ตอนที่ 70 กลิ่นหอมของสมุนไพร
หลังจากคนไปประมาณสิบกว่านาทีกลิ่นหอมๆ ก็เริ่มพวยพุ่งออกมาจากหม้อแผ่กระจายจนล้นไปทั่วทั้งห้อง
ทุกคนที่ได้กลิ่นก็พลันน้ำลายไหลทันที
“หอมมาก หลินหยางนี่นายต้มยาหรือว่าทำอาหารกันแน่เนี่ย” เซี่ยหลินหลินที่นั่งอยู่ข้างๆ ถามขึ้น
“ต้มยาแน่นอนสิครับ แถมสามารถทำเป็นอาหารกินได้ด้วยนะครับ”
“ทุกคนถือคติว่าหวานเป็นลมขมเป็นยา แต่ยาของนายนี่มันหอมจริงๆ แบบนี้ต่อให้ภายหลังนายจะไปเป็นพ่อครัวแทนหมอล่ะก็ คงร่ำรวยไม่แพ้กัน” เซี่ยหลินหลินหัวเราะ
“ยามีทั้งขมและหวาน หากสามารถทำให้มันมีรสหวานหอมได้ มีคนไข้ที่ไหนจะไม่กินบ้างล่ะครับ” หลินหยางพูดพลางเอายาอีกสองชนิดโยนลงไปในหม้อแล้วปิดฝา
แต่ถึงแม้จะปิดฝาไว้แล้วแต่ก็ไม่สามารถกั้นกลิ่นหอมที่โชยออกมาได้ ทุกคนที่ได้กลิ่นต่างก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาทันที
“เมื่อสักครู่ยังพูดเล่นกับเยียนเอ๋อร์อยู่เลย สงสัยว่าตอนนี้พวกข้าเองก็เริ่มหิวเช่นกัน” หานเทียนอวิ๋นพูด
“ข้าเองก็หิวแล้ว” ฉีหวนยิ้มพลางพูด “เสี่ยวหยาง ถ้าเจ้าทำอาหารข้าว่าก็น่าจะหอมน่าดู”
“หลินหยางทำอาหารอร่อยจริงๆ แถมยังเคยไปแข่งขันทำอาหารในเมืองมาแล้วด้วยค่ะ” พลางคิดไปถึงปลาที่หลินหยางทำให้ตอนนั้นว่าตัวเองยังกินไม่หนำใจเลย
“โอ้…เสี่ยวหยางช่างเป็นผู้ชายที่น่าเอาเยี่ยงอย่างจริงๆ นะจ้ะ” จางฟางที่อยู่ข้างๆ ยิ้มพูดขึ้น
“พอเถอะครับ ทุกคนอย่ายกย่องผมนักเลย” หลินหยางพูดพลางยิ้มแหยๆ
ทุกคนต่างคึกคักเป็นพิเศษ หลินหยางเริ่มพัดถ่านให้ไฟติดได้เร็วขึ้น เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ จนรู้สึกว่าอุณหภูมิในหม้อลดลงแล้วหลินหยางก็เปิดฝาขึ้น ทันใดนั้นกลิ่นที่ทั้งหอมและเข้มข้นก็พวยพุ่งขึ้นมาจากหม้อส่งกลิ่นหอมไปทั่ว
ทุกคนที่ได้กลิ่นก็ต่างน้ำลายไหล ทุกคนมองดูสิ่งที่หลินหยางโยนลงไปก่อนหน้านี้ตอนนี้กลายเป็นน้ำเหลวๆ ไปหมดแล้ว น้ำร้อนที่ใส่ไว้ก่อนหน้านั้นก็ระเหยไปเกือบหมดแล้ว
เขาบรรจงตักยาเหล่านั้นออกมาใส่ชามแล้วยื่นไปฉีเยียนเอ๋อร์แล้วพูดว่า “รีบๆ กินสิ นี่จะช่วยให้ร่ายกายคุณดีขึ้น”
