พลังเสวียนหมิงของเขาแข็งแกร่งกว่าลู่ยามากนัก นางไม่ควรแข็งข้อกับเขาจะเป็นการดีที่สุด
พูดถึงเรื่องพลังเสวียนหมิง นางก็จับจ้องเขม็ง…ตามหลักแล้วบนโลกนี้มีเพียงพลังเสวียนหมิงของลู่ยาเท่านั้นถึงจะแข็งแกร่งที่สุด เขาสามารถมอบพลังเสวียนหมิงให้หลินเจี้ยนหรูได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะเป็นลู่ยา?
หากเขาคือลู่ยา เช่นนั้นแล้วลู่ยาที่อยู่กับนางคือใคร?
คงไม่ใช่ว่าเป็นตัวปลอมกระมัง?
…ไม่มีทาง!
นางมั่นใจ ไม่เพียงแค่นางมั่นใจในตัวเขา แต่มู่หรงเสี่ยนและจื่อจิ้งล้วนยืนยันแล้ว จะเป็นตัวปลอมไปได้อย่างไร
อีกทั้งใบหน้าของลู่ยาตัวจริงไม่เหมือนกับชายชุดเขียว ถึงแม้สำหรับพวกเขาเรื่องการปลอมแปลงหน้าตาจะเป็นเพียงเรื่องขี้ผงเท่านั้น แต่หากเขาคือลู่ยา เช่นนั้นทำไมถึงต้องลักพาตัวนางมาด้วย? และทำไมต้องเก็บซ่อนฐานะ? ทำไมต้องช่วยหลินเจี้ยนหรู? และช่วงคับขันเมื่อวาน ลู่ยาควรจะช่วยนางซัดหลินเจี้ยนหรูจนตายไม่ใช่หรือ?
หากเป็นการแยกร่าง…ตอนที่นางกลับมาหาลู่ยาจากชายชุดเขียวที่ถิ่นทุรกันดารทางเหนือ ความร้อนใจและกังวลของเขาไม่ใช่เรื่องหลอกลวง ความหึงหวงของเขาหลังจากเหตุการณ์นั้นก็ไม่ใช่ของปลอม หากนั่นเป็นร่างแยกของเขา เขาจะไม่รู้ตัวเลยหรือว่าร่างแยกของตนเองออกไปทำอะไรบ้าง?
“ส่งมีดมาให้ข้าหน่อย” เขาพลันหันมาพูดกับนาง
นางคืนสติกลับมา หยิบมีดบนเก้าอี้ส่งให้เขา
ในวังนี้คงไม่มีบันได เขาก็ไม่ได้สร้างมันขึ้น เพียงแค่เหยียบบนเก้าอี้เตี้ยๆ อันหนึ่ง ดีที่เขาสูงพอจึงไร้ปัญหา เขาแขวนโคมขึ้นไปข้างบน จากนั้นจับให้มันตรง ก่อนจะกระโดดลงมาบนพื้น
ตอนนี้ไม่ว่าถามอะไรไปเขาก็คงไม่ตอบ หากอยากรู้ นางคงต้องหาวิธีแอบฟังเอา
เมื่อตัดสินใจไปเช่นนี้จึงสบายใจได้ เมื่อเห็นว่าบนพื้นยังมีโคมอีกหลายอันที่ไม่ได้ร้อยสายเข้าไป มู่จิ่วจึงเลียนแบบเขา ทำตามให้เสร็จ
หลินเจี้ยนหรูมุ่งหน้าไปยังเขาจิตอสุนีบาต นี่เป็นส่วนเชื่อมต่อระหว่างหกภพและเก้าทวีป รกร้างไร้ผู้คน พลังวิญญาณเต็มสมบูรณ์ อีกทั้งร่างของราชาต้าอี้ยังถูกฝังอยู่ที่นี่ เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การฝังร่าง
เขาเลือกต้นหงเฟิงต้นหนึ่ง ขุดดินฝังร่างเหลียงชิวฉาน ป้ายหินไม่ได้สลักชื่อใดไว้
เขาสร้างเพิงไม้ไว้ข้างๆ หลุมศพ และอาศัยอยู่ที่นั่น
