“หืม?” มู่จิ่วที่กำลังเก็บกวาดโต๊ะเครื่องแป้งเงยหน้าขึ้นมา คนตระกูลซ่างกวนมาเยี่ยมไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลเขาอยู่ที่นี่ แต่ทุกครั้งคนที่มามักจะเป็นพ่อ แต่ไหนแต่ไรแม่ของเขาไม่เคยมาคนเดียว “เกิดเรื่องอะไรขึ้นในบ้านหรืออย่างไร?” จากความเคยชินในการงาน นางจึงพูดแบบนี้
“ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอก นางบอกว่าแค่มาดูๆ เท่านั้น” เสี่ยวซิงนั่งลงเป็นเพื่อนนาง จากนั้นหยิบกำไลหยกถนอมจิตออกมาจากแขนเสื้ออย่างลังเล ก่อนเอ่ย “นางดึงข้าเข้ามาพูดด้วยสักพัก จากนั้นก็นำสิ่งนี้ให้ข้า ข้าไม่อยากได้ นางก็ใส่เข้ามาที่ข้อมือข้า บอกว่าเพียงแค่แสดงความจริงใจ จิ๋วจิ่ว เจ้าว่านางหมายความว่าอย่างไร?”
มู่จิ่วมองกำไล ตะลึงไปเช่นกัน
เมื่อหยิบขึ้นมาดู ในกำไลมีสีแดงเจืออยู่ มองดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดา
“นางยังกล่าวอะไรอีกหรือไม่?”
“ไม่มีแล้ว เพียงแค่ถามเรื่องทั่วไป ทั้งยังถามว่าซ่างกวนสุ่นได้ก่อปัญหาอะไรหรือไม่? รู้สึกว่าเขามีนิสัยเสียอะไรที่ทนไม่ได้หรือเปล่า? แล้วบอกว่านางให้เขาเปลี่ยนได้ ข้ารู้สึกว่าประหลาดนัก มิใช่ว่าซ่างกวนสุ่นก็ซุกซนเป็นแบบนั้นมาตลอดหรือ?” เสี่ยวซิงเบิกตากลมโต ดูออกเลยว่าปัญหานี้คาใจนางมานาน
มู่จิ่วมองกำไล ราวกับครุ่นคิดอะไรออก จึงมองอีกฝ่าย “เช่นนั้นเจ้ารู้สึกว่าซ่างกวนสุ่นเป็นเช่นไร?”
“พอใช้ได้ ถึงแม้ตอนแรกรู้สึกว่าเขาเสียงดังวุ่นวายไปหน่อย แต่ที่จริงยังมีข้อดีอีกมาก พูดชัดๆ คือไม่ได้มีนิสัยเสียอะไรที่รับไม่ได้” เสี่ยวซิงพูดพลางคิด
“เขารู้เรื่องนี้หรือไม่?” มู่จิ่วมีแผนในใจ ถามไปอีก
“รู้สิ พอแม่เขาไปข้าก็ไปคุยกับเขา ใช่แล้ว ซ่างกวนฮูหยินยังบอกว่าอีกหน่อยจะมาเยี่ยมเจ้าด้วย” เสี่ยวซิงทำหน้าตาจริงจัง
มู่จิ่วพยักหน้าครุ่นคิด มุมปากยกขึ้นอย่างอดไม่ได้
ซ่างกวนฮูหยินต้องไม่วุ่นวายมาถึงสวรรค์เพื่อพูดคำพวกนี้กับเสี่ยวซิงแน่ ทั้งยังเลือกตอนที่นางไม่อยู่ด้วย สักแปดส่วนต้องถูกตาต้องใจเสี่ยวซิงจนอยากได้เป็นสะใภ้
และตระกูลซ่างกวนอยู่ไกลถึงเขาเนินอาราม จะโผล่มาที่นี่กะทันหันได้อย่างไร? สักแปดส่วนต้องเป็นซ่างกวนสุ่นบอกให้มา เขามักจะพูดมากอยู่เสมอ ในใจมองเสี่ยวซิงอย่างไร ย่อมต้องบอกคนที่บ้านไปนานแล้ว พอดีแม่ของเขาตั้งใจมาเพื่อดูแทนลูกชาย ดูจากกำไลนี่แล้ว ท่าทางจะพอใจไม่น้อยเลย
แน่นอน ในเมื่อเป็นคนที่ลูกชายตั้งใจเลือกเอง ในฐานะที่เป็นแม่แล้ว นอกจากยินดีด้วยจะทำอย่างไรได้อีก?
