ตอนที่ 68 การรักษาของฉีเยียนเอ๋อร์
มองดูฉีเยียนเอ๋อร์ที่เปรียบดั่งนางฟ้านางสวรรค์คล้ายออกมาจากภาพวาดแล้วนั้นหลินหยางก็กวักมือเรียกฉีหวนมาพูดด้วยว่า “คุณลุงฉี ผมขอพูดอะไรด้วยหน่อยสิครับ”
“มีอะไรหรือหมอหลิน?” ฉีหวนรีบถาม
“ขณะรับการรักษาผมเกรงว่าจะไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่เพราะผมต้องฝั่งเข็มไปทั่วทั้งร่างกายของคุณฉี ดังนั้นขณะที่ผมรักษาอยู่นั้นเสื้อผ้าของคุณฉีทั้งหมดต้อง……….” ถึงเขาจะพูดไม่จบแต่อีกฝ่ายก็เข้าใจความหมายได้ทันที
ฉีหวนฟังดังนั้นก็ตะลึงไปแสดงสีหน้าแปลกๆ ไปครู่หนึ่ง แต่ก็ถอนหายใจแล้วกลับมาพูดว่า “เรื่องนี้ไม่มีปัญหา เดี๋ยวลุงไปพูดกับเยียนเอ๋อร์ให้ละกัน”
ผ่านไปไม่นานฉีหวนก็นำเอาข้อความของหลินหยางไปบอกต่อฉีเยียนเอ๋อร์ เธอนั่งลังเลอยู่บนม้านั่งสักครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะหน้าแดงระเรื่อแล้วพูดกับหลินหยางว่า “ถ้าอย่างนั้นนายก็รักษาให้ฉันเถอะ”
“ได้ครับ เชิญ” หลินหยางพูดพลางนำทางไปที่ห้องบูรพา
หลังจากรอฉีเยียนเอ๋อร์เข้าไปแล้วหลินหยางก็พยักหน้าให้กับทุกคนพลางเดินตามฉีเยียนเอ๋อร์เข้าไป ทุกๆ คนที่จะเดินตามเข้าไปถูกฉีหวนหยุดไว้แล้วให้นั่งรออยู่ที่โถงใหญ่
“เซี่ยหลินหลิน เธอไปรู้จักหลินหยางได้อย่างไรกัน?” ฉีหวนที่นั่งอยู่เฉยๆ ก็เปิดบทสนทนาขึ้น
“ที่จริงต้องขอบคุณป้าจางด้วยซ้ำ ตอนนั้นขณะที่ฉันกำลังไปร้านสารพัดโอสถจะไปรับยาของผู้เฒ่าหาน เกิดเป็นไส้ติ่งโดยบังเอิญพอดี ตอนนั้นหลินหยางเข้ามาเห็นก็ช่วยระงับอาการให้ พูดได้ว่าตอนนั้นการแพทย์จีนยังไม่มีความสามารถที่จะรักษาเท่าไหร่ หลังจากนั้นป้าจางก็เลยได้ถามต่อเรื่องการรักษาผิวหนังของฉัน…”
ผู้คนที่อยู่ในห้องต่างพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องของหลินหยางขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะรู้จักหลินหยางไม่มาก แต่ทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหลินหยางช่างเป็นคนที่มหัศจรรย์เสียจริง
หลังจากที่ห้องบูรพาปิดลงมีเพียงหลินหยางกับฉีเยียนเอ๋อร์ที่อยู่ในห้องสองต่อสอง ทำให้บรรยากาศรู้สึกแตกต่างขึ้นมาเล็กน้อย
แก้มฉีเยียนเอ๋อร์แดงเป็นลูกตำลึงคล้ายแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางมาบางๆ ดูแล้วช่างสวยงามเหลือเกิน จากนั้นเธอก็ถามขึ้นเสียงแผ่วว่า” ต้องถอดชุดออกทั้งหมดเลยอย่างนั้นหรือ?”
