ตอนที่ 69 คำถามที่สะเทือนอารมณ์
หลินหยางที่กำลังนั่งพักอยู่นั้น สายตาของเขาเหลือบไปมองเรือนร่างของฉีเยียนเอ๋อร์อยู่พักหนึ่ง ฉีเยียนเอ๋อร์มาจากตระกูลที่ร่ำรวย ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ผิวของเธอจึงขาวเช่นนี้ รูปร่างที่เรียวงาม ไหนจะเนินอกที่ขาวเนียนคู่นั้นอีก ขนาดนอนอยู่ก็ยังตั้งชูชันได้ขนาดนั้น
“หลินหยาง นายยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าผู้ชายที่นั่นลักษณะเป็นอย่างไร” พอเธอโดนหลินหยางมองอยู่เธอก็หน้าแดงขึ้นมาทันที
“ผมเองก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเหมือนกัน” หลินหยางพูดอย่างหมดหนทาง
“ฉันเห็นนายจ้องฉันมาตลอด…ถ้าอย่างนั้นก็ลองเอาของนายมาให้ฉันดูสิ” ฉีเยียนเอ๋อร์จ้องไปที่หลินหยางพลางพูด
หลินหยางได้ยินก็ชะงักไปครู่หนึ่งมองไปที่แววตาของฉีเยียนเอ๋อร์เหมือนเธอเองก็อยากที่จะดูเช่นกัน เขาจึงลุกช้าๆ พลางมองร่างกายของฉีเยียนเอ๋อร์แล้วพูดขึ้นว่า “คุณอยากจะดูจริงๆ หรือ?”
นึกไม่ถึงว่าหลินหยางจะพูดออกมาตรงๆ จึงทำให้เธอรู้สึกเหนียมอายขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่าตัวเองคิดอยากจะพูดว่าไม่ดูก็ตามแต่ในใจกลับรู้สึกร้อนแรงแปลกๆ จนในที่สุดแรงกดดันนั้นก็เอาความอายหายไปหมด เธอจึงพูดเบาๆ อย่างหน้าแดงขึ้นว่า “นายถอดสิ”
หลินหยางถอดกางเกงลงอย่างช่วยไม่ได้ ฉีเยียนเอ๋อร์หันกลับมามองอย่างตื่นเต้น ขณะนั้นเองก็เห็นสิ่งนั้นของหลินหยางอยู่ในสถานะพร้อมรบ ในใจของเธอก็เต้นโครมครามไม่หยุดไม่หย่อน
“ทำไมมันถึงใหญ่แบบนี้ล่ะ!” ฉีเยียนเอ๋อร์ถามด้วยเสียงแผ่วเบา
“อาจเป็นเพราะสุขภาพดีน่ะ” หลินหยางหัวเราะ ขณะที่เขากำลังจะเก็บมัน มือเล็กๆ ของฉีเยียนเอ๋อร์ก็ยื่นมาจับมันเอาไว้
พอรู้สึกได้ถึงมือเล็กๆ ที่นุ่มละมุนของฉีเยียนเอ๋อร์แล้วในใจของหลินหยางก็เต้นตุบตับขึ้นทันที ฉีเยียนเอ๋อร์หน้าแดงพลางเล่นมันอยู่ชั่วคราวเธอก็ชักมือกลับเหมือนจะไม่ค่อยเต็มใจเสียเท่าไหร่
หลินหยางสวมกางเกงกลับเรียบร้อย มองหน้าฉีเยียนเอ๋อร์ที่แดงเต็มแก้มนั้นเขาหัวเราะแล้วถามขึ้น “ดูจนพอใจหรือยัง?”
