ในหลุมนั้นมีแม่น้ำทะเลภูเขา ป่าเขียวขจี สิ่งที่น่าประหลาดใจคือที่นี่มีวังซึ่งเหมือนกับวังคลื่นจิตพสุธาทุกประการอยู่ นางเข้าไปในเขตกำแพงวัง สติค่อยๆ พร่าเลือนลงและตกเข้าสู่ความสับสนตามกระแสลมที่ไหลวนอยู่ตรงกลาง
มีเสียงมากมายดังอยู่ริมหู เหมือนลมกำลังกรีดร้อง เหมือนกระแสสายฟ้าฟาด! แต่ละเสียงล้วนบาดหูขนาดนั้น ทรมานจนนางคิดอะไรไม่ออก
จนกระทั่งทุกอย่างสงบลง มู่จิ่วลืมตาขึ้นมองไปรอบๆ…นางยังคงอยู่ในวัง แต่ด้านหน้าไม่ไกลออกไปกลับมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกคน!
“ลู่ยา?!”
นางร้องออกไปอย่างตกใจ
เขาขัดสมาธิอยู่บนพื้น มองมายังนางตรงๆ ถึงแม้จะสวมเสื้อขาวดุจหิมะ การแต่งกายต่างจากปกติ เขาที่รูปร่างสูงใหญ่ยิ่งดูสง่างามขึ้น แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคให้นางจำเขาไม่ได้!
มู่จิ่วยืนขึ้น อยากจะพุ่งเข้าไปหา อยากถามว่าทำไมเขามาอยู่ที่นี่ แต่กลับมีเสียงหนึ่งดังเข้ามาเร็วยิ่งกว่า “เจ้าช่างหล่อเหลาจริงๆ”
มีคนผู้หนึ่งออกมาจากร่างนาง หญิงสาวผมยาวร่างเปลือยเปล่าเดินไปหาลู่ยา จากนั้นยื่นมือไปกอดเขา
มู่จิ่วหึงหวง คิดจะเข้าไปดึงนางออก แต่ไหนเลยจะรู้ว่ามือที่ยื่นไปกลับทะลุผ่านร่างหญิงสาวคนนั้น…นางกลายเป็นผีไปแล้ว! ไม่เพียงกลายเป็นผี พวกลู่ยาก็ไม่เห็นนางด้วย!
นางพุ่งไปข้างหน้าหญิงสาวอย่างอดไม่ได้ แต่เมื่อมองไปก็ต้องตะลึง…ใบหน้านี้เหมือนกับนางราวพิมพ์เดียวกัน! ไม่เพียงใบหน้าเหมือน รูปร่างเหมือน กระทั่งมือและร่องรอยบนร่างกายยังไม่ต่างกันเลย!
นี่คือนางอีกคนหรือ?
มู่จิ่วสับสน ไม่รู้ว่ากำลังเจอกับอะไรอยู่ ภาพตรงหน้าค่อยๆ พร่าเลือนขึ้น ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้อะไรเลย หัวใจนางเต้นรัวแรง ควบคุมตนเองไม่ได้ จนกระทั่งภาพตรงหน้ากลับมาชัดเจนอีกครั้ง ตอนนี้ลู่ยากำลังเลือกรองเท้าให้นาง…
……
ตอนที่มู่จิ่วกลับมาจากหน่วย ลู่ยากำลังนั่งสมาธิ จนเมื่อเขาออกมานางก็กลับไปแรกพยับแล้ว
ถึงแม้รู้ว่าช่วงนี้นางยุ่งมาก ออกไปทำงานกะทันหันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่กลับไม่มาบอกเขาก่อนก็ออกไปเสียแล้ว ทำให้เขาสงสัยอยู่บ้าง เมื่อลองหยักนิ้วตรวจดูถึงพบว่านางไปแรกพยับจริง ในหน่วยงานก็ไม่มีเรื่องเร่งด่วนอะไร เขาถึงวางใจลง