เนื่องจากเธอโดนหลินหยางฝังเข็มมาก่อนหน้านั้นจึงทำให้เธอรู้สึกประหม่าแปลกๆ เธอรับยาชามนั้นมาแล้วกินมันลงไปอย่างรวดเร็ว
ยาตัวนี้ทั้งกลิ่นเข้มข้นที่ปล่อยออกมาทำให้น้ำลายไหลเป็นทางแล้ว พอได้กินเข้าไปรสชาติเองก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ผ่านไปครู่เดียวฉีเยียนเอ๋อร์ก็กินยาชามนั้นจนหมด
“เยียนเอ๋อร์ รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง?” หานเทียนอวิ๋นยิ้มถาม
“ทั้งหอมทั้งหวานค่ะ อีกทั้งหนูเองก็บอกไม่ได้ว่ามันเป็นรสชาติอย่างไรกันแน่ แต่ถึงแม้จะกินไปแล้วหนึ่งชามก็ดูเหมือนว่าหนูจะกินได้อีกหน่อยค่ะ” ฉีเยียนเอ๋อร์พูดอย่างเกรงใจ
“ยาในชามนั้นของคุณประกอบไปด้วยยาบำรุงกำลังมากมาย ถ้าเป็นคนธรรมดารับการรักษาแบบนี้ไม่ไหวหรอก คุณเองผ่านการเตรียมขั้นแรกมาแล้วจึงมีคุณสมบัติที่จะรับยาบำรุงแบบนี้ได้ ถ้าหากกินเข้าไปอีกเกรงว่าคุณจะเลือดกำเดาไหลเอาน่ะสิ” หลินหยางพูดไปหัวเราะไป
“หลินหยาง แบบนี้ดีแล้วใช่ไหม?” ฉีหวนถามอย่างตื่นเต้น
“นี่เป็นเพียงขั้นแรกของการรักษาเท่านั้นครับ ต้องลองดูไปก่อนว่าอวัยวะภายในของเธอจะฟื้นคืนมาได้ถึงระดับไหน หากการฟื้นฟูเป็นไปด้วยดีล่ะก็สามารถเริ่มการบรรเทาพิษได้ หลังจากนั้นถึงจะเป็นการฟื้นฟูจริงๆ ครับ”
“แล้วถ้าเกิดอวัยวะภายในไม่ฟื้นฟูล่ะ เจ้าจะทำอย่างไร?” ฉีหวนเริ่มถามอย่างร้อนรน
“ผมก็คงต้องฝังเข็มเพิ่ม หรือทำไปจนกว่าอวัยวะภายในจะฟื้นฟูได้ครับ” หลินหยางพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“แล้วขั้นตอนต่อไปเธอจะรักษาอย่างไรกันล่ะ?” ฉีหวนเริ่มถามเกี่ยวกับอาการของหลานสาวอย่างจริงจัง
“วันนี้คงเอาประมาณนี้ก่อนครับ หนึ่งสัปดาห์ให้หลังผมจะตรวจให้อีกรอบหนึ่ง หากทุกอย่างเรียบร้อยผมก็จะเริ่มการรักษาขั้นต่อไปเลย และถ้าหากทั้งหมดเป็นไปอย่างราบรื่นแล้วคาดว่าหนึ่งเดือนก็น่าจะฟื้นฟูขั้นแรกได้สำเร็จครับ หลักจากนั้นก็ค่อยๆ ดูแลพักผ่อนดีดีก็ได้แล้วครับ” หลินหยางอธิบายระยะเวลาที่ต้องใช้อย่างละเอียด
