มู่จิ่วมองยันต์ที่ยังคงกะพริบอยู่ คิ้วยิ่งขมวดแน่นขึ้น จากนั้นนางเป่าขลุ่ยล่าเซียน มองไปยังทางที่คลื่นเสียงเคลื่อนไป แววตาก็ทะมึนลง
แสงของยันต์นั้นกะพริบมาหลายชั่วยามแล้ว เขายังคงอยู่ใกล้ๆ นี้ไม่ไปไหน หรือว่ากำลังรอโอกาสลงมือ?
เขาคิดจะทำอะไร ละทิ้งหนทางมีชีวิต ลากคนทั้งสำนักแรกพยับตายตกไปกับเขาและเหลียงชิวฉานหรือ?
“อยู่นิ่งๆ ก่อน ลาดตระเวนตามปกติพอแล้ว และก็อย่าทำให้เหล่าผู้อาวุโสบนเขาตกใจ รอพวกเขารู้เรื่องก่อนค่อยว่ากัน ยังไม่แน่เลยว่าจะเป็นเขา” นางพูด
เหล่าพวกผู้อาวุโสล้วนคนเป็นชั้นเซียน พลังอาคมย่อมเหนือกว่าหลินเจี้ยนหรู การหาตัวเขาพบไม่ใช่เรื่องยาก
คนในสำนักแรกยับมีดีไม่กี่คน เหล่าผู้อาวุโสก็เช่นกัน เวลาปกติโอ้อวดตนว่าเป็นสำนักฝ่ายธรรม แต่พอเกิดเรื่องกลับหลบหลีกไปไกลกันหมด เมื่อพื้นฐานเป็นแบบนี้ ก็ไม่แปลกอะไรที่ยอมให้เหล่าศิษย์ในสำนักรังแกหลินเจี้ยนหรู ดังนั้นมู่จิ่วจึงไม่ได้มองพวกเขาดีเท่าไหร่นัก
นางซุ่มรออยู่บนเขาเช่นนั้น
หลินเจี้ยนหรูก็อดทนนัก อยู่ในถ้ำมาหลายวันแล้ว
เขารู้ว่ามู่จิ่วมาถึงแล้ว ราวกับพวกเขาเปิดเผยการเคลื่อนไหว แต่กลับไม่รู้ว่านางมาทำอะไร
เขาอยากให้พวกนั้นจากไปเร็วหน่อย ถึงแม้มีเวลาเพียงหนึ่งเค่อ เพียงพวกเขาก้าวเท้าหน้าจากไป เขาก็จะตามขึ้นเขาทันที
กระทั่งจะเข้าโจมตีจากมุมไหน เข้าสยบใครก่อน เขาก็คิดไว้หมดแล้ว หลินเจี้ยนหรูเก็บฟืนอยู่ที่แรกพยับมาหลายปี ล่าสัตว์อยู่บนเขาไม่รู้กี่รอบ เขาย่อมรู้ตื้นลึกหนาบางดี
ลู่ยายังไม่รู้เรื่องตอนที่มู่จิ่วออกจากบ้าน จนเขาออกไปแล้วได้ยินว่านางไปแรกพยับก็ชะงักอยู่บนระเบียงทางเดิน แต่ก็ไม่ได้คิดจะตามไป ยิ่งยามที่มู่จิ่วยังสงสัยเขาอยู่เช่นนี้ ไม่ว่าทำอะไรก็เกรงว่าจะเป็นการกระตุ้นให้นางคิดฟุ้งซ่าน เขาอยู่นิ่งเฉยจะดีกว่า
แต่ทางด้านมู่จิ่วยังไม่ได้รายงานไปที่หน่วยงาน หลิวจวิ้นก็รู้เรื่องแล้ว
ไม่นานเขาก็นำกำลังคนมาที่แรกพยับ
มู่จิ่วกำลังคิดจะไปหาหลินเจี้ยนหรู เมื่อพบหลิวจวิ้นก็ตกใจไป “ใต้เท้ามาได้อย่างไรเจ้าคะ?”
หลิวจวิ้นตอบ “ได้ข่าวว่าหลินเจี้ยนหรูปรากฏตัวแล้วหรือ อยู่ใกล้ๆ แถวนี้นี่เอง?”
มู่จิ่วไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี นางไม่เคยคิดอยากบอกเขาเลย ถ้าเขามาหลินเจี้ยนหรูจะหนีไปได้อย่างไร?
“ยังไม่แน่ชัดเจ้าค่ะ อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ข้าไม่คิดว่าเขาโง่ขนาดนั้น” นางพูดตะกุกตะกัก กระทั่งตนเองยังรู้สึกว่าพูดมั่วซั่วไปหมด
“กัวมู่จิ่ว!” หลิวจวิ้นหน้าตึง “นี่เป็นคดีที่สวรรค์เบื้องบนสั่งการมา เจ้าคิดจะทำอะไร?!”