ตกกลางคืนฝึกวิชาให้รุ่ยเจี๋ยและอาฝู ลู่ยาที่ปกติสมาธิดีมาก คืนนี้กลับใจไม่ค่อยอยู่กับตัว หลายครั้งอาฝูต้องกัดแขนเสื้อเขา เขาถึงรู้ตัวว่าอาฝูกำลังถามอยู่
อันที่จริงอาการแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น ควรบอกว่าตั้งแต่กลับจากแรกพยับเขาก็เป็นเช่นนี้แล้ว หลายวันมานี้มู่จิ่วเงียบผิดปกติ หลังกลับมานางไม่เอ่ยถึงชายชุดเขียวเลยแม้แต่น้อย เขาเคยเปิดโอกาสให้ถามหลายครั้ง เขาจะได้อาศัยช่องทำลายความสงสัยของนาง แต่นางไม่เอ่ยถึง เขาก็เลยไม่พูดเช่นกัน
เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีมาตลอด นางสงสัยเขาอย่างมากแล้ว
ถึงแม้ความเงียบของนางจะทำให้เขารู้สึกอึดอัดบ้าง ทว่าก็ลบความรู้สึกนี้ไปไม่ได้
ลู่ยาเลิกฝึกศิษย์ ให้พวกเขาทั้งสองคนฝึกกันเอง แล้วจึงออกจากบ้านไป
แสงจันทร์สว่างส่องลงมา ต้นไม้ใบหญ้าในสวนกำลังดูดรับพลัง เสียงเสียดสีของใบไม้ทำให้ใจคนไม่สงบ
เขามองไปยังห้องนางฝั่งตรงข้าม ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนเดินเข้าไป
กลิ่นกุหลาบป่าลอยเข้ามาปะทะหน้า แต่ก่อนเขารังเกียจกลิ่นที่ธรรมดาสามัญเช่นนี้ยิ่งนัก แต่ตอนนี้ได้กลิ่นจนชินแล้ว รู้สึกว่ากลิ่นอะไรก็สู้กลิ่นกายนางไม่ได้
ดอกไม้ที่เด็ดกลับมายังคงบานอยู่บนโต๊ะ ด้านข้างมีแท่นฝนหมึกและกระจกสำริดรูปทรงบุปผาวางอยู่ บนกระจกมีเกสรดอกไม้ติดอยู่เล็กน้อย ริมขอบยังมีชาดสีแดงเปื้อนโดยไม่ได้ตั้งใจรอยหนึ่ง และกล่องบรรจุชาดก็อยู่ใต้กระจกนั่นเอง
เขาเปิดกล่องชาด แตะผงขึ้นมาจำนวนหนึ่งและบี้มันเล็กน้อย
ทุกการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรเป็นพิเศษ
แต่ช่วงที่ผงชาดติดอยู่บนมือ ใจของเขาพลันสั่นสะท้าน กล่องก็ปิดลงดังปึง!
นี่คือชาดที่นางเคยใช้มาก่อน ด้านในล้วนเต็มไปด้วยพลังของนาง
เวลานี้พลังของนางควรจะสงบราบเรียบ ถึงแม้จะเกิดการเคลื่อนไหวก็ย่อมไม่เด่นชัดมาก แต่ตอนนี้เขากลับรับรู้การสั่นไหวของใจนางได้ชัดเจน กระทั่งไม่อาจใช้คำว่าสั่นไหวมาบรรยายได้แล้ว ควรจะบอกว่าเป็นคลื่นยักษ์ถึงจะถูก!
เขาเงียบไปครึ่งวินาที ก่อนจะพุ่งออกจากประตูไปในวินาทีถัดมา
…..
