณของบึงน้ำดำเพื่อรักษาบาดแผล ยามค่ำคืนก็ทำอาหารซักผ้าให้นาง ลู่จีไม่เคยเห็นสิ่งของบนโลกมาก่อน จึงรู้สึกขอบคุณเขาอย่างมากที่เปิดโลกกว้างให้กับนาง
หลินเจี้ยนหรูพูดคุยเรื่องบนโลกมนุษย์และโลกเซียนกับนางมากมาย เขาเป็นมารที่มีบริวารมาก แต่สามารถทำตัวเฉกเช่นมนุษย์ธรรมดาได้ดียิ่ง กระทั่งเลี้ยงไก่หลายตัว แมวลายตัวหนึ่ง และสุนัขสีเหลืองตัวหนึ่งไว้ในหุบเขา ด้านหน้าประตูยังขุดแปลงผักไว้ ปลูกผักกาดขาวและฟักทอง ตรงรั้วยังปลูกดอกเบญจมาศสีเหลืองทองไว้เต็ม
ลู่จีเด็ดดอกเบญจมาศมาปักแจกัน ทั้งยังทำชาดอกเบญจมาศ ชาที่นางรินหอมจนเขาสามารถได้กลิ่นในระยะสามลี้
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่นางเรียนรู้จากหนังสือ
ความฉลาดเฉลียวของนางมักทำให้คนคาดไม่ถึงเสมอ
หลินเจี้ยนหรูมักจะมองนางจากที่ไกลๆ นี่ทำให้ลู่ยาแอบไม่พอใจนัก
แต่หลายครั้งที่เกิดความคิดชั่ววูบว่าอยากจะพานางจากไป ก็ต้องข่มกลั้นตนเองเอาไว้
ความรู้สึกที่นางมีต่อเขาเกิดจากความลุ่มหลงหรือเพราะบรรยากาศหรือไม่ นี่มิใช่เรื่องที่เขาอยากจะรู้ให้กระจ่างหรือ?
เขากำลังพนันกับตนเอง อยากเดิมพันดูว่าจะมีวันที่ลู่จีพบว่าตนเองไม่ได้ชอบเขาขนาดนั้นเมื่อพบเจอใครอีกคนหรือไม่
เขาอยากให้นางเผชิญเรื่องราวในโลกมากกว่านี้ เข้าใจว่าบางครั้งคนก็เปลี่ยนแปลงกันได้ อยากลองดูว่าหลังจากที่นางมีประสบการณ์แล้ว ยังจะจดจำเขาได้หรือไม่
นางกับหลินเจี้ยนหรูไม่ได้พัฒนาความสัมพันธ์ไปในทางที่เขานึกกลัว
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเหมือนเพื่อนที่ร่วมลำบากเผชิญหน้ากับโลกใบใหญ่เท่านั้น
นางเริ่มออกเดินไปทั่วอย่างสนใจใคร่รู้ ฟังคำแนะนำของหลินเจี้ยนหรูว่าให้แต่งตัวสามัญเมื่อออกไปเดินเล่น
นางไปทิวเขาริ้วหยกเพื่อดูหงส์เพลิงแต่งตัว
ที่นั่นนางได้เห็นการลอบคบชู้กันระหว่างราชามังกรทะเลสาบน้ำแข็งกับหงส์เพลิง นางไม่รู้ว่าอะไรคือการลอบคบชู้ ส่วนราชามังการทะเลสาบน้ำแข็งกับหงส์เพลิงคิดว่านางเป็นปีศาจถ้ำมอง จึงไม่สบอารมณ์กับนางนัก ราชาปีศาจถึงกับโทษว่านางบุกรุกเข้ามาขัดความสำราญระหว่างเขากับหงส์เพลิง จึงเรียกฝนมาสาดเสื้อผ้านางจนเปียกปอน
ลู่จีจึงเริ่มเข้าใจว่าความรักระหว่างชายหญิงไม่ได้สะอาดบริสุทธิ์อย่างที่นางคิด
แต่ก่อนบนหน้านางมีเพียงอารมณ์ดีใจโกรธเศร้าสุขใจเท่านั้น แต่ตอนนี้เริ่มมีอารมณ์ที่คาบเกี่ยวปนเประหว่างอารมณ์เหล่านั้นแล้ว
ระหว่างนางกับหลินเจี้ยนหรูมาถึงจุดที่ไม่ได้มีเรื่องให้พูดกันมากมายขนาดนั้นแล้ว
มีอยู่ครั้งหนึ่ง นางขมวดคิ้วบอกว่าไม่ชอบกลิ่นเลือดที่ติดอยู่บนกายเขา
นางยังคงไม่รู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร เพราะนางไม่รู้ว่าอะไรคือการเข่นฆ่า และไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมารเป็นอย่างไร
หลินเจี้ยนหรูหลอกนางว่าเลือดบนตัวคือเลือดไก่ เขาฆ่าไก่ที่เลี้ยงไว้เพื่อเตรียมตุ๋นน้ำแกง
และนางกลับเชื่อเขา
หลังกลับจากทิวเขาริ้วหยกได้ไม่นาน นางก็เดินไปดูชีวิตประจำวันของคู่สามีภรรยาที่บริเวณรอบๆ เขาเซียน
นางอยากรู้ชีวิตประจำวันของคนที่เป็นสามีภรรยากัน
แต่โชคของนางไม่ค่อยดีนัก นางพบเจอกับเซียนหญิงที่หนีสามีเพราะช้ำรัก ทั้งยังพบกับรักใหม่อีก
