มู่จิ่วจำไม่ได้แล้วว่าแต่งงานมานานกี่ปี มีวันหนึ่งนางฝัน พลันรู้สึกว่าตำแหน่งดาวเปลี่ยนไป
อยู่ๆ ตำแหน่งดาวของนางก็มีจุดดำเล็กๆ เพิ่มขึ้นมา ตอนแรกนางเข้าใจว่ามีพวกแมลงเข้าไปเกาะอยู่ จึงปัดๆ ออก ทว่าจุดนั้นกลับไม่หายไป เมื่อกะพริบตามันก็กลับเข้ามา พอปัดอีก ครั้งนี้ปัดโดนก็หนีไปไกลหน่อย แต่พอนางไปเดินเล่นมันก็กลับขึ้นมา
นางให้ลู่ยามาตียุง ลู่ยาสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าขาวก็พลันแดงเรื่อ ลำคอตีบตัน จากนั้นเอ่ยเสียงสูงขึ้นทันใด “นี่ไม่ใช่ยุง นี่คือลูกของพวกเรา!”
ลูก?!
นางชะโงกเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นเพียงจุดนั้นลงเล็กกว่าเดิม และยังเกือบจะทับเป็นตำแหน่งเดียวกับตำแหน่งดาวของนาง…
เป็นลูกของนางจริงๆ จุดดำเล็กๆ นี้เป็นตำแหน่งดาวของลูกนาง
มู่จิ่วมีลูกแล้ว
วังชิงเสวียนสั่นสะเทือน อีกสามวังที่เหลือก็รับรู้ได้
หงจวินหยักนิ้วทำนาย ก่อนเอ่ย “เด็กคนนี้เป็นเด็กฟ้าประทานโดยแท้ หากไม่ถึงสามพันห้าร้อยปีก็มาเกิดไม่ได้”
นี่หมายความว่านางต้องตั้งครรภ์สามพันห้าร้อยปี และลู่ยาก็ต้องแพ้ท้องไปอีกสามพันห้าร้อยปี…
มู่จิ่วไม่มีปัญหาอะไร สีหน้าลู่ยากลับดำทะมึน
หุนคุนก็หยักนิ้วทำนายบ้าง เขาเอ่ย “เป็นเด็กผู้ชาย ทั้งยังมีวาสนาใกล้ชิดกับแม่นางจิ่วมาก”
มีวาสนากับนางมาก ก็หมายความว่าสนิทกับนาง แต่ไม่ค่อยสนิทกับพ่อ?
หนี่ว์วามองลู่ยา เม้มปาก ก่อนจิบชาโดยไม่เอ่ยอะไร
ลู่ยาพูดอย่างเย็นชา “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ข้ารับได้”
หนี่ว์วาทำได้เพียงเอ่ย “เด็กคนนี้เกิดจากวิญญาณของพวกเจ้าทั้งสอง เกรงว่าคงซุกซนหน่อย”
ยังดีที่แค่ซุกซน
สีหน้าลู่ยาผ่อนคลายลงบ้าง และเริ่มหันมาดูแลบำรุงครรภ์มู่จิ่ว
ถึงแม้จะแพ้ท้อง แต่แบบนี้ทำให้อยู่กับภรรยาได้ตลอด อีกทั้งเมื่อคิดว่าเขาจะมีลูกแล้วก็ยินดียิ่งนัก
มู่จิ่วตั้งครรภ์จริงๆ สี่พันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าปี
วันคลอด ทั้งสวรรค์อันสูงส่งถูกปกคลุมด้วยไอมงคล นี่ยังไม่คู่ควรให้พูดถึงเท่าไหร่ ไอมงคลบนสวรรค์อันสูงส่งไม่ได้หายาก สำคัญคือ เขาคลอดยากนัก!
มู่จิ่วโกรธจนอยากผ่าท้องออก ไม่ใช่บอกว่านางกับเขามีวาสนาต่อกันหรือ? มีวาสนาทำไมยังกลั่นแกล้งนางเช่นนี้?
