ท่านเทพมาแล้ว – ท่านเทพมาแล้ว – บทที่ 379 ต้องช่วยเขา

ท่านเทพมาแล้ว - บทที่ 379 ต้องช่วยเขา
บทที่ 379 ต้องช่วยเขา

นางเดินเข้าประตูไปก็เจอกับลู่ยาที่นั่งอยู่ใต้ต้นท้อในลานบ้าน กำลังพิจารณาดอกตูมที่อยู่บนกิ่ง

มู่จิ่วชะงักตรงประตูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไป

“กำลังดูอะไรอยู่หรือ?”

ลู่ยาชายตามองนาง ชี้ไปที่ดอกบนกิ่งไม้ “ข้ากำลังดูดอกตูมนี้ ผ่านมาหลายเดือนแล้วยังไม่บานเสียที ไม่แน่ใจว่ากำลังบำเพ็ญเพียรอยู่หรือไม่?”

พืชพันธุ์บนสวรรค์ต่างจากบนโลกมนุษย์ การบำเพ็ญเพียรเป็นเรื่องปกติ

มู่จิ่วมองใบหน้าด้านข้างของลู่ยา สูดกลิ่นไม้กฤษณาอันคุ้นเคยบนร่างเขาเบาๆ ก่อนเอ่ย “หลายวันมานี้เจ้าไม่ได้ออกไปข้างนอกใช่หรือไม่?”

“ไม่ได้ออกไป” ลู่ยาจูงมือนางไปยังระเบียงทางเดิน น้ำเสียงเป็นธรรมชาติยิ่งนัก “เจ้าไม่อยู่บ้าน ข้าออกไปเดินเล่นข้างนอกก็น่าเบื่ออยู่ดี เป็นอย่างไรบ้าง คดีของแรกพยับสิ้นสุดหรือยัง? หลินเจี้ยนหรูเล่า?”

“จับได้แล้ว อยู่ในคุกเรียบร้อย กำลังรอสอบสวน” มู่จิ่วตอบ หากเป็นเมื่อก่อนนี้ นางคลี่คลายคดีใหญ่ขนาดนี้ได้ นางจะต้องบอกเขาเป็นอันดับแรก จากนั้นวิ่งเข้ามาหาเขาอย่างตื่นเต้นและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แต่ตอนนี้นางนิ่งเฉยมาก รอจนจัดการเรื่องทั้งหมดเสร็จแล้วค่อยกลับมา อีกทั้งเวลานี้ก็ไม่ได้เล่ารายละเอียดให้เขาฟัง

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” ลู่ยาไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน ขึ้นบันไดไปอย่างเงียบๆ เมื่อถึงห้องอาหารก็รินชาให้นาง พอเห็นหยางเหมย (เบอร์รี) ที่รุ่ยเจี๋ยวางไว้ถาดหนึ่ง ก็หยิบไปให้นางเสียหลายลูก

เขาสบายอกสบายใจเช่นนี้ ทำให้นางไม่ค่อยแน่ใจ

หากเขาเป็นชายชุดเขียว ทำไมถึงได้สงบนิ่งเช่นนี้?

มื้ออาหารนี้จบไปอย่างเหม่อลอย เสี่ยวซิงถามนางว่าเป็นเพราะเหนื่อยหรือไม่? นางตอบอย่างขอไปที ไม่ได้พูดถึงต้นเหตุ ด้วยกลัวว่าลู่ยาจะดูความผิดปกติออก จากนั้นจึงรีบเข้าร่วมบทสนทนาอย่างรวดเร็ว

ตกดึกนางไม่ได้ไปหาลู่ยา แต่ลู่ยากลับเป็นฝ่ายมาหานางเอง เขาพานางไปที่ทางช้างเผือกแล้วเป่าขลุ่ยให้นางฟัง

นางยิ่งอึดอัด หากในใจเขามีพิรุธ ทำไมถึงยังหาเวลามาอยู่กับนางมากขึ้น? ไม่กลัวว่าจะเผยพิรุธหรือ?

คืนนี้ดาวยังสว่างดั่งเช่นทุกคืน จนเกือบจะทำให้ตาคนพร่า

ลู่ยาเป่าขลุ่ย เสียงของมันมั่นคงดุจขุนเขา

ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างกำลังบอกนางว่า การที่นางมองเขาเป็นชายชุดเขียวนั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิดไปเอง

มู่จิ่วรู้สึกไร้สิ้นเรี่ยวแรง

ไม่ว่าเขาจะแสดงออกว่าปกติขนาดไหน อย่างไรนางก็สลัดภาพของชายชุดเขียวที่หันมาตอนอยู่ในป่าไม่หลุด