“ดีเหลือเกิน ถ้าอย่างนั้นคงต้องรบกวนหมอหลินแล้วล่ะ” ฉีหวนถูมือไปมาอย่างตื่นเต้น พร้อมทั้งสายตาที่มองหลินหยางอย่างดีอกดีใจ ก่อนหน้านี้ตัวเขาเองกับหานเทียนอวิ๋นมาขอคำแนะนำเกี่ยวกับอาการเท่านั้นถึงแม้ว่าตอนที่เจอหลินหยางครั้งแรกจะไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่ มาวันนี้ได้มาเห็นฝีมือการแพทย์ของหลินหยางอย่างจัง จึงทำให้ความหวังของเขาทั้งหมดตอนนี้ฝากไว้กับหลินหยางหมดแล้ว
“ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยครับ การช่วยเหลือรักษาเป็นจรรยาบรรณของหมออยู่แล้วครับ ผู้เฒ่าฉีไม่ต้องเกรงใจ” หลินหยางพูดพลางโบกมือ
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้พวกข้ากลับได้เลยอย่างนั้นหรือ?” ฉีหวนถาม
“ครับ ครบหนึ่งอาทิตย์ค่อยมาหาผมอีกครั้ง ส่วนอันนี้เป็นใบสั่งยาที่ผมจะให้คุณฉีไปทานนะครับ ทานทุกวัน วันละหนึ่งครั้งครับ” หลินหยางหยิบกระดาษมาหนึ่งแผ่นพลางเขียนส่วนประกอบของยาทั้งหมดส่งให้ฉีหวน
ฉีหวนรับมาอย่างระมัดระวังพลางพูดขึ้น “หมอหลิน บอกเลขที่บัญชีมาเถอะ อย่างไรคนแก่คนนี้ต้องหาทางตอบแทนให้ได้”
รับเงินเขามาต้องไปเป็นธุระให้เขาด้วย เหตุผลนี้หลินหยางคัดค้านไม่ได้ จึงได้บอกเลขบัญชีออกไปแต่เขาไม่ได้ถามฉีหวนว่าจะให้เงินเขาเป็นจำนวณเท่าไหร่ ฉีหวนผู้นี้เงินไม่เคยขาดมือ จำนวณเงินที่จะให้ครั้งนี้อย่างต่ำคงถึงล้านเป็นแน่
ฉีหวนมองดูหลินหยางที่ไม่ได้ปรารถนาเงินอย่างมากมายนั้นแววตาก็ฉายแววชื่นชมพร้อมทั้งคุยกับหลินหยางอีกสองสามประโยคก่อนจะขอตัวกลับไปด้วยกันกับหานเทียนอวิ๋น
“คุณเซี่ย คืนนี้พวกคุณไม่กลับกันหรือ?” หานเทียนอวิ๋นมองเซี่ยหลินหลินแล้วถามขึ้น
“พอดีดิฉันจะอยู่รอคุยกับหลินหยางเรื่องการร่วมมือด้านธุรกิจก่อนน่ะค่ะ พรุ่งนี้ค่อยกลับก็ยังไม่สาย” เซี่ยหลินหลินยิ้มตอบ
“ถ้าอย่างนั้นพวกฉันกลับก่อนล่ะนะ หมอหลิน หลังจากหนึ่งอาทิตย์ลุงคนนี้จะมารบกวนอีกนะ” ฉีหวนพูดกับหลินหยาง
“ยินดีต้อนรับเสมอครับ ก่อนเดือนเก้าส่วนใหญ่ผมจะอยู่ที่บ้านตลอดครับ” หลินหยางส่งเสียงดังออกไป
ฉีหวนโบกมือลาหลินหยาง จากนั้นคนขับรถก็พาครอบครัวฉีกับหานเทียนอวิ๋นขึ้นรถแล้วขับออกไป
หลังจากที่รถออกไปได้ไม่นานหลินหยางก็เห็นลั่วหยิ่งกับหู่จือวิ่งมาแต่ไกล หลังจากที่รอทั้งสองคนเข้ามาใกล้เขาก็รีบทักทายให้เข้ามาข้างใน