ลู่ยาก็โกรธเหมือนกัน แต่เขาเป็นแก้วตาดวงใจ และนอกประตูยังมีอาจารย์ลุงป้าอีกสามคนคอยดูอยู่ จึงไม่เหมาะให้ลู่ยาบ่นลูกในตอนนี้
ถึงคราวอุ้มเด็กออกมา ตัวขาวผ่องบริสุทธิ์ ทั้งยังยิ้มแย้ม น่ารักยิ่งนัก
ลู่ยาตั้งชื่อว่าจี้
หนี่ว์วาเอาเสื้อมาสวมให้จี้ เขาคลายกำปั้น ปีนเข้าไปหาแม่
มู่จิ่วสุขใจยิ่งนัก ตั้งชื่อเล่นให้เขาว่าอาตัง ตังที่หมายถึงเสียงดังๆ
ตั้งแต่นั้นมา อาตังก็เริ่มชีวิตสามพันปีในห่อผ้า
หลังจากมู่จิ่วคลอดสามร้อยปีนับเป็นช่วงอยู่เดือนแรก ช่วงเวลานี้ให้ระวังเรื่องอารมณ์และความเหนื่อยล้า
ลู่ยายืนกรานว่าต้องหาแม่นมมา
ในวันปกติให้มาดูแลจัดการงานทั่วไปหนึ่งชั่วยาม ดูแลมู่จิ่วหนึ่งชั่วยาม จากนั้นให้นมเด็กหนึ่งชั่วยาม…ใช่แล้ว ในวังมีแม่นมไม่น้อย ทว่าอาตังก็ไม่ได้กินนมแม่ แต่เป็นไขกระดูกหยกชั้นดีที่สุดจากทะเลสวรรค์ ทุกวันเหล่าอาจารย์ลุงป้าจะต้องส่งคนไปที่ทะเลสวรรค์เพื่อเก็บอันที่สดใหม่ที่สุดมาให้เขา ส่วนอาการไม่กินผัก มีอาจารย์ลุงคนรองคอยรับมือ ส่วนเรื่องของเล่นย่อมเป็นหน้าที่อาจารย์ลุงใหญ่
ภายใต้การดูแลด้วยความรักใคร่ของทุกฝ่าย อาตังเติบโตขึ้นอย่างมีความสุข ผ่านไปห้าหมื่นปี ในที่สุดเขาก็สูงเท่าต้นขาของลู่ยา ตั้งแต่เขาดึงหนวดตรงคางของหุนคุนไปหนึ่งเส้น และยังตามเขาไปเขาไท่ซ่านก่อนแอบพาหลานสาวของมหาเทพตงเยวี่ยมาที่สวรรค์อันสูงส่ง จนทำให้คู่สามีภรรยากับปี้เสียหยวนจินตามหาไปทั่ว ลู่ยาก็เริ่มรู้สึกรางๆ ว่าเจ้าเด็กคนนี้เริ่มก่อกวนหกภพแล้ว
เป็นไปตามคาด ครั้งนี้ลู่ยาไปเดินเล่นที่โลกมนุษย์กับมู่จิ่วกลับมา พอนึกถึงหนุ่มสาวชาวโลกที่พลอดรักกันระหว่างทางเมื่อครู่ก็รู้สึกต้องการขึ้นมา พอตกดึกจึงลากภรรยาเข้าห้อง
เพิ่งขึ้นไปบนเตียง ก็รู้สึกว่าที่หัวเตียงออกจะผิดปกติ เมื่อเงยหน้าขึ้นถึงเจออาตังนั่งเท้าคางมองพวกเขาอยู่ขอบเตียงอย่างสนอกสนใจ…
ลู่ยาหยิบไม้ขนหงส์มาจะตีเข้าให้
อาตังเจ็บปวดใจยิ่งนัก เขาเพียงสงสัยว่าพ่อแม่รีบร้อนเข้าห้องไปทำอะไร จึงตามเข้าไปดู คิดไม่ถึงว่าจะโชคร้ายอย่างนี้
เขาวิ่งไปหาอาจารย์ป้าอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันได้พูดอาจารย์ป้าก็ดุพ่อเขาไว้แล้ว
ลู่ยาโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยโดนหนี่ว์วาดุเลยสักครั้ง ตอนนี้มีเจ้ากระต่ายน้อยตัวร้ายแล้ว ตำแหน่งจึงถูกลดลงไป…
เขาจึงเปลี่ยนแผน เริ่มให้ลูกชายอ่านหนังสือ
เดิมทีเขาไม่จำเป็นต้องเล่าเรียน อย่างน้อยก็ไม่ต้องเรียนพื้นฐาน เขาเกิดมาพร้อมกับพลังวิญญาณของพ่อแม่ บนโลกใบนี้มีเพียงหนึ่งเดียว เพียงแค่ผ่านไปหนึ่งปีก็เป็นอาคมวิชาในหกภพแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หนังสือที่ลู่ยานำมาให้เดิมทีก็ไม่ใช่หนังสือฝึกบำเพ็ญอะไร แต่เป็นเรื่องราวทั่วไปบนโลกมนุษย์
ลู่ยาให้เขาอ่าน เขาก็ไม่ปฏิเสธ อ่านอย่างว่างง่ายไปก็เท่านั้น เดิมทีแม่เขาก็มักชมเขาว่าเป็นเด็กดีอยู่แล้ว
ยังไม่พ้นสองปี เขาก็อ่านหนังสือที่ไม่รู้ว่าพ่อหามาให้จากไหนกว่าครึ่งห้องหมดแล้ว
ลู่ยาสงสัยนัก รู้สึกไม่เชื่อ วันถัดมาอวี้ตี้หวังหมู่มาเยี่ยมเยือน ถึงได้รู้ว่าเจ้าเด็กนั่นแอบหนีลงไปเข้าร่วมสอบจอหงวนที่โลกมนุษย์ ทั้งยังได้เป็นถึงขุนนางขั้นสาม!