“จะบ้าเหรอ…นายจะถามเพื่ออะไรกัน!” ฉีเยียนเอ๋อร์พูดอย่างอารมณ์เสียหน่อยๆ
หลินหยางหัวเราะก่อนที่จะได้เวลาเขาจึงถอนเข็มออกทีละอัน
“หลินหยาง จริงหรือที่เขาว่ายิ่งใหญ่ยิ่งดี?” จู่ๆ ฉีเยียนเอ๋อร์ก็โพล่งถามขึ้นมา
หลินหยางรู้ได้ทันทีว่าเธอหมายความถึงอะไรจึงยิ้มบางๆ ตอบกลับไปว่า “ถูกต้องแล้วครับ หญิงสาวส่วนใหญ่ก็ชอบที่มันใหญ่ๆ หน่อยอยู่แล้ว”
ฉีเยียนเอ๋อร์หน้าแดงพลางมองไปที่ระหว่างขาของหลินหยางอีกครั้ง รูปร่างของมันนั้นทำให้คนใจไม่สงบเลยจริงๆ
หลังจากหลินหยางเก็บเข็มออกมาจนหมดแล้วเขาก็เอามือไปวางไว้ที่เท้าของฉีเยียนเอ๋อร์พลางยิ้มพูด “พลิกตัวสิครับเดี๋ยวผมจะนวดให้ เส้นเลือดในร่างกายจะได้ไหลเวียนได้ดีขึ้น”
ฟังดังนั้นฉีเยียนเอ๋อร์ก็พลิกตัวกลับ หลินหยางโคจรพลังบริสุทธิ์ในร่างกายตัวเองอีกครั้ง พลังชี่ไหลวนอยู่ที่ฝ่ามือของเขาพลางนวดฉีเยียนเอ๋อร์อย่างอ่อนโยน
ผิวที่อ่อนนุ่มของฉีเยียนเอ๋อร์นั้นยืดหยุ่นเป็นอย่างมาก จนใจหลินหยางเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ส่วนพลังที่ปล่อยออกมาจากตัวหลินหยางนั้นดึงดูดเหล่าหญิงสาวโดยธรรมชาติอยู่แล้ว การโคจรพลังบริสุทธิ์ของหลินหยางกับการสัมผัสฉีเยียนเอ๋อร์อย่างใกล้ชิดนั้นทำให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดไหลท่วมไปทั้งร่างกายของฉีเยียนเอ๋อร์
มืออันใหญ่โตของเขาค่อยๆ ไล่ตามขาขึ้นไปจนไม่นานก็ไปหยุดอยู่ที่สะโพกของเธอ มือทั้งสองข้างของเขาพลันคว้าเอาไว้ ฉีเยียนเอ๋อร์รู้สึกเหมือนถูกไฟช็อตจนสั่นเทิ้มไปทั่วร่างทันที เธอเม้มปากพยายามอดกลั้นการกระตุ้นปลุกเร้าที่ไหลเข้ามาในร่างกายอย่างเรื่อยๆ ในใจเธอก็เริ่มเต้นรำส่ำระส่ายไม่เป็นจังหวะมากขึ้น
“ทำไมนายนวดอยู่ตรงนั้นเสียนานเลย” ฉีเยียนเอ๋อร์ถามเสียงอ่อนระทวยพลางหายใจกระหืดกระหอบ
“เนื้อตรงส่วนนี้ค่อนข้างหนาน่ะครับ หากคิดจะกระตุ้นเส้นเลือดส่วนนี้แล้วล่ะก็ต้องใช้เวลาสักหน่อย” หลินหยางยิ้มพลางอธิบาย
“หลังจากนวดด้านหลังเสร็จนายจะนวดด้านหน้าด้วยหรือเปล่า?” ฉีเยียนเอ๋อร์ถามต่อ
“แน่นอนครับ”
ฉีเยียนเอ๋อร์นึกถึงมือของหลินหยางที่นวดอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานแล้วจึงถามขึ้นทั้งๆ ที่หน้าแดงว่า “ถ้าอย่างนั้นนายเองก็จะนวดตรงนี้…สักพักหนึ่งเหมือนกันใช่ไหม?”
