ใจของมูจิ่วมีความรู้สึกมั่นคงแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
แต่คืนนี้นางยังไม่ง่วง
นางเข้าใจเรื่องระหว่างตนกับลู่ยากระจ่างดีแล้ว แต่ต่อไปสิ่งที่นางต้องเผชิญหน้าคือสะสมบุญกุศลสุดท้ายและขึ้นเป็นเซียน จนตอนนี้มู่จิ่วเข้าใจแล้วว่าทำไมนางถึงได้ขาดบุญกุศล เข้าใจแล้วว่าการสำเร็จเป็นเซียนไม่ใช่เรื่องของนางคนเดียว แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับคลื่นจิตพสุธาและต้องทำให้สำเร็จให้ได้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ นางก็ต้องทุ่มเทเรื่องของหลินเจี้ยนหรูเสียแล้ว
ตัดเรื่องที่นางอยากช่วยเขาออกไป การสงบความโกรธแค้นในใจเขาก็เป็นหน้าที่ของนางเช่นกัน
ยังมีเรื่องที่หงชางอีก ในเมื่อลู่ยาเล่าเรื่องออกมาอย่างหมดเปลือก แน่นอนว่าเรื่องที่หลิวหยางคือจุ่นถีและจื่อเย่าคือหงจวิน เขาก็เล่ามาหมดแล้ว
ตอนอยู่ที่คลื่นจิตพสุธาไม่ทันได้ขบคิดเรื่องเหล่านี้อย่างละเอียด ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้วก็อดคิดวนไปมาไม่ได้
ดูแล้วตอนนั้นซุนหงอคงไม่ได้เข้าใจผิด นางเป็นศิษย์ร่วมสำนักกับเทพเจ้าสงครามในตำนานจริง เมื่อหวนนึกว่าจุ่นถีดูแลนางตั้งแต่เล็กมาจนเติบใหญ่ ก็ทอดถอนใจอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตอนนั้นจุ่นถีสอนซุนหงอคงก็เพียงวิชาจำแลงกายเจ็ดสิบสองกระบวนท่าอย่างลับๆ ส่วนนางไม่มีทั้งคุณสมบัติและความสามารถ เขากลับเลี้ยงดูเยี่ยงบุตรีในอุทรมาตั้งหลายปี
ทั้งยังมีอีกหลายอย่าง หลายอย่างนัก…
ความทรงจำที่หลั่งไหลออกมา แท้จริงยังมีอีกมาก เหมือนกับเม็ดทรายอ่างใหญ่ที่พยายามยัดเข้าไปในถุงผ้าขนาดเพียงหนึ่งในสามของมัน แต่ละเรื่องหลั่งไหลออกมา และในเวลาเดียวกันก็พลอยลากอย่างอื่นออกมาอีกกองใหญ่ ไม่มีหนทางสงบใจครุ่นคิดอย่างละเอียดได้เลย
เสี่ยวซิงตื่นเช้ามาเจอมู่จิ่วนึ่งติ่มซำในห้องครัวก็ประหลาดใจ “บอกว่าจะไม่กลับมาไม่ใช่หรือ?”