“พี่เสี่ยวหยาง ครั้งนี้มีหู่จือคอยช่วยจึงทำให้ข้าเก็บต้นหญ้ากรดน้ำมาได้เยอะแยะเลย!” แววตาลั่วหยิ่งเต็มไปด้วยความพอใจพูดพลางมองหลินหยาง
“โอ้…มากมายก่ายกองเลยนะเนี่ย เหนื่อยหน่อยนะ ไป รีบๆ เข้าไปกินน้ำในบ้านกันเถอะ” หลังจากที่เขารินน้ำใส่แก้วให้ทั้งสองคนก็รีบดื่มลงไปอย่างไม่รอช้า
“เด็กสาวคนนี้น่ารักจังเลย เป็นน้องสาวของนายหรือ?” เซี่ยหลินหลินถามขึ้นพลางมองใบหน้าอันงดงามของลั่วหยิ่ง
“เธอเป็นลูกพี่ลูกน้องของผมน่ะ นี่คือลั่วหยิ่ง นี่คือหู่จือ นี่คือพี่หลินหลิน นี่คือป้าอี๋ ส่วนคนนี้คือพี่เยว่” หลินหยางแนะนำตัวทีละคน
ลั่วหยิ่งกับหู่จือปากหวานเป็นอย่างมาก พลางเรียกชื่อทีละคนไปพร้อมกันกับเขา
มองดูท้องฟ้าเริ่มมืดลง ตอนนี้เวลาปาเข้าไปห้าโมงกว่าแล้วใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นพอดี หลินหยางจึงดึงหู่จือไปข้างๆ พลางหยิบเงินขึ้นมาหนึ่งร้อยหยวนแล้วพูดขึ้น “หู่จือ เจ้าช่วยไปเอาไก่ที่บ้านเจ้ามาสักตัวสิ”
“พี่ให้เงินพี่สาวผมมากขนาดนั้น กับแค่ไก่ตัวเดียวผมไม่กล้ารับเงินพี่หรอกครับ” หู่จือรีบบอกปัด “เดี๋ยวผมจะไปจับมันมาให้เลยครับ”
“เจ้าเด็กนี่พูดอะไรกันน่ะ สมุนไพรที่เจ้าเก็บมาน่ะราคาแพงนะพี่ก็ต้องให้ของตอบแทนเจ้าสิ อีกอย่างมีที่ไหนที่คนซื้อของแล้วจะไม่ให้เงินล่ะ หากเจ้าไม่ยอมรับเงินไป พี่ก็ไม่เอาแล้วแบบนั้น” หลินหยางพูด
หู่จือยังเป็นเพียงเด็กไร้เดียงสา เมื่อได้ยินหลินหยางพูดแบบนั้นจึงทำได้เพียงรับเงินนั้นมา
“รอเดี๋ยวก่อน” หลินหยางที่เห็นหู่จือกำลังจะไปจึงเรียกหยุดไว้ก่อนพลางส่งเงินสิบหยวนอีกสองใบให้พลางพูด “จะรีบไปทำไมกัน วันนี้เจ้ายุ่งมาทั้งวันแล้ว ที่พี่ให้นี่เป็นเงินสำหรับที่เจ้าเก็บสมุนไพรมาให้พี่นะ”
“เงินนี้ข้าไม่ต้องการหรอก” หู่จือพูดเสียงเล็ก
“เจ้ารับไปเถอะไม่ต้องกังวล พี่ไม่พูดกับพี่สาวเจ้าแน่นอน รีบไปเถอะ” หลินหยางพูดพลางตบไปที่ท้ายทอยของหู่จือเบาๆ
เงินติดตัวของเด็กตามชนบทธรรมดาก็แค่หนึ่งสองเหมาเท่านั้น บางคนก็ไม่มีแม้แต่นิดเดียว คิดจะซื้ออะไรก็ต้องใช้ตังเยอะทั้งนั้น ทุกคนจึงขัดสนเรื่องเงินเป็นอย่างมาก ในใจของหู่จือที่ยังเด็กก็มีความคิดที่อยากจะได้โดยธรรมชาติอยู่แล้ว พอได้รับเงินยี่สิบหยวนนั้นมาจึงดีใจเป็นอย่างมาก “ผมไม่ได้ต้องการมากขนาดนั้น แค่สิบหยวนก็ถือว่าดีแล้วครับ”