“เสื้อชั้นในต้องถอดด้วย แต่…กางเกงชั้นในนั้นไม่ต้องถอดก็ได้ครับ” หลินหยางยิ้ม
ฉีเยียนเอ๋อร์ได้ยินก็ถอนหายใจเบาๆ หากไม่เหลือเสื้อผ้าไว้สักชิ้นเลยล่ะก็คงทำหน้าไม่ถูกเป็นแน่ จากนั้นเธอจึงเริ่มถอดเสื้อผ้าของเธอออก
ชุดสีน้ำตาลอ่อนของฉีเยียนเอ๋อร์นั้น เธอค่อยๆ บรรจงรูดซิปจากด้านข้างพลันความเขินในใจก็เพิ่มมากขึ้นจนถึงหน้าแดงไปทั่วทั้งหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “นายช่วยฉันปลดหน่อยสิ”
“ได้ครับ” หลินหยางเดินไปช่วยปลดซิปของเธออย่างช่วยไม่ได้
พอมองดูฉีเยียนเอ๋อร์ในระยะนี้แล้วในใจหลินหยางก็เริ่มรู้สึกว่าเธอเริ่มจะสวยขึ้นมา บริสุทธิ์ผุดผ่องดั่งเทพธิดาในภาพวาด ผิวที่เนียนขาวดั่งกลีบกุหลาบเองก็ปรากฏสีอมชมพูระเรื่อ ยิ่งทำให้ใจของเขาสั่น
พลันกลิ่นหอมบนตัวของฉีเยียนเอ๋อร์ก็ไหลเข้าจมูกทำให้หลินหยางสะดุ้งเล็กน้อย เขาจึงพยายามสูดหายใจลึกๆ เพื่อสงบจิตสงบใจ หลินหยางใช้มือรูปซิปทั้งสองข้างออกพร้อมทั้งใช้แขนทั้งสองดึงชายประโปรงของเธอถอดออก
ร่างกายที่อ้อนแอ้นอรชรของฉีเยียนเอ๋อร์พลันปรากฏอยู่ต่อหน้าของหลินหยางทันใด
เรียวขาที่สวยงามทั้งสองข้าง ผิวที่ขาวเรียบเนียนดุจดั่งหิมะเป็นที่น่าดึงดูด กางเกงชั้นในลายลูกไม้สีดำตัวนั้นยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนกับมีพลังบางอย่างที่คอยเย้ายวนตลอดเวลา ไหนจะเนินอกคู่นั้นที่สั่นไหวไปมาภายใต้เสื้อชั้นในคล้ายจะปะทุออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ ในใจของหลินหยางพลันรุ่มร้อนขึ้นมาทันทีเมื่อได้ประสบกับร่างกายที่เย้ายวนเช่นนี้
พอรับรู้ได้ว่าสายตาอันร้อนแรงของหลินหยางจับจ้องอยู่ที่ตัวเองแก้มของเธอก็พลันแดงสุก ถึงแม้ว่าจะไม่พอใจที่หลินหยางจ้องตนอยู่แบบนั้นแต่ก็รู้สึกเกรงใจที่จะพูดออกไป
“ต้องถอดเสื้อชั้นในตอนนี้เลยรึเปล่า?” ฉีเยียนเอ๋อร์ถามขึ้นด้วยเสียงเล็กๆ
“ครับ ใช่แล้ว” ใจของหลินหยางเริ่มเต้นระรัวขึ้นพลางจ้องไปที่เนินอกอันขาวเนียนของฉีเยียนเอ๋อร์
ฉีเยียนเอ๋อร์เอื้อมมือมาด้านหลังเพื่อปลดกระดุมออกพลันเนินอกคู่นั้นก็เปิดออก มันกระเพื่อมไปมาดั่งกระแสน้ำที่รุนแรงปั่นป่วน เนินอกที่ตั้งตระหง่านอยู่นั้นดั่งดวงจันทร์กลมเนียนที่ส่องประกายไปทั่ว เธอเหลือบมองหลินหยางที่กำลังหายใจกระหืดกระหอบอยู่ตรงหน้า
เขาพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบจิตสงบใจตัวเองอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “นอนลงบนเตียงได้เลยครับ”
ฉีเยียนเอ๋อร์ปีนขึ้นไปนอนบนเตียง ดวงตาหยาดเยิ้มคู่นั้นจ้องมาที่หลินหยาง มือทั้งสองข้างโอบเนินอกเธอเอาไว้หวังจะปิดไม่ให้เห็น แต่ท่าทางกึ่งปิดกึ่งเห็นแบบนี้ยิ่งเหมือนทำให้คนเกิดอารมณ์มากขึ้นไปอีก
เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้ตรวจสอบมาแล้วบ้าง จึงทำให้การตรวจครั้งนี้ใช้เวลาไม่มาก
หลังจากที่เขายืนยันได้แล้วว่าการตรวจครั้งที่แล้วไม่มีปัญหาใดๆ หลินหยางก็เปิดกระเป๋ายาขึ้นมาพลางหยิบเข็มสีเงินที่อยู่ในกล่องออก เขาหัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้น “กลัวการฝังเข็มรึเปล่า?”