“พอดีจัดการธุระเสร็จก่อนเวลา เลยกลับมาก่อน” มู่จิ่วบอก เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “เรื่องเมื่อวาน ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังอย่างละเอียดทีหลัง”
นางมีฐานะอะไร แน่นอนว่าไม่อาจปิดบังเสี่ยวซิง แต่เรื่องนี้ไม่ได้เร่งด่วน ให้นางคิดให้ดีก่อนแล้วค่อยบอก
ในเมื่อต้องสำเร็จเป็นเซียน และไปทำลายพลังร้ายก่อนที่มันจะก่อร่างสำเร็จ เช่นนั้นก็ไม่อาจชักช้าได้ แน่นอนว่ายิ่งเร็วได้เท่าไหร่ยิ่งดี
หลิวจวิ้นก็มาที่หน่วยงานเช้านัก กำลังพลิกอ่านบันทึกงาน เมื่อเห็นนางก็รีบกวักมือเรียก “เจ้ามาพอดีเลย หูเจียงเต๋อมาถึงแล้ว ยังไม่ทันได้สอบสวนเขาก็พ่นเรื่องที่แม่ลูกจีหมิ่นจวินเคยทำร้ายหลินเจี้ยนหรูอยู่หลายครั้งออกมา ถึงแม้จะขาดหลักฐานยืนยันอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยก็ยืนยันได้ว่าคนในแรกพยับทำกับเขาแบบนี้หลายคน”
มู่จิ่วหยิบมาพลิกๆ ดู วางลงแล้วเงียบไป
บนบันทึกล้วนเป็นคำให้การของหูเจียงเต๋อ นางย่อมเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ถึงแม้ชะตาชีวิตของหลินเจี้ยนหรูจะถูกลู่ยาเปลี่ยนมาก่อน ชาตินี้ต่อไปก็ต้องเข้าสู่ทางมาร แต่เรื่องราวที่เหลือยังต้องให้นางเป็นคนแก้ หากทำเพื่อส่วนรวมแล้ว นางต้องการช่วยวิญญาณดวงหนึ่งเพื่อเติมเต็มบุญกุศล แต่โดยส่วนตัวนางก็อยากให้เขาลบล้างความโกรธแค้นในใจแล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
“มีปัญหาอะไรหรือไม่?” หลิวจวิ้นถาม
“ไม่มีเจ้าค่ะ” นางส่ายหน้าก่อนยืนขึ้นมา “ข้าอยากไปดูที่คุกหน่อย”
หลิวจวิ้นพยักหน้าเงียบๆ หยิบป้ายจากลิ้นชักส่งให้นาง
มู่จิ่วกลับไปบ้าน จากนั้นมุ่งหน้าไปที่คุกหลวง
คุกหลวงใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า เมื่อมองไปแล้วก็เหมือนยามค่ำคืน
เถิงเส๋อขดตัวอยู่กลางอากาศ ถึงแม้จะปิดตาอยู่ แต่ท่าทางเหมือนยังคอยระวังป๋ายเจ๋อที่อยู่บนหินอยู่ตลอด
มู่จิ่วเพิ่งมาถึงประตูเขาก็ตื่นแล้ว ยืดคอขึ้นมา ขู่ฟ่อพลางจ้องนาง จากนั้นใช้หางฟาดลงไปบนหัวของป๋ายเจ๋อ ด่าว่า “เจ้าโง่! รู้จักแต่นอน มีคนมาแล้ว!” ป๋ายเจ๋อก็ลุกขึ้นมาด่าทอ เหลือบมองมู่จิ่วสองครั้ง ก่อนหันไปด่าเถิงเส๋อสักประโยค แล้วถึงช่วยกันเปิดประตู ปล่อยให้นางเข้าไป
มู่จิ่วเดินเข้าไปตามทางช้าๆ ฟังเสียงโคมในคุกทั้งสองข้างทาง เหมือนกับเดินอยู่บนหนทางอสูร
หลินเจี้ยนหรูถูกขังอยู่ในสุด รอบด้านไม่มีนักโทษคนอื่น หน่วยลาดตระเวนหลายคนเห็นนางเดินเข้ามาก็รีบเดินขึ้นหน้า ทำความเคารพ
หลินเจี้ยนหรูที่อยู่ในคุกนั่งขัดสมาธิ ผมปล่อยสยาย มองไม่เห็นใบหน้า หากไม่เพราะยังมีพลังวิญญาณลอยอยู่ คงเข้าใจไปว่าเขาตายแล้ว
“เป็นอย่างไรบ้าง?” นางถาม
“ไม่ขยับเลยขอรับ” คนเฝ้ายามตอบเสียงเบา ขณะเดียวกันก็หันกลับไปมองเขาคราหนึ่ง “ตั้งแต่เข้ามาจนถึงตอนนี้ก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ไม่พูดด้วยขอรับ”
มู่จิ่วตอบรับคำหนึ่ง จากนั้นโบกมือให้พวกเขาเปิดประตู
