พวกลู่ยากลับมาถึงบ้าน ซ่างกวนสุ่นที่กลับมาก่อนและเสี่ยวซิงจุดโคมให้สว่างไปทั่วบ้านนานแล้ว มู่จิ่วหันหน้ากลับมามองเหล่าเซียนที่มาส่งอยู่ตรงประตู ก่อนจะมองลู่ยาคราหนึ่ง ลู่ยาจึงต้องบอกให้พวกเขากลับไปอีกครั้ง ลานบ้านนี้จึงสงบลงได้
เสี่ยวซิงยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมชาและผลไม้ วิ่งเข้าวิ่งออกยุ่งไม่หยุด มู่จิ่วลองขับเคลื่อนพลังเรียกนกรับใช้ออกมาหลายตัว พวกมันรวมตัวค้อมคำนับอยู่ด้านหน้าแล้วเรียก ‘นายท่าน’ มู่จิ่วยินดียิ่งนัก เรียกเสี่ยวซิงมา “นับจากนี้เจ้าเป็นมือขวาของข้าแล้ว ให้พวกนางช่วยเจ้าทำงาน เจ้าเพียงแค่ควบคุมดูแลก็พอ”
เหล่านกข้ารับใช้หมุนตัวไปทำความเคารพเสี่ยวซิง
เสี่ยวซิงทั้งตื่นเต้นและดีใจ ทั้งยังซาบซึ้ง คิดไม่ถึงว่าตัวนางจะกลายเป็นมือขวาของเทพหญิง ถึงแม้ไม่รู้ว่าตนเองจะสามารถช่วยเหลืออะไรได้บ้าง แต่ก็รู้ว่าความหมายของมู่จิ่วคือไม่อยากให้นางจากไปไหน ความยินดีนี้ยากจะบรรยายออกมา
ซ่างกวนสุ่นออกมาเร่ง นางถึงได้ค้อมคำนับให้เล็กน้อยก่อนนำพวกนางไป
เทพหญิงแห่งหกวิญญาณสามารถควบคุมวิญญาณในหกภพ เรียกนกกี่ตัวมาทำเป็นข้ารับใช้ก็ได้ ไม่ใช่เรื่องยากอะไร วิชาเรียกนกนี้แน่นอนว่าลู่ยาเป็นคนสอน
เพียงแต่ถึงแม้ตอนนี้พลังวิญญาณกลับมาแล้ว ทว่ายังไม่ได้รับการแต่งตั้ง ยังไม่ได้รับการยอมรับจากฟ้าดิน วิชาอาคมบางอย่างจึงยังไม่ถูกคลายออก
ถึงแม้รุ่ยเจี๋ยกับอาฝูจะดีใจกับนางด้วย แต่เรื่องดีใจก็ส่วนดีใจ พวกเขาไม่เคยคิดว่านางจะมีกำลังมากขนาดนี้ ตอนนี้เห็นเหล่านกพวกนั้นอ่อนน้อมเชื่อฟังนางแบบนั้น ถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วพลังของนางไร้ขอบเขต เหนือกว่าที่พวกเขาคาดคิดไว้มากนัก! ทั้งสองรู้สึกว่าเป็นเกียรติมาก สุดยอดยิ่งนัก
มู่จิ่วเห็นลู่ยากำลังรักษาแผลให้หลินเจี้ยนหรู จึงเดินเข้าไป
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่มีปัญหา” ลู่ยาตอบ “เพียงแต่เลือดลมรุ่มร้อนไปหน่อย แต่ตามหลักการแล้วไม่ควรมีสภาพดีเช่นนี้ ข้าเดาว่าคงพอดีกับที่เจ้าออกมาดึงดูดอสุนีบาตสามสายสุดท้าย จึงทำให้เขาหลบเลี่ยงไปได้ และอสุนีบาตสามสายนั้นนำมาซึ่งด่านเคราะห์ของเจ้าพอดี สองสิ่งนี้เกิดในเวลาเดียวกันอย่างประจวบเหมาะ”
เขาให้หลินเจี้ยนหรูกินยา ก่อนจะลุกขึ้นเอ่ย
“ลำบากมู่จิ่วแล้ว” หลินเจี้ยนหรูกลืนยาลงไปก่อนมองมา “แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าจะตอบแทนบุญคุณเจ้าในชาตินี้ได้หมดหรือไม่”
“จะเอ่ยถึงเรื่องนี้ทำไม?” มู่จิ่วทนฟังเรื่องเหล่านี้ไม่ได้มากที่สุด นางเอ่ย “ข้าเพียงทำเรื่องที่ข้าควรทำ ข้าเชื่อมาตลอดว่าทำดีได้ดีก็เท่านั้น”
ลู่ยารับคำของนางอย่างเชื่องช้า “หากเจ้าอยากชดใช้คืนจริง ชาตินี้ใช้ได้ไม่หมด ชาติหน้าค่อยมาชดใช้คืนต่อก็เหมือนกัน”
มู่จิ่วผลักเขาไปทีหนึ่ง แล้วหันไปเอ่ยกับหลินเจี้ยนหรู “ข้ายังรู้สึกว่าเจ้าคือดาวนำโชคของข้า เจ้าดูสิ หากไม่ใช่เพราะอสุนีบาตเก้าสายนี้ของเจ้า ข้าจะสำเร็จเป็นเซียนหรือ? ตอนนี้สำเร็จสมปรารถนาแล้ว เจ้าไม่ต้องคิดมากอีก” นางพูดพลางหยิบขวดใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ เอ่ยอีกว่า “ข้ายังมีเรื่องต้องบอกเจ้า”
หลินเจี้ยนหรูพยักหน้า “เจ้าว่ามาเถิด”
“ข้าถามเจ้าก่อน ต่อไปเจ้าคิดจะทำอย่างไร?”