“ฉันไม่กลัวหรอก ฉันเคยไปฝังเข็มกับคนอื่นมาแล้ว แค่นี้สบายมาก” ฉีเยียนเอ๋อร์หัวเราะ พลางเผยให้เห็นดวงตาที่สวยใจกระจ่างเปรียบดั่งดวงเดือนของเธอ
“ไม่กลัวก็ดีแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นผมเริ่มเลยนะ” พูดจบพลังบริสุทธิ์ในร่างกายของหลินหยางก็เริ่มโคจรเร็วขึ้น พลันพลังเหล่านั้นก็ห่อหุ้มเข็มเงินเหล่านั้น เขาฝังไปห้าเข็มอย่างต่อเนื่องไม่หยุดซึ่งห้าเข็มเหล่านั้นฝังไปที่อวัยวะสำคัญทั้งห้าของฉีเยียนเอ๋อร์
ร่างกายของฉีเยียนเอ๋อร์ยังถือว่ายังอ่อนเยาว์นัก คาดไม่ถึงว่าจะอ่อนแอถึงเพียงนี้ สงสัยครั้งนี้หลินหยางต้องใช้ทักษะการฝังเข็มบำรุงให้กับเธอเสียหน่อยแล้ว
หลังจากรอให้อวัยวะสำคัญทั้งห้าได้ฟื้นตัวสักพักเขาก็เริ่มชำระล้างโลหิตของเธอบำรุงให้กลับมาฟื้นฟูสมบูรณ์เหมือนเดิม แต่หากจะฟื้นฟูล่ะก็คงต้องใช้เวลาดูแลรักษาสักช่วงหนึ่งเห็นจะได้
แต่กระนั้นการรักษาก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งวัน หลังจากเสร็จวันนี้ก็ยังคงต้องรักษาต่อไปอีกหลายครั้ง
ตั้งแต่ที่เขาปรับปรุงพลังชี่ของเขามา ทักษะการฝังเข็มของเขาก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ เขาฝังเข็มพร้อมหายใจเข้าออกอยู่หลายครั้งจนเข็มเงินทั้งแปดสิบเอ็ดเข็มพลันฝังเข้าไปในจุดเล็กจุดน้อยของฉีเยียนเอ๋อร์จนหมด
หลังจากที่เข็มเงินมากมายนี้ฝังเข้าไปในร่างกายของฉีเยียนเอ๋อร์หลินหยางก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมาพลางมองไปที่ฉีเยียนเอ๋อร์แล้วพูดขึ้น “นอนอยู่บนเตียงห้ามขยับไปไหนนะครับ”
พอหลินหยางเดินออกมาทุกคนในห้องโถงต่างขยับตัว ฉีหวนก้าวออกมาถามคนแรก “หลินหยาง เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ผลการรักษาตอนนี้ยังสรุปอะไรไม่ได้มากครับ แต่ตอนนี้คงต้องรบกวนทุกท่านสักหน่อย พอดีมีวัตถุดิบยาที่อยากให้พวกท่านช่วยผมซื้อมาหน่อยน่ะครับ” หลินหยางพูดจบเขาก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาเขียนวัตถุดิบยาลงไป
มองดูจำนวนวัตถุดิบที่ไล่ยาวมาขนาดนั้นหานเทียนอวิ๋นก็ถามขึ้นว่า “หลินหยาง สิ่งของพวกนี้เจ้ารีบใช้หรือไม่?”