มู่จิ่วใจสั่น มือกระชับกระบี่ ไม่กล้าส่งเสียงใดอีก
ตามหลักเหตุผลแล้ว หลิวจวิ้นพูดได้ไม่ผิดแม้แต่น้อย นางสมควรจะจับเขาส่งทางการทันที แต่เมื่อนับถึงความเป็นเพื่อนแล้ว นางไม่อาจลงมือทำได้อย่างหมดจดจริงๆ
“ส่งคำสั่งของข้าออกไป ให้พลทหารลาดตระเวนเฉินอิงนำกำลังพลสามพันนายมาทันที ล้อมสำนักแรกพยับไว้ในระยะห้าร้อยลี้!” หลิวจวิ้นตะโกนสั่ง จากนั้นกัดฟันมองนาง “กัวมู่จิ่ว เจ้าอย่าลืมว่าเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายธรรม ต่อมาก็เป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์ผู้รักษากฎระเบียบ และสุดท้ายถึงค่อยเป็นเพื่อนของหลินเจี้ยนหรู!”
“เจ้าบำเพ็ญตนเพื่ออะไร? เพื่อให้เห็นสัจธรรม! เจ้ารักษากฎระเบียบทำไม? ก็เพื่อปกป้องความยุติธรรม! วันนี้ไม่ต้องพูดว่าหลินเจี้ยนหรูเป็นเพียงเพื่อนเจ้าเท่านั้น ถึงแม้เขาเป็นพี่น้องของเจ้า เจ้าก็ต้องรักษาความตั้งใจเดิมในการบำเพ็ญเป็นเซียนโดยไม่สนใจความสัมพันธ์ส่วนตน! ทัพทหารสวรรค์ไม่ต้องการคนโลเลไม่เด็ดขาด เจ้าไม่ชัดเจนแบบนี้ จะให้ผู้อื่นไว้ใจได้อย่างไร?!”
ใจของมู่จิ่วเต้นราวกับรัวกลอง มือกุมกระบี่แน่นขณะพูดอะไรไม่ออก
นางอยากบอกว่านางไม่ได้โลเลไม่เด็ดขาด แต่นางอยากปรานีหลินเจี้ยนหรูสักหน่อย ไม่ใช่ว่านางไม่โกรธที่เห็นเขาฆ่าคนต่อหน้าต่อตา ทั้งยังเคยคิดจะฆ่าเขาเช่นกัน แต่ในเมื่อรู้ที่มาที่ไปทั้งหมด การตามล่าสังหารผู้ที่ถูกบีบคั้นให้ทำผิดเช่นนี้เป็นเรื่องดีแล้วหรือ?
หลิวจวิ้นเดินนำไปก่อนโดยไม่สนใจนางอีก
เหล่าพลทหารแต่ละกองกลับสวรรค์ไปเกณฑ์ทหารมา
มู่จิ่วกำหมัดแน่น แต่ก็ต้องตามออกไปเช่นกัน
นางไม่อยากให้หลินเจี้ยนหรูโดนจับคือเรื่องจริง แต่หลิวจวิ้นออกคำสั่งมาแล้ว นางจึงไร้หนทางใดอีก หวังเพียงว่าเขาจะมีไหวพริบ สามารถหาทางรอดให้ตนเองได้ก่อนที่ทหารสามพันนายจะมา
มู่จิ่วไล่ตามหลิวจวิ้นไปที่ประตู “ใต้เท้าไว้ชีวิตเขาได้หรือไม่เจ้าคะ? อย่าฆ่าเขาเลย? ข้าไม่คิดว่าเขาจะไร้หนทางเยียวยา”
“จับได้ก่อนค่อยว่ากัน!”
หลิวจวิ้นถลึงตาใส่นาง ก่อนเดินออกไป
พื้นที่โล่งด้านนอกมีศิษย์สำนักแรกพยับมารวมตัวกันเต็มพื้นที่
ในฐานะที่หลิวจวิ้นเป็นหัวหน้าบัญชาการหน่วยลาดตระเวน ข่าวการมาถึงของเขาย่อมกระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว
มู่จิ่วประมาทความเร็วในการเคลื่อนทัพของหน่วยลาดตระเวนเกินไป คำสั่งเพิ่งออกไปได้ไม่เกินเวลาครึ่งก้านธูป หลี่อี้ก็เดินเข้ามารายงานอย่างรวดเร็ว “รายงานใต้เท้าทั้งสอง นายพลเฉินนำทัพทหารมาถึงแล้ว ตอนนี้รวมพลอยู่ที่ตีนเขา เหล่าผู้อาวุโสในสำนักแรกพยับหลายคนที่ได้ข่าวก็นำศิษย์ลงไปต้อนรับแล้ว คนเหล่านั้นต่างกำลังด่าว่าฆาตกรเลวทรามแซ่หลินอยู่หน้าทัพ”
มู่จิ่วขมวดคิ้ว ผู้อาวุโสในสำนักแรกพยับแต่ละคนล้วนต่ำตมเห็นแก่ตัว ไม่รู้ว่ามีสิทธิ์อะไรไปเรียกผู้อื่นว่าเลวทราม?
