เขาเชื่อว่าความรู้สึกที่เขามีต่อนางเป็นเพียงความหวั่นไหวซึ่งเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมพิเศษเท่านั้น และเชื่อว่าหลังจากนี้ไม่นานความหวั่นไหวนี้ก็จะหายไปเอง
ภายใต้ความรู้สึกเช่นนี้ เขาจะล่วงเกินนางตามอำเภอใจได้อย่างไร?
และเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือ นางยังไม่สามารถปล่อยตามอารมณ์แบบไม่มียับยั้งได้
พลังวิญญาณของนางรวบรวมวิญญาณของทั้งหกภพไว้ ตอนนี้ยังไม่สามารถควบคุมได้ หากปล่อยไปตามอารมณ์ นางอาจจะไม่อาจควบคุมพลังวิญญาณนี้ อีกทั้งเขาไม่ได้มีความคิดที่จะอยู่กับนางชั่วชีวิต การปล่อยตามอารมณ์เพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่การดับสูญของนางได้ทั้งสิ้น…ความจริงแล้วการตายของนางไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรสำหรับฟ้าดิน หกวิญญาณยังอยู่ ไม่มีผลกระทบกับรากฐาน
แต่เขาไม่อยากให้นางตาย และไม่อยากให้นางบาดเจ็บ
ถึงแม้ลู่ยามั่นใจว่าความหวั่นไหวที่มีต่อนางจะหายไป แต่ในเมื่อนางปรากฏตัวออกมาแล้ว เขาก็ไม่อยากให้นางเจ็บปวดเพราะตนไปตลอดชีวิต
ตั้งแต่นั้นเขาจึงระมัดระวังทั้งคำพูดและการกระทำ ไม่ใกล้ชิดสนิทสนมเกินเลยกับนางอีก
ยามค่ำคืนแม้จะยังนอนเคียงข้างกัน แต่ก็ขับเคลื่อนพลังมาปกป้องร่างกายและจิตใจให้สงบ
เขามั่นใจในตัวเองอย่างนี้ เข้าใจว่าหากทำแบบนี้ต่อไปความหวั่นไหวในครั้งนี้ของนางก็จะจบลง แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่านางจะยังมั่นคงอยู่เช่นนั้น
วันนั้นเขาตื่นขึ้นมาจากการงีบหลับในห้อง เมื่อมองไปรอบๆ กลับไม่พบเงานาง แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยหายไปจากสายตาเขา ถึงเขาจะยุ่งหรือจะนอน นางก็อยู่ในระยะห้าก้าวแล้วนั่งเงียบๆ รอเขา! แต่ตอนนี้นางหายไปแล้ว!
ตอนแรกเขาเข้าใจว่านางเพียงแค่ไปเดินเล่นใกล้ๆ จึงสงบใจลง ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นเรื่องที่เขาคาดหวัง หวังว่านางจะสามารถยืนหยัดด้วยตนเอง มีเรื่องที่ตนเองอยากทำ ไม่ยึดเอาเขาเป็นทั้งหมดของนาง
ลู่ยาค่อยๆ ออกตามหา ตั้งใจเดินเชื่องช้า แต่ใจกลับตามสายตาไปข้างหน้าทีละน้อย
เขาไม่อยากให้นางเห็นตัวเองร้อนรนตามหา เขาอยากให้นางคิดว่าเขาไม่ได้ใส่ใจนางนัก
แต่เขาตามหานางทั่วทั้งวังวิญญาณเทพแล้ว กลับไม่พบแม้เงา!
เขาเริ่มร้อนใจเล็กน้อย กลิ่นอายขอนางปะปนรวมไปกับหกวิญญาณ ที่นี่เป็นที่ของนาง เขาจึงไม่อาจใช้กลิ่นอายตามหานางได้
นางจะไปที่ไหนได้?
ใจของเขาเต้นรัวเร็วอยู่ในอก
เขาเริ่มเร่งฝีเท้า ป้องปากตะโกนเรียกชื่อนาง
แต่กลับไม่มีผลใด!
เมื่อมองวังที่ว่างเปล่า มือเท้าของเขาพลันอ่อนแรง หรือว่านางออกไปแล้ว..
เขาเดินไปถึงประตูวัง หยิบเอาป้ายประกาศิตบนประตูลงมา ป้ายนั้นไม่ขยับ นางไม่ได้ออกไปไหน!
“ลู่จี!”