“โดยปกติแล้วหากได้ภายในสามชั่วโมงก็จะดีที่สุดครับ ช้าที่สุดก็ไม่เกินสิบสองชั่วโมงครับ” หลินหยางตอบ
“ถ้าสามชั่วโมงก็ดี จากในเมืองเจียงหลิงมาหมู่บ้านวี่หลงก็สามารถขับรถยนต์ไปได้เร็วหน่อย ถ้าอย่างนั้นข้าจะโทรศัพท์ให้คนช่วยซื้อวัตถุดิบพวกนี้มาให้เจ้าแล้วกันนะ” หานเทียนอวิ๋นยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนผู้เฒ่าหานแล้ว หากของมาถึงแล้วท่านสามารถวางไว้ที่ห้องโถงนี้ได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมจะออกมาเอาเอง” หลินหยางพูดต่ออีกหน่อยเขาก็กลับเข้าไปในห้องบูรพาตามเดิม หานเทียนอวิ๋นเองก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพลางโทรไปที่ร้านสารพัดโอสถเพื่อมอบหมายให้คนของเขานำวัตถุดิบมาให้
หลังจากที่หลินหยางกลับเข้ามาในห้องก็เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ฉีเยียนเอ๋อร์ พลันโคจรพลังบริสุทธิ์ในร่างกายแล้วเริ่มเน้นพลังไปที่เข็มแล้วหมุนไปมา
จากที่หลินหยางเริ่มหมุนเข็มไปมานั้นความรู้สึกร้อนก็เริ่มปรากฏในกายของฉีเยียนเอ๋อร์จนทำให้เธอรู้สึกสบายตัวเป็นอย่างมาก
“รู้สึกอย่างไรบ้างตอนนี้?” หลินหยางถาม
“รู้สึกถึงความร้อนและความสบายในร่างกาย รู้สึกดีมาก” ฉีเยียนเอ๋อร์พูด
หลินหยางได้ฟังก็พยักหน้าตอบ ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี จากนั้นเขาก็เริ่มหมุนเข็มต่อไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วหลินหยางก็พบว่าจากที่ตัวเองหมุนวนเข็มอยู่นั้นทำให้ฉีเยียนเอ๋อร์รู้สึกสบายมากจนเหมือนจะคล้อยหลับไปอย่างไรอย่างนั้น
“คุณฉี อย่าเพิ่งหลับครับ ถ้าหากหลับมันจะกระทบกับผลการรักษาอย่างแน่นอน” หลินหยางพูดพลางตบไปที่หัวของฉีเยียนเอ๋อร์อย่างเบาๆ
ฉีเยียนเอ๋อร์ที่ดูคล้ายกำลังจะหลับนั้นก็แลบลิ้นออกมาพลางพูดอย่างเคอะเขินว่า “ก็มันสบายตัวมากเลยนี่ เผลอครู่เดียวก็หลับได้แล้ว”
“คุณจะหลับไม่ได้นะครับ ตอนนี้ผมกำลังใช้ทักษะฝังเข็มบำรุงอยู่เพื่อให้เลือดกลับมาไหลเวียนได้ดีขึ้น หากคุณหลับแล้วล่ะก็กระบวนการเผาผลาญในร่างกายจะช้าลงแล้วผลของการบำรุงจะยิ่งลดลงเข้าไปอีก มันจะทำให้ร่างกายคุณซึมซับพลังเพื่อไปรักษาอวัยวะภายในไม่ได้นะครับ” หลินหยางอธิบาย
“ฉันก็พยายามไม่หลับอยู่นี่ไง” ฉีเยียนเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก
หลินหยางพยักหน้าพลางหมุนเข็มเงินต่อไป ในทุกๆ เข็มหลินหยางจะใช้เวลาหมุนอยู่ประมาณนาทีเศษๆ พลังชี่ในร่ายกายของเขาก็ถูกปล่อยไปกระตุ้นหลอดเลือดของฉีเยียนเอ๋อร์เรื่อยๆ
ทุกคนที่เขาหมุนเข็มพลังชี่ที่เกิดขึ้นจากพลังบริสุทธิ์ก็จะไหลเวียนเข้าไปในร่างกายของฉีเยียนเอ๋อร์ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายอย่างมากนั่นยิ่งทำให้ฉีเยียนเอ๋อร์เหมือนจะตกอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นตลอดเวลา
“คุณฉี!” หลินหยางไม่รู้จะทำเช่นไรได้แค่ตบหัวของฉีเยียนเอ๋อร์แล้วพูดขึ้น “หลับไม่ได้นะครับ”
“ฉัน…ฉันควบคุมไม่ได้นี่นา! ถ้าไม่อย่างนั้นนายก็ช่วยฉันหน่อยสิ” ฉีเยียนเอ๋อร์พูดอย่างเขินอาย
“เรื่องแบบนี้คุณต้องพึ่งตัวเอง การเดินปราณฝังเข็มนั้นต้องทำให้กระบวนการเผาผลาญของคุณเป็นปกติ ไม่อย่างนั้นจะกระทบกับการรักษาได้หากคุณอยู่ในสภาพที่หลับแบบนี้” หลินหยางพูด
ฉีเยียนเอ๋อร์ได้ฟังก็ถามขึ้นอย่างร้อนใจว่า “แล้วฉันควรจะทำอย่างไรดีล่ะ?”
“คุณลองคิดดูว่าพอมีเรื่องอะไรที่ทำให้คุณตื่นเต้นใจสั่นได้หรือเปล่า” หลินหยางแนะนำ
ฉีเยียนเอ๋อร์พยักหน้ารับเบาๆ พลางเริ่มคิดถึงเรื่องที่ทำให้ตัวเองตื่นเต้น หลินหยางเห็นว่าอัตราความถี่ของหลอดเลือดเริ่มกลับมาดีเหมือนเดิมเขาก็วางใจแล้วเริ่มหมุนเข็มต่อไป
เวลาผ่านไปประมาณห้านาทีหลินหยางก็เหมือนรู้สึกว่าฉีเยียนเอ๋อร์เริ่มที่จะเข้าสู่ภวังค์อีกแล้ว
ฉีเยียนเอ๋อร์เองก็รู้สภาพของตนเองดีจึงพูดอย่างหน้าแดงขึ้นว่า “หลินหยาง ข้าทนไม่ไหวจริงๆ นายช่วยหาเรื่องคุยกับฉันหน่อยได้หรือเปล่า?”
“อืม ได้ครับ ถ้าอย่างนั้น…หากคุณอยากคุยอะไรก็คุยได้เลยครับผมจะคุยเป็นเพื่อนเอง” หลินหยางพูด
พลันหน้าฉีเยียนเอ๋อร์ก็ร้อนผ่าวขึ้นมาพลางมองไปที่หลินหยางแล้วพูดขึ้น “หลินหยาง พูดเรื่องระหว่างหญิงชายกันเถอะ พอได้ยินเรื่องพวกนี้ใจของฉันจะตื่นเต้นขึ้นมาทันทีเลยล่ะ”
หลินหยางได้ยินก็เหงื่อท่วม แต่เขาก็ยังคงพยักหน้าตอบ “ได้สิครับ”
“นายเป็นคนเจ้าชู้รึเปล่า?” ฉีเยียนเอ๋อร์เริ่มถามขึ้น
พอหลินหยางถูกถามก็ให้คำตอบที่ดูจะกำกวมกลับไป “ผมยังไม่เคยมีแฟนมาก่อนนะครับ”
ฉีเยียนเอ๋อร์รู้ขึ้นได้ทันทีว่าหลินหยางเองยังอ่อนต่อโลกนักพลางถามขึ้นต่อว่า “แล้วนายเคยเห็นตรงนี้ของผู้หญิงหรือเปล่า?”