ตอนนี้เขากลับไปสวรรค์ไม่ได้แล้ว ไม่แน่ว่าหลังจากพวกซ่างกวนสุ่นกลับไปถึงสวรรค์ ทางด้านหน่วยลาดตระเวนก็คงส่งคนออกมาตามจับเขาแล้ว ตอนนี้เขาเป็นคนไร้หนทางหวนกลับอย่างแท้จริง เขาก็ไม่รู้ว่ารู้สึกเสียใจหรือไม่ หรือบอกชัดๆ ไม่ได้ว่าเสียใจที่ตรงไหน
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยคิดทำร้ายคนบริสุทธิ์ เขาคิดจะฆ่าเพียงครอบครัวของจีหมิ่นจวินเท่านั้น หากหัวชิงไม่ทำร้ายเหลียงชิวฉาน ไม่นำคนมาล้อมเขามากมายขนาดนั้น เขาก็คงไม่ฆ่า หากไม่ใช่เพราะเหลียงชิวฉานเข้าไปขวางมู่จิ่ว เขาก็คงไม่ฆ่าคนมากมายไปกระตุ้นความโกรธของนาง เรื่องนี้เขาไม่เคยสำนึกเสียใจ
เรื่องเสียใจเรื่องเดียวคือเขาประมาท ไม่ว่าเขาจะเป็นคนฆ่าหรือไม่ แต่สุดท้ายเหลียงชิวฉานก็ตายเพราะเขา
เขาสามารถฆ่าคนที่เคยทำร้ายตนได้เป็นหมื่นคนโดยไม่กะพริบตา แต่ชั่วชีวิตนี้ คนที่อ่อนโยนกับเขามีไม่มากนัก
และตอนนี้ คนที่ให้กำเนิดเขาได้มีชีวิตของตนเองไปแล้ว คนที่เคยเห็นอกเห็นใจกำลังไล่จับเขา ส่วนคนที่เคยทำร้ายกันก็ตายเพื่อเขา เขาเริ่มรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดขึ้นมา
ในที่สุดเขาก็ล้างแค้นได้แล้ว แต่กลับไม่ดีใจเลย
หลินเจี้ยนหรูรู้ว่าตนเองกลายเป็นมารแล้ว เขาสามารถทำตามอำเภอใจได้ เพราะอย่างไรสุดท้ายก็ต้องแตกดับสลายเป็นเถ้าถ่านไป ทว่าไม่ได้รู้สึกสบายใจเท่าไหร่นัก
แต่เดิมชีวิตที่เขาฝันไว้ไม่ใช่แบบนี้ เขาอยากมีชีวิตที่สงบสุข หาเช้ากินค่ำ อยู่อย่างสามัญ ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย
ชีวิตภายใต้เงามีดและคมดาบเช่นนี้ เขาไม่ต้องการ
ทว่าตอนนี้ เขาทำให้ชีวิตตนกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?
ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความผิดพลาด ถึงแม้เส้นทางชีวิตภายหน้าที่เหลืออยู่อาจพบเจอคนจริงใจกับเขาอีก เขาก็ไม่มีปัญญาตอบรับได้
เขาพลันรู้สึกว่า บางทีเขาอาจไม่ควรหนีแต่แรก ควรรั้งอยู่ที่นั่น ให้มู่จิ่วฆ่าเสียก็ดี หากว่าเขาถูกกำหนดให้ตายด้วยเงื้อมมือนาง เขาเบื่อโลกนี้เต็มทีแล้ว ถึงแม้จะกลายเป็นเซียนก็ไม่ได้หมายถึงว่าจะมีความสุข แต่เหลียงชิวฉางจะตายเปล่าไม่ได้ เขาก็เช่นกัน หากเขาหนีไม่พ้นชะตากรรมแห่งความตาย เช่นนั้นเขาก็จะลากทั้งสำนักแรกพยับไปลงขุมนรกด้วยกัน!