ในงานต้อนรับ เขาดื่มมากไปจนเผยร่างจริงออกมา ทำให้จักรพรรดิตกใจจนฉี่เล็ด พอตกกลางคืนถึงได้ส่งหนังสือไปขออภัยโทษ เรื่องนี้ไม่ได้แค่ทำให้คนตกใจ กระทั่งสวรรค์ยังตกใจไปด้วย ทุกคนจึงรู้ว่าที่แท้เขาเป็นเทพองค์น้อยที่ยังไม่ทันได้เผยโฉมอย่างเป็นทางการกับหกภพ แต่ไม่เพียงแค่สูงส่งเหนือสามัญเท่านั้น สติปัญญายังยอดเยี่ยม…
สีหน้าลู่ยาบูดบึ้ง รอจนพวกอวี้ตี้กลับแล้วจึงรีบไปหาเจ้าเด็กซน คิดจะตีเขาอย่างเงียบๆ
เจ้าเด็กซนสามารถสอบผ่านเป็นขุนนางขั้นสามได้ แน่นอนว่าไม่โง่เขลา เพียงเห็นอวี้ตี้หวังหมู่มาเยี่ยม เด็กน้อยที่สูงไม่ถึงเอวก็นั่งอยู่ที่ศาลาหยกอย่างว่าง่าย มือป้อมๆ เอาปิ่นหยกประดับเม็ดทองเล็กๆ ให้เป็นของขวัญแก่มู่จิ่ว ใบหน้าสะอาดสะอ้านมีดวงตากระจ่างใส กระทั่งถอนหายใจยังดูอ่อนโยนและว่าง่าย
มู่จิ่วเห็นแววตาของลูกก็ใจอ่อนเป็นน้ำ
อีกทั้งนางยังไม่มองลู่ยาแบบนั้นมาก่อน…
ลู่ยาโกรธกริ้วมาก วันนี้ถึงแม้จะเสี่ยงโดนมู่จิ่วบิดหูจนหลุดก็ต้องสั่งสอนเขาให้ได้!
เพิ่งจะเข้าประตูไปก็ได้ยินเสียงหวานเล็กๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านแม่ มิสู้ท่านคลอดน้องสาวให้อาตังสักคน”
“หืม?” มู่จิ่วลูบไหล่เขาอย่างเอ็นดู “ทำไม เพราะเจ้าเหงาหรือ?”
“ไม่ใช่” อาตังส่ายหน้า พูดโดยที่สีหน้าสงบนิ่ง “เพราะท่านพ่ออยากได้”
ไม่ใช่ว่าเขามองไม่ออก พ่อของเขาอยากจะมีลูกทุกปีแทบขาดใจ หากแม่เขาตั้งครรภ์น้องสาวเขา พ่อของเขาจะต้องทุ่มเทความสนใจไปที่แม่ลูกทั้งสองแน่ ไหนเลยจะมีเวลามาใส่ใจโกรธเขาอีก?
และเห็นแก่ที่เขามีน้ำใจกับท่านพ่อ ตอนนี้ท่านพ่อจะโกรธเขาได้อย่างไร?
………………………..