เสียงของเขาเหมือนกับระลอกคลื่นสะท้อนไปทั่วทั้งวัง
แต่ไม่ว่าทิศทางไหนก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา
ทว่าตอนที่เขากำลังหมดหวัง ห้องในตำหนักทางด้านเหนือของวังพลันมีแสงโคมสว่างขึ้นมา
เป็นโคมสีแดงมงคล…
เขาชะงักงัน ก่อนเดินเข้าไป
นี่เป็นวังวิญญาณเทพ
เขาเคยชินกับวังนี้ยิ่งนัก แต่เมื่อเดินเข้าไปเขากลับขยับไม่ได้แล้ว!
นอกจากผังแปดทิศกับหกวิญญาณ ตามปกติวังวิญญาณเทพก็ไม่มีสิ่งของอย่างอื่นอีกแล้ว แต่ตอนนี้มันกลับเปลี่ยนไปเป็นอะไร?
ตรงประตูประดับผ้าสีแดง โคมสีแดงมงคลถูกแขวนไว้สูง ด้านในโถงประดับประดาด้วยสีแดงสะดุดตารอบด้าน แพรไหมสีแดง โคมแดง พรมแดงเข้ม ตัวอักษรมงคลแขวนอยู่ทั้งสองข้าง บนโต๊ะมงคลด้านบนมีเทียนมงคลมังกรหงส์กำลังแผดเผาอยู่อย่างเงียบงัน
เขายังไม่ทันได้สติ ลู่จีที่สวมชุดแต่งงานก็เดินเข้ามาหาเขาอย่างร่าเริงราวกับนกตัวเล็กๆ “อาลู่ พวกเราไปกราบไหว้ฟ้าดินกันเถอะ!”
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะอธิบายความตกใจของตนเองได้อย่างไร!
นางกำลังทำอะไรอยู่?
ใครรับปากจะแต่งกับนาง?
ใครอนุญาตให้นางทำเรื่องทั้งหมดนี้?!
“รื้อออกเสีย!” เขาบันดาลโทสะ
นางชะงัก แต่รอยยิ้มกับท่าทีขวยเขินยังมีอยู่บนใบหน้า ราวกับดอกไม้ที่ลอยละล่องอยู่ในสายลม
“อาลู่ พวกเราแต่งงานกันเถอะ!” นางดึงแขนเสื้อเขาอย่างระมัดระวัง มืออีกข้างหยิบหนังสือสมรสสองฉบับขึ้นมาจากโต๊ะมงคล “ข้าเขียนเจ้านี่เรียบร้อยแล้ว เพียงแค่กราบไหว้ฟ้าดินและเผามัน พวกเราก็จะเป็นสามีภรรยากันแล้ว เจ้าไม่ชอบหรือ? ข้าแอบเตรียมไว้นานมากแล้ว ข้าเห็นจากหนังสือว่าเวลามนุษย์แต่งงานกันก็ทำแบบนี้เสียเป็นส่วนใหญ่ มีตรงไหนที่ไม่ถูกรึ?”
ไม่มีอะไรไม่ถูก!
สำหรับคนที่ไม่เคยไปโลกมนุษย์เลยอย่างนาง สามารถจัดงานแต่งออกมาได้อย่างนี้ก็นับว่าเกินกว่าที่เขาคิดไว้มากแล้ว!
แต่ใครจะแต่งกับนาง?
นางรู้หรือไม่ว่าอะไรคือแต่งงาน?
รู้หรือไม่ว่าอะไรคือเคียงคู่ไปตลอดชาติภพ?!
นางไม่รู้อะไรเลย!
นางไม่รู้ว่าภายหลังนางอาจเจอคนที่ทำให้นางหวั่นไหวมากกว่าเขา! นางไม่รู้ว่าวันข้างหน้าหากออกไปข้างนอกแล้ว จะต้องเผชิญกับสิ่งล่อตาล่อใจมากมายขนาดไหน!
“เอามาให้ข้า!” เขาหน้าตึงพลางยื่นมือออกไป
“ไม่…” นางฉลาดขนาดนั้น ทำไมจะสังเกตถึงความผิดปกติของเขาไม่ออก? นางซ่อนหนังสือสมรสไว้ข้างหลัง กัดริมฝีปากแน่น
“เอามาให้ข้า!” ลู่ยาตะโกน
“ข้าไม่ให้!” นางก็ตะโกนเสียงดังเช่นกัน น้ำตาไหลอาบแก้ม ในแววตาของนางมีคลื่นถาโถม พลังวิญญาณทั้งร่างกระเพื่อมราวกับน้ำท่วม สาดซัดไม่หยุด “ข้าแค่อยากแต่งกับเจ้า! อยากอยู่กับเจ้าทุกเช้าค่ำ! เจ้าก็ชอบข้าแท้ๆ และก็ยังไม่ได้แต่งงาน ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมรับข้า?!”