“รับทราบ” หลิวจวิ้นตอบ จากนั้นก็ไม่สนใจหลิวเติงเต้าเหรินที่กำลังพูดคุยกับเขาอย่างเป็นกันเองอีก กุมกระบี่เดินลงเขาไป
มู่จิ่วเหลือบมองหลิวเติงเล็กน้อย จากนั้นเดินลงเขาไปกับหลี่อี้
ตรงใต้ผานั้นมีพลทหารรวมตัวอยู่ทั้งหมดสามพันนาย แต่ละคนตัวตรงหน้าเคร่ง กระทั่งมือที่ถือทวนเหล็กก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย มู่จิ่วรู้สึกหนักใจ แบบนี้หากหลินเจี้ยนหรูยังไม่หนีไป จะเอาตัวรอดไปได้อย่างไร?
“จัดขบวน! ขวางทางเข้าออกทั้งหมด อย่าให้นกสักตัวหลุดรอดไปได้!” หลิวจวิ้นสั่งอยู่บนเก้าอี้ที่พลทหารนำมาให้
หลินเจี้ยนหรูอยู่ในถ้ำ รักษาบาดแผลไปพลาง รอพวกมู่จิ่วถอนตัวไปพลาง
เขานึกในใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจดึงนางเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยได้ คิดดูแล้วชาตินี้เขาคงไม่อาจมีอะไรตอบแทน ทำได้เพียงรอนางจากไปจึงค่อยลงมือ ให้นางหลุดพ้นจากการนองเลือดต่อจากนี้ไปเสีย ก็ถือว่าเป็นการตอบแทนแล้วกระมัง
รอบด้านมีสมุนไพร เขาเด็ดมาทาก็นับว่าได้ผลอยู่
ตอนกำลังนั่งสมาธิพลันรู้สึกว่ามีพลังวิญญาณเคลื่อนไหวอยู่ที่หน้าผาใกล้ๆ ใจกระเพื่อมไหวขึ้นมาอย่างไร้ที่มาที่ไป จึงรวมสมาธิสำรวจ เมื่อเห็นแล้วใบหน้าก็ถอดสี!
เป็นคนของทัพทหารสวรรค์!
เขาอยู่บนสวรรค์มาสองสามปี จะแยกไม่ออกได้อย่างไร?!
หรือมู่จิ่วรู้แล้วว่าเขาอยู่ใกล้ๆ จึงตั้งใจส่งทหารมาล้อมจับเขา?
เขาพุ่งไปยังปากถ้ำด้วยใจที่หนักอึ้ง เคลื่อนพลังมองไปยังทิศสำนักแรกพยับ ทะลุผ่านป่าไม้ไปก็เห็นพลทหารหลายพันคนรวมตัวตั้งขบวนล้อมจับอยู่ในอาณาบริเวณของสำนักแรกพยับแล้ว
เขาชะงักไปสามวินาที ก่อนจะวูบไหวหายไปตรงชายป่า!
เขารู้กำลังของตนเองดี เขาต่อกรกับทัพทหารสวรรค์ไม่ได้! และไม่คิดจะตายในเงื้อมมือพวกเขาเช่นนี้ด้วย เขาต้องหนี!
ขอเพียงหนีออกไปได้ เขายังมีโอกาสครั้งถัดไปอีก!
เขาไม่อาจยอมให้คนในสำนักแรกพยับมีโอกาสกดหัวเขา ล้อเลียนเขาด้วยการมองเยี่ยงสุนัขตัวหนึ่ง มองเขาโดนคนจับตัวไป จากนั้นก็ใช้ชีวิตต่อไปอย่างเย่อหยิ่ง และทำร้ายคนที่พวกเขาสามารถทำร้ายได้!
ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านในใจเขาเมื่อหลายวันก่อนหายไปแล้ว ที่แท้เขาก็มองมู่จิ่วผิดไป!
นางไม่ได้ต้องการส่งสัญญาณให้เขาจากไป แต่กลับลอบทำร้ายลับหลังตามหน้าที่!
ใจเขาราวกับมีแผลเก่าถูกกรีดออกจนเลือดไหล เขาพุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง ประหนึ่งต้องการวิ่งไปสู่ทางเลือกใหม่อีกทาง
……………………………