“หากอิงตามทฤษฎีแล้ว…ก็ใช่ครับ” หลินหยางตอบอย่างเกรงใจหน่อยๆ
ฉีเยียนเอ๋อร์หน้าแดงจนแทบอยากจะแทรกหน้าลงแผ่นดินไปเลย แค่ตอนแรกคิดว่าถอดเสื้อผ้าขนาดนี้ก็น่าอายแค่ไหนแล้ว แล้วหมอนี่ยังจะมานวดหน้าอกให้ตัวเองอีก? ไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ
ความคิดของเธอสับสนปนเปไปหมด ถึงแม้ว่าความรู้สึกที่หลินหยางนวดให้จะรู้สึกสบายเป็นอย่างมากแต่กลับทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ไม่ง่ายเลยที่หลินหยางจะนวดด้านหลังจนเสร็จ จากนั้นเขาก็ให้เธอพลิกตัวกลับมาด้านหน้า แล้วร่างกายที่น่าดึงดูดพลันปรากฏต่อสายตาของเขาอีกครั้ง
มือของหลินหยางเองก็ไม่ได้หยุดนิ่งแต่อย่างใด ยังคงเริ่มนวดจากเท้าขึ้นไปเรื่อยๆ พลังชี่ที่ไหลเวียนอยู่รอบๆ มือของเขาแผ่ซ่านไปทั่วผิวหนังของเธอ จนมือของเขาก็เลื่อนมาหยุดที่ต้นขาของเธอ
ความรู้สึกแปลกๆ พุ่งผ่านเข้ามา ขาทั้งคู่ของฉีเยียนเอ๋อร์นั้นเบียดเสียดไปมา
หลินหยางเองก็หายใจกระหืดกระหอบเช่นเดียวกัน แอบอุทานเบาๆ ว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ชายทั่วไปจะสามารถทำได้พลันพยามยามยับยั้งความร้อนรุ่มในร่างกายของตัวเองเอาไว้
ในที่สุดมือของหลินหยางก็นวดมาถึงก้อนเนื้ออ่อนนุ่มคู่นั้นจนได้
ฉีเยียนเอ๋อร์ส่งเสียงหอบเบาๆ มองดูใบหน้าเธอที่ทั้งสวยงามมีเสน่ห์ ไหนจะลูกแอปเปิ้ลที่สุกงอมคู่นั้น อีกทั้งมือทั้งสองข้างที่เธอเอาปิดหน้าไว้อยู่ ทำให้รู้สึกเหมือนหญิงสาวที่เขินอายที่จะออกเรือนครั้งแรกเลย
หลินหยางรับรู้ได้ถึงก้อนเนื้อที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์และกระเพื่อมไปมานั้นในใจเขาก็ยิ่งกระสับกระส่ายมากขึ้นไปอีก
สิ่งที่เปรียบเสมือนหยกงามๆ ก้อนหนึ่งในมือของเขาตอนนี้เปลี่ยนรูปร่างไปมาไม่มีที่สิ้นสุด ใบหน้าของฉีเยียนเอ๋อร์ตอนนี้แดงก่ำเป็นลูกตำลึง สายตาเธอมองมาที่หลินหยาง ปากเล็กๆ ของเธอขยับเปิดปิดอยู่ไปมา
หลินหยางเองก็ยังไม่หยุดมือพลางนวดหน้าอกคู่นั้นไปเรื่อยๆ ขาทั้งสองข้างของฉีเยียนเอ๋อร์พลันบิดไปมาเหมือนจะทนแบกรับความเจ็บปวดไว้ไม่ไหวอย่างไรอย่างนั้น
ในที่สุด ฉีเยียนเอ๋อร์ก็ถึงจุดสุดยอด เธอทนไม่ไหวจนส่งเสียงครางออกมา เธอเองรู้สึกเขินอายเป็นอย่างมากที่ตัวเองส่งเสียงที่น่าอายแบบนั้นออกมาจึงพยายามกัดฟันเอาไว้เพื่อไม่ให้เสียงตัวเองเล็ดรอดออกไป
“อยากจะร้องก็ร้องออกมาเลยเถอะ” หลินหยางพูดอย่างแผ่วเบา “สิ่งนี้เป็นการตอบสนองโดยธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร”
คำพูดของหลินหยางดั่งมนต์สะกด ทันใดนั้นฉีเยียนเอ๋อร์ก็เปิดปากออกพลางร้องเสียงขึ้นๆ ลงๆ ไม่หยุด เสน่ห์น่าดึงดูดของเธอแผ่ซ่านไปทั่วทั้งห้อง
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ในที่สุดหลินหยางก็หยุดมือลงพลางนั่งพักอยู่ที่ปลายเตียง ฉีเยียนเอ๋อร์ตอนนี้ยิ่งรู้สึกไม่บรรเทาลงเลย เธอนอนปวกเปียกอยู่บนเตียงพลางหายใจแรงทำให้เนินอกคู่นั้นกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง
“หลินหยาง นายน่าจะตายๆ ไปเสีย!” ฉีเยียนเอ๋อร์พูดอย่างกะปลกกะเปลี้ย
หลินหยางได้ยินก็เหมือนจะกระอักเลือด เขาพูดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ผมทำอะไรไม่ดีลงไปล่ะครับ ผมอุตส่าห์รักษาแต่กลับถูกด่าเสียอย่างนั้น ช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ เลยใช่ไหม?”