ในกำแพงวิญญาณ มู่จิ่วมองลู่ยาที่บอกลานางด้วยรอยยิ้ม หัวใจชาไปหมด
“กับผู้หญิงคนอื่น?” นางได้ยินตนเองถาม
นางไม่รู้ว่าตนเองรออยู่สามวัน เพื่อที่จะฟังคำบอกลาเมื่อเขากลับมา
นางไม่เคยคิดจะแยกจากเขาไปไหน นางคิดว่าแม้ตายก็ยังอยู่ด้วยกันกับเขา คิดว่าเขาจะมอบความทรงจำที่งดงามและตราตรึงใจให้แก่นาง ถึงแม้เทพหญิงแห่งหกวิญญาณเช่นนางจะอยู่บนโลกนี้ได้ไม่นาน นางก็ไม่สนใจ นางรู้สึกว่าความหมายอันยิ่งใหญ่ที่ตนมาเกิดบนโลกนี้ก็เพื่อมาพบเขา หากไม่มีเขา นางก็เป็นเพียงเครื่องมือกำจัดปีศาจเท่านั้น
“ใช่แล้ว…”
เสียงของเขาดังก้องอยู่ริมหู นางฟังไม่ได้ศัพท์แล้ว
นางรู้ว่าสามวันนี้เขาไปทำอะไร รู้ว่าหนี่ว์วาได้ให้ทางเลือกอะไรแก่เขา แต่นางเข้าใจไปว่าเขาคิดตรงกับนาง ใครจะต้องการชีวิตยืนยาวน่าเบื่อหน่ายไม่ตายหนึ่งหมื่นปีนั่นกัน? นางรู้ชะตาชีวิตของตนเองดี แต่ชะตาชีวิตของนางไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการอยู่ร่วมกันของพวกเขา นางมีชีวิตสั้น ไม่ต้องการอยู่ค้ำฟ้า ขอเพียงแค่ดับสูญไปพร้อมกับพลังร้ายในเวลาสำคัญไม่ได้หรือ?
หญิงสาวที่ไปตกปลากับเขามาจากไหน?
เทพเซียนที่มีชีวิตอยู่มานานขนาดนี้อย่างเขา กลับคิดเรื่องหลอกเด็กเช่นนี้ได้
เขาคิดว่านางโง่อย่างนั้นหรือ?
เขามองนางเป็นอะไร?
เขานึกว่านี่คือสิ่งที่นางต้องการหรือ?
…ปวดหัวยิ่งนัก คำพูดมากมายผุดอยู่ในหัว แต่นางกลับพูดไม่ออก
นางรู้สึกว่าตนเองกระโดดขึ้นไปบนฟ้า ใช้ความเร็วที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนไปยังที่ไกลๆ จากนั้นเข้าไปสู่ห้วงแห่งความดำมืด ทั้งร่างของนางอัดแน่นด้วยพลังที่ไม่อาจแยกจาก คละเคล้าด้วยโทสะและความเจ็บปวด กรีดร้องพลางเข้าสังหารฝ่ายตรงข้าม!
นางไม่รู้ว่าตนเองโดนโจมตีไปเท่าไหร่ แต่อานุภาพของพลังร้ายยิ่งใหญ่นัก
นางไม่เกรงกลัว มองความตายเหมือนการกลับบ้าน สุดท้ายก็ใช้พลังทั้งหมดโจมตีไปด้วยฝ่ามือ ซัดพลังหมายชีวิตใส่เขา…
นางเห็นเขากรีดร้องพลางหลบหนี แต่นางกลับแตกสลายในม่านหมอก
ความคิดทั้งหมดของนางอยู่บนหกวิญญาณ ในหูเต็มไปด้วยเสียงร้องแทบขาดใจของลู่ยา…
“อาจิ่ว!”
ทันใดนั้น เสียงราวสายฟ้าฟาดดังขึ้นข้างหู!
นางหันไปมองทันที เหมือนกับน้ำที่กำลังจะจมลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ
ลู่ยามองวังวิญญาณเทพที่แตกสลายในกำแพงวิญญาณ จากนั้นมองไปยังนางที่คุกเข่าอยู่หน้ากำแพงนั้น ใบหน้าขาวซีด ท่าทางราวกับใจสลาย!
นางในตอนนี้เหมือนคนใกล้ตาย บนหน้าไร้สีสัน แววตาเหม่อลอยและเย็นชา ราวกับอยู่ห่างจากเขาถึงแสนปี!
“อาจิ่ว..”
ใจของลู่ยาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางที่เป็นแบบนี้ทำให้เขากลัว เขารู้สึกเหมือนเห็นนางหลังจากที่พลังระเบิดออกในคุนหลุนตะวันออกอีกครั้ง ทุกส่วนมีแต่ความห่างเหิน เย็นชา เขาอ้าปากแล้วก็หุบลง ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี ไม่รู้ว่าเมื่อเขาพูดนางจะสูญเสียการควบคุมไปในทันทีหรือไม่!
…………………….