พูดจบหู่จือก็รีบวิ่งออกไปเอาไก่ที่บ้านทันที
หลินหยางที่กำลังจะกลับเข้าบ้านก็เห็นลุงจางขี่รถสามล้อเข้ามาในหมู่บ้าน
“ลุงจาง มีเรื่องอะไรน่ายินดีอย่างนั้นหรือ เห็นดีใจเสียยกใหญ่เชียว” หลินหยางเห็นลุงจางยิ้มแก้มปริจึงถามออกไป
“ฮ่าฮ่า วันนี้ลุงโชคดีเหลือเกิน ลุงไปวางตาข่ายดักปลาที่แม่น้ำทางเหนือมา ปรกติข้าจับได้แต่ปลาธรรมดาตัวเท่าฝ่ามือ แต่วันนี้ข้าจับปลาตะเพียนได้แน่ะ เจ้าดูสิตัวละเกือบครึ่งกิโลเลยนา พรุ่งนี้ลุงจะเอาไปขายในเมือง ตัวนี้ต้องขายได้สามสิบหยวนเป็นแน่”
หลินหยางเองก็มองดูปลาตะเพียน ปลาตัวนั้นไม่ได้ถึงกับเล็กมาก บนตัวมีมันเหลืองๆ อยู่ด้วย ปลาตะเพียนส่วนใหญ่แล้วมักจะเติบโตช้า การจะจับปลาน้ำหนักขนาดนี้มาได้ถือว่าไม่ง่ายเลย
“ลุงจาง ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ขายให้ผมเถอะ ผมให้ลุงห้าสิบหยวนเลย” หลินหยางพูด
“จะบ้าเหรอ ลุงจะไปเอาเงินของเจ้าได้อย่างไรกัน เมื่อปีกลายข้าไปหาปู่เจ้าให้ช่วยรักษากระดูกสันหลังลุงให้หายดี แล้วจะมาเอาเงินเจ้าห้าสิบหยวนแบบนี้หากต่อไปเรื่องเข้าไปถึงในเมืองแล้วได้ยินว่ารักษาโรคนี้แค่ไม่กี่ร้อยหยวนเองแล้วแบบนี้ลุงจะกล้ารับเงินเจ้าได้อย่างไร” ลุงจางหยิบปลาขึ้นมาแล้วยื่นส่งให้หลินหยางไป
หลินหยางได้ยินก็ใจชื้นขึ้นพลัน ปรกติแล้วคนในหมู่บ้านมักจะปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดี เหตุผลส่วนใหญ่มาจากปู่ที่ดีของเขา
หลินหยางหยิบเงินห้าสิบหยวนออกมาจากกระเป๋าพลางยัดเข้าไปในกระเป๋าของลุงจาง แล้วรีบพูดก่อนที่ลุงจางจะโกรธ “ลุงจางเก็บเงินนี้ไว้เถอะ ปลาตัวนี้ไม่ใช่ผมเป็นคนกินหรอก ผมจะเอาไว้ให้แขกผมกินกันน่ะ หากผมไปพูดว่าผมซื้อปลาตัวนี้มาในราคาห้าสิบหยวนแล้วล่ะก็พวกเขาต้องกุลีกุจอคืนเงินกลับมาให้ผมแน่ เพราะฉะนั้นปลาตัวนี้ผมจึงซื้อให้พวกเขาอย่างไรละครับ”
ลุงจางได้ฟังก็รู้สึกว่ามีเหตุผลดี แต่เขาก็ยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งจึงถามออกไป “พวกเขาจะให้เงินเจ้าจริงๆ หรือ?”