ตอนนี้ดูท่าทางของเสี่ยวซิง ถึงแม้ยังไม่เข้าใจนัก แต่อย่างน้อยก็ไม่รังเกียจซ่างกวนสุ่น เกรงว่าจะมีความสนใจอยู่เล็กน้อย และถึงแม้ซ่างกวนสุ่นอารมณ์ร้าย ปากก็ร้าย แต่กลับว่านอนสอนง่ายเมื่ออยู่ต่อหน้าเสี่ยวซิง เวลาปกติมักยอมให้นาง ดูแบบนี้พวกเขาทั้งสองอยู่ด้วยกันก็ไม่มีอะไรไม่ดี
แต่การเป็นคนรักกันนั้นคือเรื่องหนึ่ง เรื่องแต่งงานเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ตอนนี้เสี่ยวซิงยังไม่โตดี รูปร่างน่าจะอายุราวๆ สิบสามสิบสี่เท่านั้น พูดเรื่องนี้ตอนนี้ไม่เร็วไปหน่อยหรือ?
อีกอย่างเสี่ยวซิงยังเป็นเพียงปีศาจ ส่วนนกต้าเผิงแห่งเนินอาราม แม้จะถูกเตะออกจากเผ่าหลัก แต่เลือดของเผ่าเทพในกายก็ไม่เปลี่ยน หากแต่งงานกับซ่างกวนสุ่นเร็วเกินไป จะไม่เป็นประโยชน์กับเส้นทางบำเพ็ญเป็นเซียนของนาง อีกอย่างต่อให้ซ่างกวนสุ่นจะค้านหัวชนฝา ตระกูลซ่างกวนก็คงไม่เห็นด้วยที่จะแต่งปีศาจตัวหนึ่งเข้าตระกูลกระมัง?
นางไม่ได้พูดอะไรกับเสี่ยวซิงอีก เพียงให้นางเก็บกำไลไป ตกกลางคืนจึงเรียกซ่างกวนสุ่นออกมาตรงป่าไผ่ด้านนอก
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ถึงให้แม่ของเจ้าเอากำไลมาให้เสี่ยวซิง?”
ซ่างกวนสุ่นหน้าแดง พูดเสียงแข็งว่า “จะมีความหมายอย่างไรได้? ก็แค่มาดูเฉยๆ”
“เสี่ยวซิงยังเล็กนัก เจ้าอย่าคิดทำอะไรพิเรนทร์!” มู่จิ่วเตือนเขา
“พิเรนทร์อะไร ยอมให้พวกเจ้าคู่ชายหญิงสนิทสนมกัน แต่ไม่ยอมให้พวกเรามีความรักในวัยเด็กหรือ?” ซ่างกวนสุ่นค้าน
“ความรักในวัยเด็ก?” นางฟังไม่ผิดใช่หรือไม่!
“ไม่ใช่หรือ?” เขากระแอม “ข้าอายุเก้าพันปี นางอายุห้าร้อยปี ห่างกันไม่มาก ตอนนี้พวกเรานับได้ว่าเป็นความรักในวัยเด็ก!”
ห่างกันแปดพันห้าร้อยปีนี่เรียกว่าห่างกันไม่มากหรือ?
มู่จิ่วอยากโวยวายกลับไปนัก แต่เมื่อมองตาที่จับจ้องมาก็กลืนคำพูดลงไป คนที่ตกอยู่ในห้วงความรักล้วนเป็นคนโง่เง่า นางไม่จริงจังกับคนโง่เช่นนี้จะดีกว่า นางคิดๆ แล้วก็พูด “ถ้าเช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอะไร? ถ้าจะแต่งงานข้าไม่อนุญาต! มันยังเร็วไปสำหรับเสี่ยวซิง นางยังต้องบำเพ็ญเป็นเซียน”
“ใครบอกว่าจะแต่งงานตอนนี้? ข้าเพียงอยากหมั้นไว้ก่อน!”
ซ่างกวนสุ่นเหมือนเปิดอก พูดเสียงดังขณะหน้าแดง “ตอนนี้เจ้าสะสมบุญกุศลใกล้ครบแล้ว เมื่อสะสมบุญกุศลครบก็เลื่อนขั้นเป็นเซียนได้ หลังจากเป็นเซียนเจ้าก็จะแต่งงานกับลู่ยา ถึงตอนนั้นเสี่ยวซิงจะเป็นอย่างไร? ข้าแค่อยากให้นางรู้ว่านางมีบ้านให้กลับ ถึงแม้จะไม่สามารถติดตามเจ้าไปสวรรค์อันสูงส่ง นางก็ไปอยู่ที่เนินอารามได้! ไม่ต้องกลับไปยังป่าให้โดนปีศาจตัวอื่นรังแกอีก!”
