ลู่ยาไม่รู้ว่าตนออกมาจากสวรรค์อันสูงส่งได้อย่างไร
เขานั่งนิ่งอยู่บนเนินเขาที่ถิ่นทุรกันดารทางเหนือถึงสามวัน
เพียงแหงนหน้ามองก็เห็นคลื่นจิตพสุธา แต่เขากลับก้าวเท้าไม่ออก
เขาไม่รู้จะเผชิญหน้ากับลู่จีที่นั่งรอเขาอย่างโง่งมอย่างไร?
โลกทั้งใบของนางคือเขา และเขากลับทำได้เพียงมองนางไปตาย ไม่ก็ทอดทิ้งนาง แยกจากกันไปตลอดกาล
ไม่ว่าทางไหนเขาก็ทำไม่ได้
เขาคลุ้มคลั่งร้องตะโกนอยู่บนยอดเขาจะมีประโยชน์อะไร? นอกจากทำให้เขาดูเหมือนคนบ้าเท่านั้น
ช่วงดึกหลังจากผ่านไปสามวัน เขากลับไปยังคลื่นจิตพสุธา เมื่อมาถึงประตูก็เห็นลู่จีนั่งกอดเข่าอยู่ท่ามกลางดอกไม้นานาพรรณ สวมรองเท้าเรียบร้อย ไม่ได้นั่งอยู่บนพื้นที่เปียก
“อาลู่” นางยืนขึ้นมาตอนที่มองเห็นเขา ก่อนพุ่งเข้าไปตรงหน้าอย่างรวดเร็ว แววตาเต็มไปด้วยความกังวล
เขาไม่ได้พูดอะไร กำหมัดแน่นตามใจที่บีบรัด
“เจ้าไปไหนมา?” นางถามอีก
เขาก้มหน้าขึ้นระเบียงทางเดิน เดินช้าๆ มุ่งไปยังห้องของตนเอง
ลู่จีเดินตามเขาอยู่ด้านหลัง ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
เมื่อมาถึงห้องเขาก็หยุดลง นานนักกว่าจะหันกลับมามองนางแล้วบอกว่า “ข้าต้องไปแล้ว”
นางเงยหน้าขึ้นทันที “ไปไหน?”
“ยังไม่รู้” เขายกมุมปาก “แต่บนโลกนี้ไม่มีงานเลี้ยงที่ไม่เลิกรา ข้ารู้สึกว่าเวลาที่ข้าใช้อยู่ที่นี่นานพอแล้ว”
ลู่ยาเห็นร่องรอยความเจ็บปวดพาดผ่านแววตานางอย่างชัดเจนราวกับมีมีดบาด จากนั้นเลือดของนางก็หลั่งรินออกมาจากรอยมีดนั้น ผิวของนางขาวอยู่แล้ว แต่ตอนนี้กลับยิ่งขาวจนคนเวทนานัก
“ทำไมถึงจากไปกะทันหัน?”
“ข้ามักจะทำอะไรตามอำเภอใจเสมอ ไปไหนมาไหนอิสระเสรี ไม่ได้กะทันหันอะไร”
ใจของลู่ยาเหมือนมีมีดนับหมื่นทิ่มแทง แต่เบื้องหน้ากลับดูสบายๆ และเขายังใช้มีดแทงเข้าไปในใจตนเพิ่มอีก “อีกอย่างตอนที่เจ้าออกจากวังไป ที่จริงข้าก็ไม่ได้อยู่ที่นี่เหมือนกัน แต่ไปที่หนานหมิง ที่นั่นข้าได้รู้จักเด็กสาวคนหนึ่ง ตกลงกันไว้ว่าจะไปตกปลาที่หนานหมิงด้วยกัน อา ข้าเคยบอกเจ้าหรือไม่ว่าปลาที่หนานหมิงสดยิ่งนัก ต้มออกมากลิ่นหอมไปถึงสิบลี้?”
เขายิ้มน้อยๆ มองนาง ไม่ได้หลบสายตาไปไหน
ลู่จีแหงนหน้ามองเขา ดูนิ่งสงบจนน่ากลัว “เจ้ากับเด็กสาวคนอื่น?”