นางเดินเข้าไป มองโซ่ที่ล่ามติดผนังทั้งสี่ด้าน ก่อนจะเอาเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งลงตรงหน้าเขา
“ข้ามาแล้ว” นางพูด
หลินเจี้ยนหรูไม่ขยับ ผ่านไปนานจึงค่อยๆ ช้อนตาขึ้นมองผ่านผมเผ้าอันยุ่งเหยิง
แววตาคู่นั้นสงบนิ่งดุจบ่อน้ำแห้งเหือด ลุ่มลึกราวบึงน้ำลึก แววตาของเขาจับจ้องบนใบหน้านาง แล้วจึงหลุบลงอย่างช้าๆ
ใจของมู่จิ่วก็หนักอึ้งตามไปด้วย นางพูด “ตอนนี้ใต้เท้าหลิวเป็นผู้นำทำคดี คำให้การของหูเจียงเต๋อเป็นประโยชน์ต่อเจ้า พวกเรากำลังพยายามอยู่ แต่เพราะทางด้านแรกพยับก็ไม่ยอม ดังนั้นจึงไม่อาจมีบทสรุปออกมาได้โดยง่าย แต่ข้าจะไม่ทิ้งเจ้า เจ้าก็อย่าได้ละทิ้งตนเองเสียล่ะ”
มีเสียงหัวเราะเยาะลอยออกมาจากใต้ผมเผ้าอันยุ่งเหยิง
มู่จิ่วมองเขาก่อนพูดต่อ “พวกเรามาคุยกันหน่อยเถิด ข้าเอาเหล้ามา ยังมีกับข้าวที่ข้าทำมาด้วยเล็กน้อย พวกเราไม่ได้พูดคุยดื่มเหล้าเล่นกันมานานแล้ว” นางปลดห่อผ้าออก หยิบซึ้งไม้ไผ่ออกมาสี่ห้าอัน จากนั้นค่อยหยิบกาเหล้าออกมารินลงจอกของแต่ละคนจนเต็ม “ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนพวกเราลาดตระเวนอยู่ด้วยกันก็ทำแบบนี้บ่อยๆ”
หลินเจี้ยนหรูยิ้มเยาะขณะมองอาหารและเหล้าตรงหน้า “เจ้ามาส่งอาหารมื้อสุดท้ายหรือ?”
“ไม่ใช่” มู่จิ่วตอบ “ข้าอยากคุยกับเจ้า”
นางวางกาเหล้าลง มองแสงสะท้อนจากโคมในแก้ว เอ่ยว่า “ที่จริงช่วงนี้ข้าไม่ค่อยได้ไปที่หน่วยงาน”
หลินเจี้ยนหรูจ้องตานางอยู่นาน หยิบจอกเหล้าขึ้นมา “ทำไม?”
“เพราะทุกครั้งที่ข้าคิดถึงเจ้าขึ้นมา ภาพที่ปรากฏมักจะเป็นตอนที่เจ้าปกป้องข้าจากใต้เท้าหลิว เจ้าในตอนนั้น เหมาะกับคำว่ากล้าหาญชายชัยนัก ทำให้ข้าประทับใจไม่น้อย”
มู่จิ่วยกริมฝีปากพูดเบาๆ “ตอนเข้ามาที่หน่วยใหม่ๆ ฟ้ารู้ว่าข้าโชคร้ายขนาดไหน พบเจอแต่อุปสรรค ได้แต่ระมัดระวังเพื่อไม่ให้อาจารย์ลำบาก ขี้ขลาดยิ่งนัก ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น เหล่าสหายร่วมงานต่างก็กดดันข้า แต่กลับมีคนหนึ่งยื่นมือเข้าปกป้อง ความประทับใจนั้นเกรงว่าจะมีไม่กี่คนที่ได้เห็น…เจ้าจำได้หรือไม่?”
นางยิ้มพลางมองเขา
เขามองเหล้าที่ขยับไหวเล็กน้อย แววตาค่อนข้างเลื่อนลอย
ความทรงจำที่เหมือนห่างไกล แท้จริงแล้วไม่ได้ห่างไปเท่าไหร่
ตอนนั้นนางบอกเพียงตนเองเป็นเด็กกำพร้า เป็นผู้บำเพ็ญตนเป็นเซียน เขากับนางจึงเหมือนหัวอกเดียวกัน นางเป็นผู้บำเพ็ญ ถึงแม้จะได้ลำดับสูงในการทดสอบ แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับหลิวจวิ้นที่มีอคติ เผชิญหน้ากับการเยาะเย้ยของหยางอวิ้นและอวี๋เสี่ยวเหลียนที่คิดว่าตนเองถูกต้อง
แม้เขาอยู่ในฐานะศิษย์ลัทธิฉ่าน แต่กลับต้องแบกรับความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจยามทำงานอยู่ในสวรรค์ ทั้งยังต้องเผชิญกับการกลั่นแกล้งของพวกจีหย่งฟาง
ความรู้สึกของพวกเขาเหมือนกัน
เผชิญหน้ากับความจริง ไม่มีหนทางต่อต้าน ทำได้เพียงเลือกที่จะอดทน
………………………..