คำพูดของเขาทิ่มแทงลงไปกลางใจมู่จิ่วทันที
เขาคิดแทนเสี่ยวซิง…
มู่จิ่วไม่คิดเลยว่าเขาที่ปกตินางมองว่าเป็นชายหยาบกระด้าง กลับมีความคิดที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ มิใช่อย่างที่เขาพูดหรือ หลังจากนางกลายเป็นเซียนแล้ว เป็นไปได้มากว่าจะติดตามเคียงคู่ลู่ยาไป อาฝูกับรุ่ยเจี๋ยเป็นศิษย์ของเขาย่อมต้องติดตามไปด้วย แต่เสี่ยวซิงเล่า? นางเป็นเพียงปีศาจที่อายุห้าร้อยปีเท่านั้น ถึงแม้จะมีอายุยืนยาว ทว่าอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายพันปีถึงจะสำเร็จเป็นเซียน
ตามหลักเหตุผลแล้ว ปีศาจตัวหนึ่งไม่สามารถขึ้นไปยังชั้นสวรรค์อันสูงส่งได้ แน่นอนว่ามู่จิ่วไม่เคยคิดทิ้งเสี่ยวซิง นางคิดแทนมาตลอดว่าเสี่ยวซิงไม่อาจไปจากข้างกายนางได้ และนางก็ไม่อาจไปจากเสี่ยวซิงได้ ดังนั้นจึงไม่เคยคิดเลยว่าในอนาคตจะเตรียมการให้อย่างไร เพราะไม่ว่านางจะอยู่ที่ไหน เสี่ยวซิงก็อยู่ที่นั่นมิใช่หรือ?
แต่คำพูดนี้ของซ่างกวนสุ่น ทำให้นางได้เห็นใจจริงของเขาอย่างแท้จริง
ชายที่หยาบกระด้างเช่นเขา นึกไม่ถึงว่าจะคิดได้รอบคอบเช่นนี้
เวลานั้น นกต้าเผิงที่ไม่ยอมเป็นสองรองใครก็ดูรื่นหูรื่นตาขึ้นมา
นางจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “เจ้าคิดมากไปแล้วกระมัง? เสี่ยวซิงจะไปจากข้าได้อย่างไร?” ไม่รอให้เขาพูด มู่จิ่วพูดต่อทันที “แต่หากพวกเจ้าสองคนคิดดีแล้วละก็ สามารถพิจารณาเรื่องหมั้นหมายกันได้ แต่ก็ยังยืนยันคำนั้น หากนางยังไม่สำเร็จเป็นเซียน พวกเจ้าห้ามแต่งงานกัน และก็ห้ามข้ามขั้นตอนด้วย”
มิเช่นนั้นแล้วเสี่ยวซิงคงเสียเปรียบแย่
ซ่างกวนสุ่นไม่นึกเลยว่ามู่จิ่วจะยอมรับได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ เดิมทีคิดว่านางจะไม่เห็นด้วย ถึงได้อาศัยช่วงที่นางไม่อยู่ให้แม่ขึ้นมาบนสวรรค์ นับได้ว่าเปิดเผยแล้ว เมื่อตอนนี้มีคำพูดนี้ของนางอีก กระทั่งความคิดที่จะเข้าไปกอดนางก็ผุดขึ้นมาแล้ว “เพียงแค่เจ้าไม่ขัดขวางข้ากับนาง ข้ารับปากเจ้าทุกเรื่อง!”
มู่จิ่วยกมุมปาก กอดอกเดินจากไป
นางจะมีสิทธิ์ไปขวางพวกเขาได้อย่างไร นางไม่ใช่พ่อแม่หรืออาจารย์ของนาง หากเสี่ยวซิงไม่ค้านอะไร นางจะคัดค้านได้หรือ? แน่นอน ก่อนอื่นเลยคือความเต็มใจของเสี่ยวซิง หากเสี่ยวซิงไม่ยอม เกรงว่าต่อให้อีกฝ่ายเป็นลูกของอวี้ตีก็ไม่มีทางแน่
ในเมื่อเขาเพียงขอความสบายใจ เช่นนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องกดดันขนาดนั้น
ให้พวกเขาค่อยๆ พัฒนาความรู้สึกต่อกันไปจะดีกว่า
……………………………