นางไร้หนทางที่จะอธิบายชั่ววินาทีนั้น เพราะการแสดงออกของเขามาจากสัญชาตญาณโดยแท้

แต่ตอนนี้นางไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น หากเขาทุ่มเทแรงกายแรงใจขนาดนี้เพื่อทำให้นางหายสงสัย เช่นนั้นไม่ว่านางจะถามอย่างไร เขาก็คงไม่ตอบ นางคงต้องหาคำตอบเอาเอง

นางเดินเล่นเป็นเพื่อนเขาแล้วจึงกลับบ้าน

วันถัดมาก็ไปสอบสวนหลินเจี้ยนหรูกับหลิวจวิ้น

ในคุกมีคนเฝ้าอยู่ หากหลินเจี้ยนหรูคิดจะฆ่าตัวตายก็ทำไม่ได้ วันแรกยืนยันจำนวนคนที่เขาฆ่า บันทึกรายชื่อ วันที่สองสอบสวนแรงจูงใจในการฆ่าคนของเขา

มีการเรียกคนเข้ามาเป็นพยานอยู่เรื่อยๆ แต่ล้วนไม่เป็นประโยชน์กับเขาเลย มีคนบางส่วนมาจากสำนักแรกพยับ บางส่วนมาจากทัพทหารสวรรค์ ทางด้านแรกพยับย่อมต้องกล่าวโทษเขา ตอนนี้กระทั่งบางคนในทัพทหารสวรรค์ที่เคยมีสัมพันธ์อันดีกับเขายังทยอยให้การว่าเขาเคยเผยท่าทางโหดเหี้ยมอย่างไรออกมาบ้าง

คนในทัพทหารสวรรค์ส่วนใหญ่เป็นศิษย์ลัทธิฉ่าน คุณธรรมไม่ต่างกัน พวกเขาย่อมต้องผนึกกำลังเข้าข้างกันอยู่แล้ว

มู่จิ่วคาดเดาว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้ได้ตั้งแต่แรก จึงไม่ตื่นตกใจนัก

หลิวจวิ้นสอบสวนอยู่หลายวันก็ถามนาง “หากเป็นแบบนี้ต่อไป เขาย่อมต้องหนีไม่พ้นชะตากรรมที่เลวร้ายที่สุด เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเขาจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ?”

มู่จิ่วถอนหายใจ มองเขาแล้วเอ่ย “เช่นนั้นใต้เท้าคิดเห็นอย่างไรเจ้าคะ?”

หลิวจวิ้นไม่ตอบอันใด

มู่จิ่วจึงพูดต่อ “ก่อนข้าจะเข้ามาที่สวรรค์ก็เคยถามคนข้างกาย แท้จริงแล้วเป้าหมายของการบำเพ็ญเป็นเซียนคืออะไร เพื่อสำเร็จวิชาชีวิตยืนยาวไม่แก่ไม่เฒ่า หรือเพื่อปกป้องความสงบสุขของหกภพแทนวิถีฟ้า ตอนนั้นข้าได้รับคำตอบว่าเพื่อไม่ให้แก่และมีชีวิตยืนยาวมากที่สุด แต่ข้าคิดว่าหากทำเพียงเพื่อสิ่งนั้น การมีชีวิตอยู่จะมีความหมายอะไร?”

“ภายหลังข้าจึงไปถามอาจารย์ของข้า เขาบอกว่าการบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนก็เพื่อคุณธรรม เส้นทางนี้เป็นหนทางแห่งฟ้า และเป็นหนทางแห่งใจ หนทางเห็นแจ้งของพวกเราคือการสะสมบุญกุศล ไม่ใช่เพื่อตนเอง แต่เพื่อสรรพสัตว์ ดังนั้นต่อมาข้าจึงได้ทำอะไรอิงตามมโนธรรมในใจ ช่วยเหลือคนอ่อนแอ เข้าร่วมกับคนดี ขจัดคนชั่ว ข้าไม่กล้าเรียกตนเองว่าเป็นผู้ผดุงคุณธรรมอะไร แต่เพียงต้องการทำสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น”

“ข้าเป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์ ทั้งยังเป็นเจ้าหน้าที่รักษากฎหมาย หากข้าตัดสินไปตามหลักฐานเท่านั้น เช่นนั้นให้ใครมาทำหน้าที่นี้ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นข้า ข้าเชื่อว่าที่ใต้เท้ามอบหมายหน้าที่นี้ให้ข้า ก็เพราะเห็นข้าทำหน้าที่ด้วยความยุติธรรม มิใช่เหตุผลอื่น”

“เหมือนกับที่หลินเจี้ยนหรูพูดไว้ เขาไม่ได้อยากกลายเป็นแบบนี้ ใต้เท้าจะว่าข้าเห็นแก่ส่วนตัวก็ดี ลังเลไม่เด็ดขาดก็ดี อย่างไรข้าก็ไม่อยากผลักคนที่เดิมทีเกิดมาน่าสงสารอยู่แล้วไปยังหนทางที่ยิ่งน่าสงสารขึ้นไปอีก ดังนั้นขอเพียงเขายังมีทางรอด ข้าก็อยากช่วย”