เขายืนขึ้น กำหมัด เดินไปคุกเข่าตรงหน้าหลุมศพเหลียงชิวฉาน แล้วกลบดินให้นาง
“ข้าไปครั้งนี้ บนโลกนี้จะไม่มีหลินเจี้ยนหรูคนนี้อีก ขอให้ชาติหน้าเจ้าอยู่อย่างสงบ ความรู้สึกที่สูญเสียไปทั้งหมดจะต้องได้รับการตอบแทน”
เขายืนขึ้น มองหลุมศพอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง จากนั้นหมุนตัวเดินเข้าไปในป่า ก้าวยาวๆ จากไป
หลังจากเขาหายตัวไปในป่าลึก กลับมีคนผู้หนึ่งเดินออกมา ไปหยุดยืนนิ่งอยู่หน้าหลุมศพของเหลียงชิวฉาน…
ยามตะวันคล้อยต่ำ ระเบียงทางเดินก็ค่อยๆ สว่างขึ้นตลอดทาง
แสงโคมสีเหลืองนำพาความอบอุ่นมาสู่วังที่หนาวเหน็บแห่งนี้ ครั้นมองเงาตนเองที่ทอดอยู่บนพื้น ในที่สุดมู่จิ่วก็รู้สึกว่าที่นี่ไม่ได้เงียบเหงานัก
แต่ยามค่ำคืนนางก็ยังไม่รู้สึกอยากนอน
สถานที่ที่ไม่คุ้นเคยกับคนที่ไม่คุ้นเคยทำให้นางรู้สึกไม่มั่นคง นางคิดถึงลู่ยา คิดถึงพวกเสี่ยวซิงอาฝู ชายชุดเขียวบอกจะช่วยควบคุมพลังวิญญาณในร่างนาง แต่ก็ไม่เห็นจะลงมือทำอะไร แน่นอนว่านางไม่กล้าให้เขาเข้าใกล้ หากเขาทำกับนางเหมือนกับที่ทำกับหลินเจี้ยนหรู เปลี่ยนให้กลายเป็นมารเล่า?
ทุกวันนางอยู่แต่ในห้อง หรือออกไปเดินทอดน่องข้างนอก
นางก็ไม่รู้ว่าต้องอยู่ที่นี่อีกนานเท่าไหร่ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะนับได้ว่าพลังวิญญาณถูกควบคุมแล้ว ความไม่รู้ที่มาที่ไปและอนาคตทำให้นางกังวล
แต่มู่จิ่วไม่ไปหาเขา เขาก็ไม่ปรากฏตัวออกมา และไม่สนว่านางจะทำอะไร จากจุดนี้ยังนับว่าเป็นอิสระ
ตอนกลางวันนางเดินเลียบระเบียงทางเดินที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด จำชื่อวังต่างๆ ไปได้ไม่น้อย แต่ดูไปดูมากลับไม่มีความแตกต่าง เพราะนอกจากขนาดและตำแหน่งที่ไม่เหมือนกันแล้ว ส่วนอื่นเหมือนกันทั้งหมด ว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด ยกเว้นที่พักของนางกับชายชุดเขียว
มู่จิ่วเริ่มเดินรอบๆ ทั้งในและนอกตำหนักที่นางอยู่
ตำหนักนี้แท้จริงแล้วยังมีด้านในอยู่อีก มีอาคารเป็นชั้นๆ ต่อเนื่องกันไป แต่กลับว่างเปล่า ไม่มีกระทั่งฝุ่น
นางรื้อค้นที่พักไปทั่วจนเจอหนังสือกองใหญ่ ไม่ใช่บันทึกเซียนอะไร กลับเป็นประเภทเรื่องราวพื้นบ้านในโลกมนุษย์ ทั้งยังมีประเภทเรื่องราวแปลกหูเรื่องราวสัพเพเหระ ประวัติขงจื่อ อ่านฆ่าเวลาสักหน่อยก็สนุกดี
ยามค่ำคืนนางนั่งเหม่อลอยมองพระจันทร์อยู่ใต้โคมบนระเบียงทางเดิน มีอยู่วันหนึ่ง นางพบว่าในห้องมีพู่กันและหมึกอยู่ จึงย้ายเก้าอี้ออกมา ยืนขึ้นไปวาดดอกไม้บนโคม
นางรู้สึกว่าทำเช่นนี้น่าเหลือเชื่อมาก นางเคยทำเรื่องพิกลอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
แต่เมื่อเจอเรื่องที่สามารถทำเป็นงานอดิเรกได้ ในที่สุดก็ทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย นางวาดดอกไม้นกแมลงปลาไปบนโคม รวมทั้งลู่ยาในอิริยาบถต่างๆ จากนั้นก็เป็นเสี่ยวซิง อาฝู รุ่ยเจี๋ย ซ่างกวนสุ่น กระทั่งจื่อจิ้งยังวาดลงไป
ทั้งยังมีเขตลานบ้านที่พวกเขาอยู่ด้วยกันอีก
มู่จิ่วกำลังสงสัยว่าเขาจะช่วยนางควบคุมพลังวิญญาณในร่างได้อย่างไร เพราะหลายวันมานี้ไม่เห็นเขาเลย แน่นอนว่าในเวลาเดียวกันก็มีความหวาดกลัวเกิดขึ้น หากเขาไม่ปรากฏตัวออกมาอีกล่ะ? นางจะออกไปได้อย่างไร?
…………………………………