เขาชะงักไปเล็กน้อย พูดช้าๆ ว่า “ใช่”
ลู่ยาไม่อาจบอกความจริงกับนาง เขารู้จักนางดีเกินไป หากบอกความจริงนางก็คงไม่สนใจอะไรและเลือกที่จะอยู่กับเขา
บางทีแบบนี้ก็คงดีแล้ว เขายินดีพูดจาทำร้ายจิตใจนาง ให้นางก่นด่าเขาอยู่ในบ้าน แต่ไม่ยินยอมให้นางตายไปเยี่ยงดอกโบตั๋น
นางเม้มริมฝีปาก มุมปากยกขึ้นน้อยๆ จากนั้นก็หัวเราะ เหมือนกับดอกหลี่บนยอดต้นถูกลมหนาวพัดร่วงโรย
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” นางพยักหน้า
ลู่ยาก็พยักหน้า หมุนตัวไป
เขาหันกลับมาตอนไปถึงประตู สองสายตาสบประสาน นางพลันพุ่งเข้ามาหาเขา กอดเอาไว้ แขนทั้งสองกอดคอเขาไว้แน่น “ข้าจะไม่เอ่ยเรื่องแต่งงานอีกแล้ว ข้าจะไม่เอ่ยถึงมันอีกตลอดชีวิตตลอดชาติดีหรือไม่? เจ้าอย่าไปเลย อย่าไปกับผู้หญิงคนอื่น ข้าจะไม่เกาะติดเจ้า เจ้าอยากไปที่ไหนก็ไป ขอเพียงเจ้ากลับมา เจ้าอย่าทิ้งข้าได้หรือไม่?”
ร่างของนางแนบติดกับกายเขา เสียงของนางสั่นเครือ เหมือนกับเด็กถูกทิ้งกำลังอ้อนวอนที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว
เขาหลับตาลงสูดกลิ่นกายของนางตรงซอกคอ ก่อนผลักนางออก “เจ้ายังไม่โตจริงๆ”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย จากนั้นก้มหน้าจัดเสื้อให้เข้าที่ จัดการแขนเสื้อ ไม่มีความกล้าพอที่จะมองนาง
แต่นางกลับพลันนิ่งเหมือนกับต้นไม้ กระทั่งลมหายใจยังไม่มี
เขาอยู่มาจนอายุขนาดนี้แล้ว ก็รักเพียงแค่คนเดียว แต่ตอนนี้กลับหยิบมีดแทงนางด้วยตนเอง สำหรับเขาแล้วมันไม่ต่างอะไรกับการลงทัณฑ์ที่โหดเหี้ยม
ลู่ยาเบือนหน้าหนี เดินผ่านนางออกไปด้านนอก
ทว่าบนเท้าก็หนักแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ราวกับมีเหล็กถ่วงไว้
“เช่นนั้นหลังจากเจ้าจากไปครั้งนี้ เจ้ากับข้าคงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก”
เสียงของลู่จีดังขึ้นจากด้านหลัง เบาหวิวดุจลม เยียบเย็นดุจน้ำแข็ง
เขาสั่นโอนเอนไปตามลม หันหน้ากลับไปทันที แสงขาวพลันสว่างวาบตรงหน้า เงาร่างของนางหายไปแล้ว!
“ลู่จี!”
เขาสังหรณ์ใจไม่ดี รีบวิ่งตามไป
เทพชั้นสูงที่ฤทธิ์เดชอาคมแก่กล้าเช่นเขา ทั้งยังเป็นศิษย์ของปฐมวิญญาณ กลับต้องสิ้นเรี่ยวแรงในการไล่ตามนาง!
สุดท้ายเขาเจอนางหยุดอยู่ที่ยอดเขาแห่งหนึ่ง เหมือนกับขนนกสีขาวที่ไหวไปตามแรงลม ลู่ยายังไม่ทันเรียก เข่าของนางก็ทรุดลงกับพื้น พลังวิญญาณไหลบ่าออกมาเหมือนคลื่นที่น่าหวาดกลัว!
ลู่จีเหมือนจะลอยไปตามลม ใครก็ไม่อาจเข้าใกล้นางได้แม้ครึ่งก้าว!
“ข้ายินยอมตายจาก แต่ไม่อาจแยกจากได้”
“ข้ารู้เรื่องพลังร้ายในคลื่นจิตพสุธานานแล้ว แต่ข้าก็ร้องขอเพียงให้เจ้าอยู่เคียงข้างข้าจนถึงวันสุดท้ายเท่านั้น”
“ในเมื่อเกิดมาไม่ได้รับความรัก มิสู้ข้าช่วยให้เจ้าสมประสงค์”
“ลู่ยา ข้าขอสังเวยร่างข้า ขอให้เจ้ามีชีวิตที่เหลืออย่างโดดเดี่ยวไปตลอดกาล!”