“ร่างกายฉันนายเองก็ได้เห็น จับก็ได้จับ ฉันเสียเปรียบเห็นๆ” ฉีเยียนเอ๋อร์ทำปากบุ้ยบึ้ง
หลินหยางหัวเราะพลางพูด “ทำไมหรือครับ? อยากที่จะเสพสุขกับผมอย่างนั้นหรือ? พอดีเลยที่ข้างกายผมขาดคนรับใช้พอดี ถ้าหากคุณคิดจะมาแล้วล่ะก็ลองเอาไปพิจารณาดูก็ได้นะครับ”
“ไปตายซะ!” ฉีเยียนเอ๋อร์มองหลินหยางอย่างไร้ค่า พร้อมยันกายขึ้นมามองหลินหยางที่นั่งอยู่ปลายเตียงตอนนี้ มือเล็กๆ ของเธอก็พุ่งไปจับเจ้าสิ่งนั้นของเขาเอาไว้
“นี่คุณลอบจู่โจมผมหรอ” หลินหยางอุทาน
“ใช่ที่ไหนล่ะ ฉันถูกนายฉวยโอกาสไปจนหมดแล้ว ฉันแค่จะเอากำไรกลับคืนบ้างจะเป็นไร?” ฉีเยียนเอ๋อร์หัวเราะในลำคอ
หลินหยางเองก็ไม่ได้ปฏิเสธเธอ หลังจากที่เธอคลำมันอยู่ประมาณห้านาทีหลินหยางก็แงะมือเธอออกแล้วพูดขึ้นว่า “พอแล้ว พอแล้ว ผมจะออกไปดูข้างนอกหน่อยว่าวัตถุดิบที่ผมสั่งมาถึงรึยัง”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็ไปเถอะ…แล้วตอนนี้ฉันใส่เสื้อผ้าได้รึยัง?” ฉีเยียนเอ๋อร์ถาม
“ได้แล้วครับ” สายตาของหลินหยางมองไปที่กางเกงชั้นในของฉีเยียนเอ๋อร์พลางฉายแววสับสนอยู่หน่อยๆ
พอฉีเยียนเอ๋อร์รู้ว่าหลินหยางมองตนก็หน้าแดงแล้วก็ทนไม่ได้ที่จะตะโกนออกไป “มองอะไรอีก? นายยังไม่พอใจอีกหรือ?”
“ช่างมันเถอะครับ ถ้าอย่างนั้นคุณถอดกางเกงชั้นในนั้นทิ้งเถอะ พอดีป้าจางซื้อกางเกงชั้นในมาให้จางเยว่หลายตัว เดี๋ยวผมเอาตัวใหม่มาให้” หลินหยางพูดจบก็เดินออก
พอคุณลุงเห็นหลินหยางเดินออกมาก็พุ่งเข้ามาถามด้วยความร้อนรนใจ “เป็นอย่างไรบ้างหมอหลิน?”