“ตรงไหนหรือครับ?” หลินหยางถามขึ้นอย่างประหลาดใจ
“นั่นก็คือ…ตรงนั้น…ตรงที่นายยังไม่เคยเห็นน่ะ” ฉีเยียนเอ๋อร์ตอบพลันหน้าแดง
“ถ้าหมายถึงตรงนั้นผมเคยเห็นมาแล้วครับ ตอนที่รักษาให้คนอื่นผมก็เคยเห็นมาก่อนแล้ว” หลินหยางพยักหัวพลางชี้ไปที่จุดที่ไม่ได้ปกปิดเอาไว้
“พอนายได้เห็นแล้วมีการตอบสนองอะไรหรือเปล่า?” ฉีเยียนเอ๋อร์เองก็ถามขึ้นอีก
ฉีเยียนเอ๋อร์ที่แทบจะไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอยู่ตอนนี้กอปรกับเนินอกที่ขาวเนียนเต็มไม้เต็มมือคู่นั้นทำให้ตรงนั้นก็หลิน หยางเริ่มก้าวร้าวขึ้นมา เขาจึงยิ้มตอบแหยๆ ว่า “ผมรู้สึกว่าหากผู้หญิงคนนั้นไม่น่าเกลียดแล้วล่ะก็ก็คงจะมีความรู้สึกอยู่บ้างไม่มากก็น้อย”
“แล้วนายตอนนี้ล่ะ?” ฉีเยียนเอ๋อร์หน้าแดงขึ้นกว่าเดิม พลางกวาดตามองไปที่หลินหยางคล้ายจะทำให้คนหลงเสน่ห์เข้าไปได้ทันที
“เอาเรื่องจริงหรือเปล่าล่ะ?” หลินหยางถาม
“นายพูดมาเถอะน่า”
“อืม” หลินหยางเองก็เริ่มหน้าแดงขึ้นมาบ้างแล้ว
“แล้วผู้ชายที่นั่นลักษณะเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?” ฉีเยียนเอ๋อร์ถามด้วยเสียงอ่อนๆ
พอถูกถามหลินหยางก็รู้สึกประหม่าแปลกๆ ปากขมุบขมิบอะไรอยู่นานไม่ยอมตอบกลับไป พอเห็นท่าทางประหม่าของหลินหยางแล้ว รอยยิ้มก็ปรากฏบนหน้าของฉีเยียนเอ๋อร์
ฉีเยียนเอ๋อร์ก็ถามหลินหยางเกี่ยวกับเรื่องสรีระอีกไม่น้อย หลินหยางเองก็อธิบายกลับไปเป็นลำดับ เรื่องที่พูดอยู่นี้อาจทำให้คนหลายคนหน้าแดงใจเต้นระรัวขึ้นมา ระหว่างที่คุยกันอยู่ความเหนื่อยล้าของฉีเยียนเอ๋อร์ก็หายเป็นปลิดทิ้งเปลี่ยนมาเป็นความสนอกสนใจที่จะคุยกับหลินหยางแทน
ผ่านไปเกือบชั่วโมงในที่สุดหลินหยางก็หมุนเข็มจนครบ เขาหย่อนก้นนั่งลงบนม้านั่งพลางถอนหายใจออกยาว
“รักษาเสร็จแล้วหรือ?” ฉีเยียนเอ๋อร์ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ
“ใช่ที่ไหนล่ะ ยังต้องรักษาอีกนาน ยังเหลือเอาเข็มพวกนี้ออกจากร่างกายแล้วก็นวดตัวเพื่อให้เส้นลมปราณผ่อนคลายเสียหน่อยจะทำให้ร่างกายดูดซึมตัวยาได้ดีขึ้น” หลินหยางหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นต่อ “หลังจากที่นวดเสร็จผมก็จะเตรียมยาให้ หลังจากกินยานั้นการรักษาวันนี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้น”
พอฉีเยียนเอ๋อร์รู้ว่ายังต้องใช้เวลาอีกสักพักจึงจะรักษาเสร็จเธอจึงกลับไปนอนตามเดิม