นางยืนขึ้นมา สะบัดมือสร้างกำแพงแสงขาว คลื่นถาโถมราวกับพลิกฟ้าคว่ำปฐพีกลบเสียงตะโกนของเขาไปในนั้น
นางเหมือนขนนกสีขาวอย่างแท้จริง ขาวโพลนจนสว่างไปทั้งสี่ทิศ ลอยสูงขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นแสงขาวก็สว่างเจิดจ้า ทะลุผ่านผังแปดทิศบนกำแพงไป ก่อนจะกระทบลงไปยังพื้นของคลื่นจิตพสุธาทันที…
“ลู่จี!”
ลู่ยาพุ่งเข้าไปหวังจะทลายกำแพงแสงนั้น เสียงร้องของเขาแหวกอากาศ!
เขาวิ่งเข้าไปในวังวิญญาณเทพอย่างไม่สนอะไรทั้งสิ้น แต่พลังวิญญาณที่ถล่มทลายลงคอยผลักเขาออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า!
นี่เป็นความแข็งแกร่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนตลอดชีวิตนี้ เขาใช้พลังบำเพ็ญทั้งหมดเข้าปะทะกับมัน เสียงระเบิดและเสียงปะทะดังขึ้นต่อเนื่อง แสงขาวและเงาดำพันเกี่ยวกัน เขามองเห็นได้ไม่ชัดแล้ว และไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว เขาเพียงต้องการเจอลู่จี ดึงนางกลับมา บอกนางว่าเขาผิดไปแล้ว จะแยกจากหรือตายจากเขาล้วนไม่ต้องการ สิ่งที่เขาต้องการคือใช้ชีวิตอยู่กับนาง…
“ลู่จี…”
…เสียงรอบด้านล้วนเงียบสงัด
ในห้องสงบจนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของคนไม่กี่คน
มุมปากของลู่ยามีเลือดไหลออกมา เดินโงนเงนเข้าไปหาผังแปดทิศที่สงบนิ่ง มือสัมผัสกับหกวิญญาณบนกำแพง
เขาเข้าใจแล้ว เขาติดค้างนาง เขาเข้าใจว่าตนเองฉลาด สุดท้ายก็ไม่ได้ฉลาดไปกว่านางเลย ทำไมนางถึงได้กลับมาที่คลื่นจิตพสุธาหลังจากออกไปเผชิญโลกกว้าง ทำไมถึงได้พูดคำพูดแปลกๆ เหล่านั้นกับเขา ทำไมถึงได้บอกว่าถ้าเขาจากไป นางก็จะเหลือเพียงตัวคนเดียว
ทำไมสีหน้าของนางถึงได้โดดเดี่ยวและเศร้าสร้อย? เพราะการเป็นเทพหญิงที่เฝ้าคลื่นจิตพสุธา นางยิ่งต้องรู้สถานการณ์ในคลื่นจิตพสุธามากกว่าพวกเขา นางฉลาดขนาดนั้น ย่อมเข้าใจกระจ่างในสรรพสิ่ง ทำไมนางจะไม่รู้ว่าการเกิดมาของนางหมายถึงอะไร แต่เขากลับไม่เคยรู้เลยว่าในใจนางต้องเผชิญกับความเจ็บปวดอะไรบ้าง
ลู่จีไม่พูด นางไม่พูดอะไรเลย หวังเพียงให้เขาอยู่ข้างนางจนวินาทีสุดท้ายเท่านั้น
นางรู้ชัดเจนกว่าผู้ใดว่าสิ่งที่นางต้องการคืออะไร แต่เขาทำตัวอวดรู้ ผลักนางลงไปยังบ่อน้ำลึก!
นางใช้ร่างตนแทนคำสาป สาปเขาให้เดียวดายไปตลอดชีวิต แต่กลับไม่คิดอยากรู้ว่าเขาอยากให้นางอยู่เคียงข้างหรือไม่?
“ลู่จี…”
เขาคุกเข่าอยู่ใต้กำแพงวิญญาณ แสงสว่างของหกวิญญาณส่องกระทบตัวเขาอย่างเงียบงัน
เขายื่นมือออกไปจับ แต่กลับมีเพียงความว่างเปล่า
จุ่นถีมองหงจวินที่ทำหน้าตึงมาตลอดคราหนึ่ง ก่อนหลุบตาลงต่ำ
“หากไม่ใช่เพราะเจ้าอวดฉลาดก่อเรื่องโดยพลการ เทพหญิงก็คงไม่ตาย หกวิญญาณก็จะไม่เสียหาย เพราะเจ้า คนหลายคนต้องร่วมแสดงละครฉากใหญ่นี้ไปกับเจ้าด้วย!” หงจวินมองเขาที่คุกเข่าอยู่หน้ากำแพงวิญญาณอย่างเย็นชา เอ่ยอย่างดุดัน
…………………………………………