เซียนหญิงคนนี้คือเฟยอี ถูกสามีเก่าหลีหังบีบบังคับให้กลับบ้าน ลู่จีกอดเข่านั่งดูจากข้างๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ใครก็ไม่อาจรู้ได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ ตอนหลีหังจากไปนางก็ปรากฏตัวขึ้น เดินไปถามเฟยอีว่าคนเพียงคนเดียวรักคนถึงสองคนได้อย่างไร? เฟยอีไม่ได้ตอบอะไร เพียงเดินโงนเงนกลับบ้านตนเองที่อยู่บนยอดเขาไป
นางเดินทางไปยังถิ่นทุรกันดารทางเหนือ เขาเคยบอกนางมาก่อน อาณาจักรโหย่วเจียงแห่งถิ่นทุรกันดารทางเหนือคือชนรุ่นหลังของเสือขาว ที่นั่นยังรวมเผ่าโบราณไว้มากมาย
เสือน้อยแห่งอาณาจักรโหย่วเจียงถูกมารดาตำหนิ จึงมานั่งถอนหายใจอยู่คนเดียวบนเนินเขา นางเด็ดผลไม้มากมายให้เขากิน เขามองนางเป็นเพื่อน บอกนางว่าพี่สาวของมารดาเขาใกล้จะถูกเสือลายเหลืองรังแกจนตายแล้ว เมื่อเขาโตขึ้นจะฆ่าเสือลายเหลืองเสีย มารดาตำหนิที่เขาพูดไม่ดี หากคนอื่นได้ยินจะกลายเป็นสงครามระหว่างอาณาจักร แต่ตัวนางเองก็แอบรำไห้เพื่อพี่สาวของตนเองเช่นกัน
ลู่จีสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดและจนปัญญาในดวงตาของเสือน้อย
พ่อแม่ของเสือน้อยรับรู้ได้ว่าที่มาที่ไปของนางไม่ธรรมดา จึงยกนางขึ้นเป็นแขกผู้มีเกียรติ ตัวนางที่ไม่ได้ระมัดระวังเล่าที่มาที่ไปของตนเองออกมาจนหมด เรื่องราวนั้นสั่นสะเทือนทั้งถิ่นทุรกันดารทางเหนือ อวี้ตี้และหวังหมู่เดินทางมารับด้วยตนเอง
หนี่ว์วาก็รู้เรื่องแล้วเช่นกัน ส่งสายฟ้ามารับเขากลับสวรรค์อันสูงส่งไปตำหนิรอบหนึ่ง
หุนคุนชี้หน้าเขา บอกเขาว่าอย่าทำตามอำเภอใจ นิสัยเขาก็ไม่ได้เหมาะกับการแต่งงานมีลูกอยู่แล้ว
ลู่ยาไม่พูดอะไร ฟังคำตำหนิของพวกเขาจบก็ออกจากสวรรค์อันสูงส่งไป
ตลอดทางเขาแอบตามหลังนางอยู่เงียบๆ มองดูนางพบเห็นเรื่องราวทุกข์สุขบนโลกมนุษย์
เขาคิดกระทั่งว่านางลืมเขาไปแล้ว ลู่ยาเศร้าเสียใจนัก
หลังติดตามนางไปทั่วทั้งเก้าทวีปสี่ทะเล ในที่สุดลู่จีก็เริ่มหยุด
ตอนนางกำลังพักผ่อนอยู่บนเนินเขา ก็พบกับพลทหารลาดตระเวนท่าทางทุกข์ตรมนามว่าหลิวจวิ้น เขากับนางร่วมดื่มเหล้ากันใต้แสงจันทร์ นั่นเป็นครั้งแรกที่นางดื่มเหล้า ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวาย นางฟังเขาเล่าเรื่องราวความรักที่เป็นไปไม่ได้บนโลก บอกนางว่ารักก็เหมือนกับคมดาบ ตอนที่ควรวางมือก็ต้องวางมือเสีย
นางมองแสงจันทร์ พูดถึงเรื่องแต่ละอย่างของนางกับลู่ยาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเสนาะหูดุจแสงจันทร์นี้
ตั้งแต่นางเห็นเขาครั้งแรกก็เหมือนกับเห็นฟ้าดิน ปักใจว่าเขาเป็นของนาง เป็นรักที่มิอาจแปรผันชั่วนิรันดร์
“ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ภูเขาแม่น้ำทะเล รวมถึงตัวเขา ขาดสิ่งใดไปโลกของข้าก็ไม่สมบูรณ์”
“หากเขารักคนอื่นจะทำอย่างไร? ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะเป็นเช่นข้า” หลิวจวิ้นโบกมือมองนาง
“เช่นนั้นข้าแค่โกรธเกลียดเขาอยู่ที่คลื่นจิตพสุธาก็พอแล้ว”
นางแหงนหน้าหัวเราะ ชั่ววินาทีนั้น แสงสว่างบนฟ้าดินทั้งหมดต่างก็ถูกนางกลบรัศมีจนสิ้น
ลู่ยาไม่ได้หัวเราะด้วย
นางไม่รู้ ไม่มีใครสามารถทำให้เขาปล่อยวางไม่ได้เช่นนี้อีกแล้ว
“ข้าคิดถึงบ้านแล้ว ข้าอยากกลับบ้าน”
เขาเห็นนางถือไหเหล้า ก้มหน้ามองเงาของตนภายใต้แสงจันทร์ “ข้าคิดถึงเขาแล้ว ข้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้เรื่อง แต่เรื่องเช่นนี้จะทำอย่างไรได้”
…………………………