“คิดจะทำอย่างไรหรือ?” เขาชะงัก มองไปยังแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ด้านนอก เอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าบำเพ็ญเซียนมาครึ่งๆ กลางๆ ไม่รู้ว่ายังมีหวังอีกหรือไม่ ข้าไม่อยากเป็นมาร ฟ้าดินกว้างใหญ่เช่นนี้ คิดแล้วคงไม่ขาดที่ซุกหัวนอนให้ข้า คงหลบเร้นกายฝึกบำเพ็ญอย่างสงบ แล้วปล่อยไปตามลิขิตฟ้า”
“เพียงเจ้าคนเดียวหรือ?” มู่จิ่วถาม
เขาเงียบมองนาง ไม่ได้ตอบอะไร
คิดอยากมีชีวิตสงบสุข สามารถหาคนที่จะเคียงคู่กันไปจนแก่เฒ่า ใช้ชีวิตที่เหลือด้วยกัน แต่ตอนนี้เขาเหลือตัวคนเดียว ไม่อยู่คนเดียวแล้วจะยังมีใครมาเคียงคู่เขาด้วยหรือ?
“ข้าฝังร่างของศิษย์พี่เหลียงไว้ที่ภูเขาจิตอสุนีบาต ข้าคิดจะไปสร้างเพิงอยู่ที่นั่น” เขาลอบกำหมัดพลางเอ่ย
มู่จิ่วเงียบไม่เอ่ยอันใด อาศัยตอนที่เขาไม่ได้ระวังเปิดฝาขวดออกอย่างเงียบๆ
กลุ่มควันวิญญาณลอยออกมาจากปากขวดไปปรากฏตัวอยู่หลังเขา ก่อนค่อยๆ ผสานขึ้นเป็นร่าง
“เจ้าอยากดูแลหลุมศพนางหรือ?” มู่จิ่วปิดฝาขวดก่อนถามอีก
“ไม่ใช่เฝ้าดูแลหลุมศพ เพียงคิดว่าที่ที่มีนางอยู่จะทำให้รู้สึกถึงความมีชีวิตบ้าง”
เขาก้มมองเท้า ปากพึมพำ “แต่ก่อนตอนอยู่ที่ทัพทหารสวรรค์ นางซักผ้าให้ข้า เก็บห้องให้ข้า บางครั้งข้าก็รู้สึกเคยชินกับการที่มีนางอยู่ข้างกาย แต่ข้าเอาแต่จดจำว่าข้าไม่อาจอยู่กับนางได้ตลอดชีวิต ดังนั้นจึงไม่เคยยินดี และก็ไม่เคยคิดเลยว่าหากนางจริงใจกับข้าจริงๆ เล่า?”