พลังวิญญาณของนางทะลักออกมาข้างนอก ท้องฟ้ามีสายฟ้าลั่นแปลบปลาบ ลมคลั่งพัดหวีดหวิว ต้นไม้ใบหญ้าสั่นไหว
หัวใจของลู่ยาบีบรัด เขาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเอ่ยว่า “ส่งมาให้ข้า ลู่จี”
ลู่จียังคงร้องไห้ แสงของสายฟ้าฟาดด้านนอกหน้าต่างตกกระทบใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียใจเจียนตายของนาง
นี่เป็นครั้งแรกที่นางร้องไห้
ลู่ยารู้สึกราวกับมีมีดเฉือนหัวใจ
แต่เขาไม่อาจพูดมากแล้ว คำพูดทุกคำของเขากระตุ้นนางได้ทั้งสิ้น
เขามองนางนิ่งๆ แต่ใจกลับมีเสียงโน้มน้าวอยู่ตลอด รับปากนางเถอะ รับปากนางเถอะ
แต่สุดท้ายเขาก็ทำไม่ได้
เขาไม่อาจรับปากความรู้สึกด้วยความหุนหันพลันแล่นได้
เขากลัวว่าหากวันหนึ่งเขาหมดรักนาง ต่อไปจะยิ่งทำให้นางเจ็บปวด และกลัวว่าต่อไปนางจะเสียใจภายหลัง
“ข้าเกลียดเจ้า!”
นางร้องไห้เอาร้องไห้เอา ทุบหนังสือสมรสไปบนตัวเขา จากนั้นกุมหน้าร้องไห้วิ่งออกไป
สีแดงทั้งหมดในห้องหายไปทันทีตามนางที่วิ่งออกไป กลายเป็นห้องที่เย็นเยียบ
ภาพตรงหน้าทำให้เขาคืนสติกลับมา ขอบตาปวดร้าวร้อนผ่าว “ลู่จี!”
ลู่ยาตามไป ไม่ได้ฉีกหนังสือสมรส แต่เก็บไว้ในอก
เสียงสายฟ้าฟาดดังออกมานอกวัง เขารีบตามไป แต่สุดท้ายก็ไม่ทันกาล…เขาลืมไปว่าตัวเองปลดป้ายประกาศิตตรงประตูลงมาก่อนหน้านี้ นางจึงมุ่งออกจากประตูไปอย่างไร้อุปสรรค ออกไปจากคลื่นจิตพสุธา จากนั้นก็ออกไปจากถิ่นทุรกันดารทางเหนือ!
“ลู่จี!”
เสียงของเขาดังสะท้อนไปทั่วทั้งปฐพี แต่กลับไม่มีเสียงตอบกลับแม้แต่น้อย!
เขาไม่รู้ว่านางไปไหน เขาทำให้นางหายไปแล้ว!
…ไม่รู้ว่ากำยานในวังวิญญาณเทพดับไปตั้งแต่เมื่อไหร่
ตรงหน้าไม่มีโต๊ะมงคลเทียนมงคลอีกแล้ว อากาศหนาวๆ เย็นๆ เหลือเพียงหงจวินกับจุ่นถี
ลู่ยานั่งขัดสมาธิบนพื้น ราวกับเพิ่งฟื้นจากอาการขาดหายใจ
วังวิญญาณเทพในตอนนี้ห่างจากตอนที่ลู่จีร้องไห้จัดงานแต่งถึงหมื่นปี แต่เขายังคล้ายสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของนาง ราวกับยังได้ยินเสียงร้องไห้จากที่ไกลๆ
ประหนึ่งว่าถ้าหันไปก็จะเห็นเงาของนางอยู่
ลู่ยาไม่อาจจำคนผิดแน่นอน ลู่จีก็คือมู่จิ่ว มู่จิ่วก็คือลู่จี
เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตา หันหน้าไปมองอากาศที่ว่างเปล่า
ลู่ยาไม่เคยรู้เลยว่าในความทรงจำของตน เขาจะเคยได้รับความรักจากนางที่โง่เขลาเช่นนั้น
………………….