หลิวจวิ้นจับด้ามพู่กัน ไม่เอ่ยคำใด

มู่จิ่วพูดอีก “แท้จริงแล้วคนที่สมควรได้รับโทษคือพวกสำนักแรกพยับ ถึงแม้หลินเจี้ยนหรูมีความผิด โทษก็ไม่ได้หนักกว่าพวกเขา หากข้าเป็นหลินเจี้ยนหรู บางทีข้าอาจจะร้ายกาจกว่าเขาก็เป็นได้”

หลิวจวิ้นมองนาง ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ก่อนเก็บพู่กันกลับลงไปในกระบอกใส่เครื่องเขียน

“ข้าจำได้ว่าก่อนเกิดเรื่อง หลินเจี้ยนหรูมีเพื่อนร่วมห้องชื่อหูเจียงเต๋อ เขาย้ายเข้าไปกะทันหัน เจ้าส่งคนไปพาเขามา ยังมีอีก เหล่าศิษย์สำนักแรกพยับที่หนีไปบนเขาบัวหยก หาทางพาพวกเขากลับมาเสีย พวกเขาอาจจะเป็นพยานคนสำคัญ”

พูดจบเขาก็ยืนขึ้น เดินไปตรงหน้านาง “ฝ่าบาทกับเหนียงเหนียงกลับพูดด้วยง่าย ข้าแค่กลัวว่าไท่ซ่างเล่าจวินจะไม่ยอมปล่อยผ่านง่ายๆ เพราะก่อนหน้านี้มีเรื่องของหลีหังเกิดขึ้น ตอนนี้เขากำลังเคร่งครัดจัดการงานในสำนัก ถึงแม้จะมีใจปล่อยหลินเจี้ยนหรูไป แต่เกรงว่าต้องกังวลไม่ใช่น้อยเหมือนกัน ตอนนี้ข้าทำได้เพียงพยายามรวบรวมพยานที่เป็นประโยชน์ต่อหลินเจี้ยนหรู จากนั้นเขาจะรอดหรือไม่ คงต้องดูที่ลิขิตฟ้าแล้ว”

มู่จิ่วได้ยินดังนี้ ใจก็คลายกังวลลง

นางพูด “มีคำพูดนี้ของใต้เท้าก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ หากทางด้านไท่ซ่างเหล่าจวินคัดค้าน ข้าคงทำได้เพียงไปขอให้ลู่ยาเต้าจู่ช่วยเหลือแล้ว”

หลิวจวิ้นพยักหน้า “ตอนนี้ว่ากันตามนี้ ส่งคนไปจัดการก่อนเถอะ”

มู่จิ่วตอบรับก่อนเดินออกไป

ที่จริงนางดูออกว่าหลิวจวิ้นไม่ใช่คนแล้งน้ำใจ เพียงแต่ทำหน้าที่ขุนนางมานาน ตำแหน่งสูงส่ง ดังนั้นเรื่องที่ต้องกังวลจึงมีมาก สิ่งที่เขาต้องการคือคำพูดนี้ของนาง ซึ่งไม่ได้มาจากความเห็นอกเห็นใจเท่านั้น

เรื่องส่งคนออกไปขอไม่กล่าวถึง

มู่จิ่วกลับไปบ้าน

เสี่ยวซิงกำลังตากผ้าห่มในลานบ้าน แสงอาทิตย์สาดส่องบนร่างนาง ผมสีดำถูกสะท้อนจนทอแสงทอง นางที่หรี่ตาลงดูเหมือนสาวน้อย สองปีที่ผ่านมานี้คงเป็นเพราะการชี้แนะของลู่ยา ทำให้พลังวิญญาณเพิ่มสูงขึ้น ขนคิ้วก็เริ่มขึ้นบ้างแล้ว สีแดงในดวงตาก็จางไปหมดสิ้น

ซ่างกวนสุ่นกำลังซักผ้าปูที่นอนอยู่ ตอนนั้นเขายังเป็นหนุ่มน้อยที่คิดว่าตนถูกเสมอ บัดนี้กลับสุขุมขึ้นมากแล้ว

…………………………….

ท่านเทพมาแล้ว

ท่านเทพมาแล้ว

Status: Ongoing

ตอนที่ 1 – 50 อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )


ส้นทางการบำเพ็ญเป็นเซียนของมู่จิ่วราบรื่นนัก แต่พอถึงจุดสำคัญกลับไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นเซียนได้

อาจารย์ชี้ทางสว่างให้นาง เดิมทีสามารถปะปนอยู่ในแดนสวรรค์รอเวลาที่จะสำเร็จสมหวัง

ไหนเลยจะรู้ว่าไปได้ครึ่งทางกลับเก็บเจ้าตัวปัญหาได้คนหนึ่ง…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท