ทางด้านลู่ยาก็เงียบอยู่พักหนึ่งถึงได้ยอมเปิดปาก “ก่อนหน้าที่ปฐมวิญญาณจะรวมร่างกลับคืนสู่ธรรมชาติเคยทำนายไว้ว่า หมื่นปีข้างหน้าคลื่นจิตพสุธาจะเกิดเคราะห์”
“ถึงตอนนั้นพลังร้ายที่ถูกผนึกอยู่ในคลื่นจิตพสุธาจะบำเพ็ญสำเร็จและก่อเป็นรูปร่าง หกวิญญาณที่คอยสกัดกั้นมันไว้อาจเอาไม่อยู่ แต่ถึงแม้จะสกัดไว้ได้ก็อาจเสียหายจนไม่เหลือซาก ดังนั้นก่อนที่พลังร้ายจะก่อร่าง ปฐมวิญญาณได้ทำให้หกวิญญาณให้กำเนิดเทพหญิงออกมา เทพหญิงแห่งหกวิญญาณผู้นั้นก็คือมู่จิ่วที่เจ้ารู้จัก”
“มู่จิ่ว…”
หลิวจวิ้นยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก!
เขาจำได้แม่นยำว่ากระจกฟ้าดินฉายภาพเด็กสาวที่เกิดบ้านนอก บังเอิญพบเจอเซียนจึงได้โอกาสขึ้นเขามาบำเพ็ญ ทำไมตอนนี้กลายเป็นเทพหญิงแห่งหกวิญญาณไปได้?!
ทางด้านมู่จิ่วก็บอกข่าวหลินเจี้ยนหรูให้พวกเสี่ยวซิงฟัง ทุกคนกับหลินเจี้ยนหรูไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน มีเพียงอาฝูและเสี่ยวซิงเท่านั้นที่คุ้นเคยอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ทั้งสวรรค์ล้วนให้ความสนใจเรื่องของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งซ่างกวนสุ่นกับอาฝู เรื่องนี้ชัดเจนว่าแรกพยับรังแกคน หลินเจี้ยนหรูได้รับโทษ แต่หากความเลวร้ายที่เขาเคยได้รับมาไม่ถูกสะสางก็ไม่ได้
ดังนั้นความดีใจของทุกคนจึงเป็นเรื่องที่ชัดเจน ดูดีใจเสียยิ่งกว่านางตอนได้รับข่าวดีอยู่บ้าง แต่ละคนล้วนด่าทอแรกพยับ ถึงแม้มู่จิ่วไม่ได้พูดอะไร ทว่าก็เหมือนได้วางหินลง สบายอกสบายใจยิ่งนัก
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเวลาที่สำเร็จขึ้นเป็นเซียนจะมาถึงเมื่อไหร่?
ทางด้านหลังลานบ้าน ลู่ยาเล่าเรื่องส่วนใหญ่เกี่ยวกับคลื่นจิตพสุธาให้หลิวจวิ้นฟังจนจบ ก่อนเอ่ย “สรุปคือ เทพหญิงแห่งหกวิญญาณเกิดมาเพื่อต่อกรกับพลังร้ายที่ค่อยๆ ก่อร่าง และเพราะข้าเป็นต้นเหตุทำให้หกวิญญาณเสียหายในชาติก่อน ทำให้ข้าเข้ามาเกี่ยวข้องพัวพันกับนาง รวมถึงการที่กลายเป็นชายชุดเขียวเพื่อจัดการเรื่องทั้งหมดอยู่เบื้องหลัง เพื่อให้บุตรีแห่งวิญญาณกลายเป็นเซียนได้เร็วขึ้นหน่อย ตอนนี้บุญกุศลของนางเกือบครบแล้ว ใกล้จะสำเร็จเป็นเซียน อีกไม่นานก็ต้องจากหน่วยลาดตระเวนนี้ไป”
หลิวจวิ้นนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น พูดไม่ออกอยู่นาน
เขาไม่คิดเลยว่าคดีที่มู่จิ่วรับมาทั้งหมดนั้นจะมีต้นเหตุลึกซึ้งเกี่ยวพันกับนางเช่นนี้ ถึงแม้เขารู้สึกว่าทหารใหม่เช่นนางโชคดีอยู่ไม่น้อย แต่ไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องจะซับซ้อนเช่นนี้…
เขามองลู่ยา เอ่ยว่า “พูดเช่นนี้ แสดงว่ามู่จิ่วเข้ามาที่หน่วยลาดตระเวนของข้าน้อยได้ก็เพราะมีเหตุผล?”
ลู่ยาพยักหน้า
ใจของเขากระจ่างทันที มิน่าล่ะเขาถึงยิ่งมองนางดีขึ้นเรื่อยๆ…ยังมีอีก ลู่ยาที่เป็นเทพดีๆ ผู้หนึ่งเป็นโสดมาตั้งนานหลายปี ทำไมถึงได้ตกมาอยู่ในมือนางได้!
ถึงแม้เป็นเซียนมาหลายปีขนาดนี้ คลื่นลมอะไรล้วนเจอมาหมดแล้ว แต่เพราะคุ้นเคยกับนางเกินไป ภาพในใจของเขาที่มีต่อนางคือน้องสาวข้างบ้านได้ประทับลึกลงไปนานแล้ว อยู่ๆ มีคนมาบอกว่านางคือเทพหญิงแห่งหกวิญญาณ นี่ก็เหมือนกับเลี้ยงเด็กคนหนึ่งมานานหลายปีแล้วพลันกลายเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ไปเสียอย่างนั้น เรื่องประหลาดนี้ไม่ใช่เพียงครู่เดียวก็จะยอมรับกันได้
เขาครุ่นคิดกับตนเองอยู่พักหนึ่ง ก่อนเอ่ย “เช่นนั้นข้าไปรายงานเรื่องนี้กับวังหลิงเซียวได้หรือไม่?”
ลู่ยาบดยาในชามบดพลางเอ่ย “เล่าเรื่องเหล่านี้ให้เจ้าฟังก็เพื่อให้เจ้าไปรายงานรายละเอียด สิ่งที่ควรบอกก็บอกให้กระจ่าง เรื่องที่ไม่ควรบอกก็ไม่ต้องพูดมาก เท่านั้นพอแล้ว” พูดถึงตรงนี้เขาก็เงยหน้าขึ้นมา จับจ้องสายตาอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าว “วาสนาของเจ้ากับมี่เฟยจบลงแล้ว ปล่อยวางให้เร็วเสียเถิด”
หลิวจวิ้นตระหนกเล็กน้อย ใบหน้าที่เข้มแข็งพลันปรากฏร่องรอยความเศร้าหมอง
ตอนที่ทั้งสองคนออกมาก็บ่ายแล้ว กลิ่นอาหารของบ้านสกุลกัวลอยคลุ้งไปทั้งด้านนอกและใน
“ใต้เท้าหลิวมากินก่อนแล้วค่อยไปเถอะ! พวกเราทำอาหารไว้มากมายเพื่อเฉลิมฉลองผลงาน ยังมีเหล้าอีก มารวมกันเร็ว!” มู่จิ่วอยู่ตรงระเบียงทางเดิน ล้างปลาไปพลางเอ่ยปากเรียกไปพลาง
หลิวจวิ้นจ้องใบหน้ายิ้มแย้มของนางอยู่พักหนึ่ง ก่อนหันมามองลู่ยาที่เอามือไพล่หลังอยู่ด้านหลัง ยกริมฝีปาก จากนั้นพยักหน้า
ท่าทางหัวแข็งไม่ยอมแพ้ของเด็กสาวที่ถือหนังสือรับตำแหน่งเข้ามาในหน่วยลาดตระเวนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน จากที่ดูแคลนนางกลายมาเป็นยอมรับนาง จนถึงขั้นเชื่อใจ สุดท้ายมาถึงขั้นที่คบหาสมาคมกันโดยไม่สนใจอายุ เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึง และเรื่องที่ยิ่งคาดไม่ถึงคือเวลาไม่ถึงสามปีดีนางก็ต้องจากไปแล้ว…เมื่อพลันนึกถึงตรงนี้ ใจก็รู้สึกอาวรณ์
ในสายตาของเขานางไม่ใช่เทพหญิงแห่งหกวิญญาณอะไรนั่น แต่เป็นเพียงกัวมู่จิ่วที่โง่เง่าจริงใจ
และเขาก็เคยเข้าใจว่าอย่างน้อยนางต้องอยู่ที่หน่วยลาดตระเวนนี้ไปสักห้าร้อยปี
บนโต๊ะอาหารค่ำวันนี้ทุกคนล้วนมีความสุข
ต่างคนต่างพูดคุยหยอกล้อกันไม่หยุด
มู่จิ่วทั้งมีความสุขทั้งกังวล มีความสุขที่หลินเจี้ยนหรูได้รับความยุติธรรมในที่สุด และตนเองใกล้ทำตามฝันที่จะสำเร็จเป็นเซียนสำเร็จ ความทรงจำของนางล้วนหยุดตรงที่ร่างของกัวมู่จิ่ว ลู่ยาได้กลายเป็นเงาร่างหนึ่ง ประทับอยู่ลึกในใจนาง ดังนั้นนางถึงได้มีความฝันและความสุขที่เรียบง่าย