“ยังถือว่าราบรื่นดีครับ แล้ววัตถุดิบยาที่ผมบอกเตรียมไว้รึยังครับ?” มองดูเวลา เวลาก็ผ่านไปสองชั่วโมงแล้ว
“เรียบร้อยแล้ว เพิ่งจะเอามาส่งได้ไม่กี่นาทีนี้เอง” หานเทียนอวิ๋นยกกระเป๋าเข้ามาสองใบ หลินหยางลองเปิดออกก็พบวัตถุดิบยาของตัวเองเรียงรายอยู่ด้านใน แต่ปริมาณออกจะมากเกินกว่าที่ตัวเองต้องการไปจนดูเหมือนว่าเกินพอเลยด้วยซ้ำ
หลังจากหยิบเครื่องมือมาแล้วหลินหยางก็เริ่มเอามือชั่งตัวยาสมุนไพรพวกนั้นโดยที่ไม่ใช้เครื่องชั่งแต่อย่างใด แล้วเขาก็เริ่มบดมันเข้าด้วยกัน
วัตถุดิบแต่ละชนิดถูกหลินหยางบดเข้าด้วยกันจนกลายเป็นผงแล้วแยกเอาไว้อย่างดี การกระทำของเขาตอนนี้เป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยอยู่แล้ว
ถึงจะไม่ได้ลงมืออะไรมากแต่กลับทำให้ในใจของหานเทียนอวิ๋นตอนนี้รู้สึกเหมือนคลื่นใหญ่ถาโถมเข้ามาอย่างจัง เขามองหลินหยางอย่างไม่ละสายตาพลางจะถามสิ่งที่สงสัยในใจแต่เขาก็อดกลั้นไว้ได้
หลังจากรอหลินหยางบดตัวยาทั้งหมดเป็นผงเรียบร้อยแล้ว หานเทียนอวิ๋นก็ถามขึ้นอย่างร้อนใจว่า “น้องชายเจ้าสามารถวัดน้ำหนักของยาได้โดยแค่จับมันอย่างนั้นหรือ?”
หลินหยางได้ยินก็รู้สึกได้ว่าตัวเองเปิดเผยฝีมือที่น่าประหลาดใจออกไป ถึงแม้ว่าในการแพทย์จีนนั้นจะมีบางคนที่สามารถวัดยาได้ด้วยมือเปล่าได้ด้วยไม่ต้องชั่งน้ำหนัก แต่ว่าคนพวกนี้ไม่ใช่แค่เป็นหมอมานาน แต่เป็นคนที่มีพรสวรรค์โดยกำเนิดหรือรู้จักสมุนไพรชนิดต่างๆ เป็นอย่างดี
ส่วนหลินหยางที่อายุเพิ่งจจะยี่สิบนั้นสามารถทำขนาดนี้ได้จึงทำให้ทุกคนรู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ
“ผมได้เรียนรู้มันตั้งแต่เด็กๆ จึงค่อยๆ เรียนรู้มันมาช้าๆ ตั้งแต่นั้นครับ” หลินหยางยิ้มตอบ
หานเทียนอวิ๋นที่มองหลินหยางในขณะนั้นแทบเหมือนจะหมดสติไป ในใจของเขารู้สึกได้ถึงความไม่ปรกติ เจ้าหลินหยางคนนี้ช่างเหมือนกับสัตว์ประหลาดที่ปรากฏรูปร่างออกมาในวัยเด็กหนุ่มแล้วออกตามรักษาผู้คนเลย
“หลินหยาง แล้วเยียนเอ๋อร์ล่ะเป็นอย่างไรบ้าง?” คุณลุงฉีที่ยืนอยู่ข้างๆ ถามขึ้น
“ยังอยู่ในห้องครับ อ่า ใช่แล้ว ป้าจาง กางเกงชั้นในที่ป้าซื้อมารบกวนเอาไปให้คุณฉีทีนะครับ” หลินหยางบอกจางฟาง
พอจางฟางได้ยินก็ส่งสายตามองหลินหยางอย่างแคลงใจ เกือบเชื่อได้ว่าหลินหยางได้ฉวยโอกาสไปไม่น้อย หลินหยางที่ถูกจางฟางมองทะลุความคิดอยู่ตอนนี้ก็หน้าร้อนฉ่าเหมือนจะเป็นไข้ขึ้นมา