“ตอนนี้ข้าร่อนเร่ไปทั่ว นางเองก็ไม่อาจกลับสำนักแรกพยับแล้ว หากได้อยู่ข้างกายนาง นับวันเวลาเฝ้านาง บางทีอาจจะรู้สึกว่าใกล้ชิดขึ้นบ้าง อย่างน้อยก็คงไม่โดดเดี่ยวขนาดนั้น ข้าติดค้างนางไว้ ข้าสละทั้งชีวิตเพื่ออยู่เคียงข้างนางก็เหมาะสมแล้ว”
ทั้งห้องพลันตกอยู่ในความเงียบราวกับเวลาหยุดนิ่ง
มู่จิ่วมองเหลียงชิวฉานที่ร้องไห้อยู่ข้างหลัง ก่อนเอ่ย “หากนางสามารถกลับมามีชีวิต คงดีมาก เจ้าไม่ลองคิดหาวิธีให้นางคืนชีพดู”
เขายกริมฝีปากยิ้มขมขื่น พูดช้าๆ ว่า “เมื่อก่อนข้ารบกวนเจ้าไว้มาก หากยังมีโอกาสช่วยนางกลับมา ข้าย่อมหน้าด้านหน้าทนเพื่อขอร้องเจ้า แต่ข้ารู้ว่าแม้ข้าจะร้องขอเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์ วิญญาณของนางได้กลับคืนสู่ปรโลก ร่างของนางก็ฝังไว้นานแล้ว คงไม่ทันอีกต่อไป”
มู่จิ่วมองลู่ยาที่กอดอก เอ่ยว่า “เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ สำคัญคือเจ้าอยากเจอนางหรือไม่?”
หลินเจี้ยนหรูเงียบไปนาน สุดท้ายก็ส่ายหน้า “ข้าทำร้ายนางมาหลายครั้ง นางคงไม่อยากเจอข้า อีกอย่างเจ้าจะให้ข้าเจอหน้านางอย่างสบายใจได้อย่างไร? ให้นางกลับไปเวียนว่ายตายเกิดจะดีกว่า มีชาติหน้าที่สงบสุขย่อมดีกว่าอะไรทั้งหมด ข้าแค่ทำเหมือนไม่มีวาสนาต่อนางเท่านั้น”
“ที่แท้เป็นเพราะเจ้าไม่อาจทำใจเจอข้าได้ หรือเจ้าคิดว่าข้าไม่อาจมอบความสงบสุขมั่นคงให้เจ้าได้กันแน่?” เขาเพิ่งพูดจบ ก็มีเสียงสะอื้นเจือด้วยความแข็งกร้าวดังขึ้นมาจากด้านหลัง “เจ้าไม่ใช่ซือมิ่งซิงจวิน จะรู้ได้อย่างไรว่าชาติหน้าของข้าสงบสุขและต้องดีกว่าชาตินี้? แล้วข้าเคยบอกเจ้าเมื่อไหร่ว่าข้าไม่อยากอยู่กับเจ้าจนแก่เฒ่า ล้วนเป็นเจ้าคิดไปเองทั้งนั้น”
หลินเจี้ยนหรูชะงัก รีบหมุนตัวกลับไป
เหลียงชิวฉานตรงหน้าเขา ใบหน้าไม่ได้ต่างจากเมื่อก่อนเลยแม้แต่น้อย ตรงหางตามีคราบน้ำตาอยู่
เขายืนอยู่ตรงนั้น สองมือและริมฝีปากพลันสั่นเบาๆ!
เขามองมู่จิ่วก่อนมองลู่ยา ฝ่ายลู่ยาเลิกคิ้ว ไม่ได้เอ่ยอะไร
มู่จิ่วก้าวไปข้างหน้า “ลู่ยาเก็บวิญญาณไว้ให้เจ้านานแล้ว ส่วนร่างก็เก็บรักษาไว้ที่คุนหลุนตะวันออก แต่การตัดสินใจอยู่ที่เจ้า หากเจ้าไม่อยากให้นางมีชีวิตอยู่ต่อ พวกเราจะส่งนางไปเกิดทันที หากเจ้ายินยอม ตอนนี้พวกเราสามารถพาเจ้าไปที่คุนหลุนตะวันออกแล้วฟื้นคืนชีวิตให้นาง”
หลินเจี้ยนหรูมองเหลียงชิวฉานที่อยู่เพียงเอื้อม คิ้วขมวดแน่น ขอบตาทั้งสองแดงเรื่อทันใด
เหลียงชิวฉานตากุมมือเขาไว้ทั้งใบหน้าเปื้อนน้ำ “ชีวิตที่เหลืออยู่ ให้ข้าได้ชดใช้ให้เจ้าแทนสำนักแรกพยับ ให้ข้าดูแลเจ้าเถิด ชีวิตสงบสุขที่เจ้าต้องการ รู้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่ชีวิตที่ข้าต้องการด้วย”
………………………………..