ส่วนที่นางกังวลคือไม่รู้คืนนี้หลินเจี้ยนหรูจะผ่านเคราะห์อสุนีบาตไปได้หรือไม่ ถึงแม้ขอเพียงรากฐานเซียนไม่ถูกตัด เป็นตายไม่ต่างกัน แต่นางก็ยังหวังให้เขาสามารถใช้ชีวิตนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ความโศกเศร้าของเขาควรหยุดลงได้แล้ว รอรับความสุขที่จะเข้ามา แล้วเริ่มชีวิตใหม่ที่เหลือกับเหลียงชิวฉานอย่างสะอาดบริสุทธิ์ถึงจะถูก
แต่เสี่ยวซิงกลับดีใจแทน หลายปีมานี้นางยึดถือเอาความฝันของมู่จิ่วเป็นความฝันของตัวเอง ในที่สุดก็มาถึงวันที่สะสมบุญกุศลได้ครบ นางพอใจยิ่งกว่าได้สิ่งใดทั้งหมด
ซ่างกวนสุ่นก็ดีใจที่มู่จิ่วสำเร็จเป็นเซียน ภายหลังจะได้ไปที่สวรรค์อันสูงส่ง แบบนี้เสี่ยวซิงก็ตามเขากลับไปที่เขาเนินอารามได้แล้ว
แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่อยากแยกจากพวกเขาไป อยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ เขาเปลี่ยนจากองค์ชายเจ็ดผู้สูงศักดิ์แห่งเผ่านกต้าเผิงมาเป็น ‘ผู้ดูแลบ้าน’ ที่ยินยอมทำงานบ้าน และก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่ดีด้วย อีกทั้งเสี่ยวซิงก็ไม่ยินยอมแยกจากมู่จิ่ว เขาไม่อยากเห็นนางเสียใจเช่นกัน ดังนั้นเมื่อคิดแบบนี้จึงกังวลนัก
อาฝูกับรุ่ยเจี๋ยไม่กดดันอะไร กินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย พวกเขาไม่มีอะไรต้องกังวล หากจะบอกว่ามีคือต่อไปต้องไปสวรรค์อันสูงส่ง ที่นั่นทั้งเงียบเหงาและสูงส่ง ไม่คึกคักเหมือนกับสวรรค์หรือมีอะไรที่เหมือนกัน ทว่าพวกเขาก็ไม่เคยไปสวรรค์อันสูงส่ง ด้านบนนั้นเป็นอย่างไรไม่อาจพูดได้ เช่นนั้นก็มีความสุขกับตอนนี้ก่อนแล้วกัน!
ลู่ยาเป็นถึงเทพผู้สูงศักดิ์ ปกติยามดีใจมักจะไม่แสดงออกบนใบหน้า แต่วันนี้คำพูดคำจากลับแสดงออกชัดเจนมากขึ้น
เดิมทีหลิวจวิ้นที่ได้รู้ความจริงรู้สึกว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวบ้าง แต่เมื่อบรรยากาศพาไปก็ค่อยๆ ผ่อนคลายมากขึ้น เหล้ากุ้ยฮวาสิบชั่ง ไม่กี่คนก็ดื่มจนหมดได้
เหล้าสิบชั่งไม่อาจทำให้เมา แต่กลับเป็นของดีที่เพิ่มความรื่นรมย์
บทสนทนาไม่รู้จบ ตั้งแต่ต้นมาจนถึงปัจจุบัน ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปแล้วกี่ชั่วยาม
จนกระทั่งถึงเวลางานเลี้ยงเลิกรา แสงจันทร์ได้พ้นเนินไปแล้ว
มู่จิ่วเดินกลับไปนอนที่ห้องทั้งสติพร่าเลือน ตอนที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นอกหน้าต่างยังคงมืดมิด ไม่รู้ว่าฝนค่อยๆ พร่างพรมลงมาเมื่อไหร่ ใบกล้วยที่นอกห้องถูกน้ำฝนตกกระทบดังเปาะแปะ
ใจของนางรู้สึกไม่สงบอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้เองที่ลู่ยาเดินถือโคมเข้ามา “หลินเจี้ยนหรูกำลังจะรับอสุนีบาตแล้ว”
มู่จิ่วตื่นทันที กระโดลงจากเตียงวิ่งไปที่ระเบียงทางเดิน เห็นเพียงเมฆดำปกคลุมท้องฟ้า แสงอสุนีบาตสว่างวาบไม่หยุด ช่างเป็นอสุนีบาตที่พบเห็นได้เสียจริง!
……………………………………