“ลุงวางใจเถอะครับ พวกเขามาให้ผมรักษา เดิมทีพวกเขาก็เป็นคนขอร้องผมด้วยซ้ำ ถ้าหากยังให้คนที่ขอร้องมาซื้อปลาให้อีกพวกเขาคงไม่สบายใจเป็นแน่ครับ” หลินหยางพูดเพื่อให้ลุงสงบลง
พอได้ยินลุงจางก็วางใจ จึงเชื่อในเหตุผลแล้วรับเงินมาพลางขี่รถสามล้อออกไปตามเดิม
หลินหยางถือปลาตัวนี้เอาไปใส่ลงในหม้อ จากนั้นก็ล้างจนสะอาด แล้วก็หยิบต้นหญ้ากรดน้ำมาแช่ไว้ในถังแล้วจึงเดินเข้าห้องไป
“เสี่ยวหยาง มื้อเย็นพวกเราจะกินอะไรกันดี?” เซี่ยหลินหลินยิ้มถาม
“ไก่หนึ่งตัว ปลาหนึ่งตัว เป็นอย่างไรบ้างครับ?” หลินหยางยิ้มถามกลับไปเช่นกัน
“หากนายจะลงมือเองฉันก็ไม่มีความเห็นใดๆ” เซี่ยหลินหลินพูด พลางยักคิ้วมองหลินหยาง
“ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นพวกคุณรอสักครู่นะครับ ผมจะไปเตรียมอาหารมาให้” พอพูดจบหลินหยางก็เดินไปทางลานบ้านพลางหยิบปลาตัวนั้นขึ้นมาเริ่มจัดการ
หลังจากที่หลินหยางต้มปลาอยู่ได้ไม่นาน หู่จือก็โผล่มาพอดี
“หู่จือ ทำไมตั้งนานถึงเพิ่งมากัน? จับไม่ได้อย่างนั้นหรือ?” หลินหยางยิ้มถาม
“จับได้ครับ แต่แม่ของผมเขาช่วยถอนขนมันให้ด้วย” แล้วหู่จือก็ยื่นไก่ตัวนั้นส่งมาให้เขา เขามองดูปรากฏว่าไก่ตัวนี้ถูกจัดการทำความสะอาดมาเรียบร้อยแล้ว ด้านบนๆ ยังร้อนๆ อยู่เลย
“ต้องขอบคุณเจ้ามากๆ เลย ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อยู่กินข้าวที่นี่ก่อนสิ” หลินหยางยิ้ม
“ไม่ล่ะๆ แม่ขอผมทำอาหารไว้แล้ว” หู่จือพูดพลางวิ่งเข้าไปตะโกนในห้องว่า “พี่ พี่จะกลับเมื่อไหร่?”
“คงอีกสักพักหนึ่ง เจ้ากลับไปก่อนได้เลย” เสียงของลั่วหยิ่งดังมาจากในห้องโถง
หู่จือเองก็ไม่รอนานพลางพูดลากับหลินหยางแล้วก็รีบวิ่งกลับบ้านฝุ่นตลบไปเลย
“เสี่ยวหยิ่ง เหนื่อยไหม อยู่ทานข้าวก่อน แล้วเดี๋ยวพี่ช่วยเจ้านวดแล้วเจ้าค่อยกลับนะ” หลินหยางที่กำลังเดินเข้าไปหยิบยาในห้องก็เห็นลั่วหยิ่งกับเซี่ยหลินหลินคุยกันอยู่
“ค่ะ” ลั่วหยิ่งได้ฟังก็หน้าแดง แม้ว่าฉากที่หลินหยางนวดนั้นจะทำให้คนหน้าแดงกันไปตามๆ กัน แต่ในใจของเธอนั้นก็ไม่ได้รังเกียจอะไรมาก แถมตอนที่หลินหยางนวดให้เธอนั้นเธอก็รู้สึกมีความสุขอย่างมากเลยทีเดียวล่ะ