หลังจากรอให้จางฟางเข้าไปในห้องแล้วหลินหยางก็พูดขึ้นว่า “การฝังเข็มผ่านไปได้ด้วยดีครับ ตอนนี้ผมจะเตรียมยาเหลวให้เธอเพื่อช่วยบำรุงอวัยวะภายในของเธอให้ฟื้นฟูกลับมา ถ้าหากว่าขั้นแรกผ่านไปได้ราบรื่นล่ะก็การรักษาครั้งต่อไปก็จะง่ายขึ้นเยอะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณหมอหลินเป็นอย่างมากแล้ว หากขั้นแรกราบรื่นแล้วล่ะก็อย่างน้อยขั้นต่ำสามารถรักษาได้ถึงขั้นไหนอย่างนั้นหรือ?” ฉีหวนถามอย่างระมัดระวัง
“หากขั้นแรกสำเร็จล่ะก็ ก็สามารถยืดชีวิตต่อไปได้อีกถึงสิบปีเลยล่ะครับ” หลินหยางคำนวณแล้วพูดออกมา
ฉีหวนฟังดังนั้นก็ลิงโลดขึ้นมาพลางถูมือทั้งสองข้างอย่างตื่นเต้นแล้วก็นั่งดูหลินหยางบดยาอยู่ข้างๆ
หลังจากนั้นเขาก็ไปหยิบถ่านมาก้อนสองก้อนมาจุดไว้ วางหม้อใบเล็กๆ ไว้บนนั้น หลังจากรอให้มันร้อนหลิน หยางก็หยิบเอากาน้ำชามาแล้วเทน้ำร้อนเข้าไป สิ่งที่เทไปนั้นคือน้ำร้อนอยู่แล้วจึงทำให้น้ำที่ต้มอยู่เดือดปุดๆ ด้วยความรวดเร็ว
พอเห็นน้ำที่ต้มสุกได้อย่างรวดเร็วหลินหยางก็ไม่ได้หยุดมือ เขาโยนโสมป่าหนึ่งชิ้นเข้าหม้อไป ต่อจากนั้นก็ โกจิเบอร์รี่, ผงไข่มุก, ต้นเสาเย่า, เห็ดหลินจือ, ตะพาบน้ำตามลำดับที่สำคัญ
หลังจากที่ฉีเยียนเอ๋อร์กับจางฟางออกมาจากห้องบูรพาทุกคนก็รีบพากันไปดูอาการของเธอทันที
“เยียนเอ๋อร์ หลานรู้สึกอย่างไรบ้าง?” ฉีหวนถามขึ้น
“รู้สึกดีกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยค่ะ แถมยังรู้สึกสบายตัวอีกตัว แต่ตอนนี้หนูหิวเหลือเกิน…” ฉีเยียนเอ๋อร์พูดพลางคิดไปถึงตอนที่เธอถูกหลินหยางรักษาแบบเร้าอารมณ์นั้นทำให้เธอหน้าแดงขึ้นมาแถมยังรู้สึกปั่นป่วนสับสนวุ่นวายอย่างบอกไม่ถูก
“หิวแล้วหรือ? ไม่ใช่ว่าเพิ่งกินไปไม่นานอย่างนั้นหรือ? หรือว่าก่อนหน้านั้นจะกินข้าวได้ไม่เต็มที่กัน” หานเทียนอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้น
“พวกเราทุกคนเพิ่งจะกินข้าวได้ประมาณสามชั่วโมงเอง นึกไม่ถึงว่าฉีเยียนเอ๋อร์จะหิวอีกแล้ว”
“อาจจะเป็นเพราะที่ผมฝังเข็มก่อนหน้านั้นร่างกายและอวัยวะภายในของเธอฟื้นฟูกลับมานิดหน่อยแล้วน่ะครับ” หลินหยางอธิบาย
หลินหยางเติมถ่านไปเรื่อยๆ ความรู้สึกร้อนระอุพวยพุ่งออกมาจากหม้อเล็กๆ ใบนั้น แต่หลินหยางรู้สึกเหมือนไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่แล้วเขาก็เริ่มเติมวัตถุดิบลงหม้อเข้าไปอีก