ตอนที่88 หยางเฟินที่เก้อเขินทำตัวไม่ถูก
เข้ามาด้านในบ้านของจางเยว่ หลินหยางก็มองพิจารณาการจัดวางสิ่งของบริเวณรอบๆ บ้านของจางเยว่นั้นใหญ่มาก อย่างน้อยๆก็ประมาณสองร้อยตารางเมตร สถานที่ที่มีราคาที่ดินสูงอย่างในเมืองเจียงหลิงนี้ สามารถมีบ้านแบบนี้ได้ ดูแล้วฐานะทางบ้านของจางเยว่ก็มีเงินมากพอสมควรเลย
การตกแต่งของที่นี่ไม่ได้หรูหรา ให้ความรู้สึกที่กลมกลืนดูเป็นธรรมชาติ เฟอร์นิเจอร์เป็นไม้แท้เสียส่วนมาก มองดูภายในบ้านนั้นมีห้องหนังสือ ห้องสามห้อง หนึ่งห้องครัว และหนึ่งห้องน้ำ
เซี่ยหยวนหยวนเรียกให้หลินหยางนั่งลง หางตาก็ยังคงมองพิจารณาหลินหยางอยู่ เดิมทีมองดูการแต่งกายของหลินหยางแล้ว ในใจของเธอนั้นยังคงรู้สึกดูถูกอยู่บ้าง เสื้อผ้าที่เขาใส่นั้นไม่มีแม้กระทั่งยี่ห้อเลยเสียด้วยซ้ำ ดูแล้วทั้งตัวของเขาราคาคงจะไม่เกินสองร้อยอย่างแน่นอน
แต่เมื่อมองหลินหยางอย่างละเอียดแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะแต่งตัวได้ดูธรรมดามาก แต่แววตาของเขานั้นใสสะอาดมาก ราวกับว่ามีความสงบนิ่งไม่สะทกสะท้านอะไรทั้งนั้น มาที่บ้านของตัวเอง แต่กลับไม่ระมัดระวัง ทั้งทำใจกว้างอย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย
รินน้ำชาให้หลินหยาง เซี่ยหยวนหยวนยิ้มพลางเอ่ยพูดขึ้น : “ครั้งนี้ต้องขอบคุณเสี่ยวหยางมากๆเลยนะ เธอเป็นผู้มีบุญคุณกับครอบครัวของเรา”
“รักษาและช่วยคนป่วยเป็นหลักการที่ถูกต้องของคนเป็นหมออย่างผมอยู่แล้วครับ จะพยายามทำหน้าที่หมอของตัวเองให้มากที่สุด น้าหยวนหยวนไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ” หลินหยางกล่าว
“ฉันมีลูกสาวเพียงแค่คนเดียว สำหรับเธอแล้วอาจจะดูไม่มีอะไร แต่ถ้าหากฉันสูญเสียเขาไป คงจะต้องเสียใจมาก” มองจางเยว่ด้วยแววตาที่ทั้งรักและสงสาร เซี่ยหยวนหยวนเอ่ยออกมาเบาๆ
“แม่ หนูไม่ไปจากแม่หรอกค่ะ แม่อย่ากังวลไปเลยนะ” จางเยว่เองก็พูดออกไปเสียงเบาๆด้วยเช่นกัน
“โอเค ไม่ไปไหนก็ไม่ไปไหนนะ เพียงแต่ว่าลูกโตขนาดนี้แล้ว ควรจะต้องหาคนมาแต่งงานด้วยได้แล้วล่ะ” เธอมองจางเยว่อย่างไม่พอใจ ราวกับว่ากำลังรู้สึกปวดหัวกับเรื่องใหญ่ทั้งชีวิตนี้ของจางเยว่อยู่อย่างไรอย่างนั้น
“เสี่ยวหยาง ตอนนี้เธอทำอะไรอยู่ เป็นหมออยู่ในหมู่บ้านแค่นั้นหรือ?” เซี่ยหยวนหยวนเอ่ยถามอย่างสงสัย ดูแล้วเขาเป็นเด็กหนุ่มอายุยังน้อยอยู่เลย ไม่คิดว่าจะสามารถช่วยชีวิตลูกสาวตัวเองได้ คิดแล้วลูกสาวของตัวเองนั้นเพียงแค่สลบไม่ได้สติไป แล้วบังเอิญเป็นเด็กคนนี้ช่วยเอาไว้มากกว่า
“ตอนนี้ผมปิดเทอมปีสามอยู่ครับ เปิดเทอมไปก็ขึ้นปีสี่แล้วครับ” หลินหยางบอก
“ตอนนี้เธอยังเรียนอยู่อย่างนั้นหรือ? ปีนี้เธออายุเท่าไหร่แล้วน่ะ?” ได้ยินดังนั้นเซี่ยหยวนหยวนก็รู้สึกตกใจจึงเอ่ยถามขึ้น เดิมทีคิดว่าเป็นเพียงแค่หมอบ้านๆคนหนึ่ง ไม่คิดว่าจะยังเป็นนักเรียนอยู่เลย
“ปีนี้ 21 ครับ” หลินหยางตอบ
“อายุน้อยขนาดนี้มีทักษะทางการแพทย์ยอดเยี่ยมขนาดนี้แล้วหรือ อนาคตอีกยาวไกลจริงๆสินะ” เซี่ยหยวนหยวนออกปากชม
“ใช่ไหมล่ะคะแม่ เขายังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยเลย ฝีมืออย่างเขาไม่กี่วันก็หาเงินได้หลายล้านแล้ว ดีกว่าหนูที่ทำงานเป็นตำรวจด้วยความยากลำบากแบบนั้นอีก เอามาเปรียบเทียบกันแบบนี้ช่างน่าโมโหเสียจริงๆ” เมื่อนึกถึงหลินหยางที่สามารถหาเงินได้ด้วยท่าทางสบายๆเช่นนั้นแล้ว จางเยว่ก็เดินไปนั่งตรงโซฟา แล้วถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกโชคชะตานี้ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
“หลายล้าน? จริงหรือ?” เซี่ยหยวนหยวนเบิกตาโตขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยความตกใจแล้ว
“จะโกหกทำไมล่ะคะ หนูเห็นมากับตา ใช่ไหมหลินหยาง?” จางเยว่กระทุ้งแขนของหลินหยางแล้วเอ่ยถามเขา
หลินหยางหัวเราะออกมาอย่างฝืนๆ พยักหน้าตอบรับ : “โชคดีเท่านั้นเองครับ บังเอิญได้เจอเข้ากับคนร่ำรวยมีเงินทองเข้าน่ะครับ”
หลังจากอาการตกใจนี้แล้ว ในใจของเซี่ยหยวนหยวนก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว มิน่าล่ะดูจิตใจที่กล้าหาญของหลินหยางแล้ว ดูสงบและมั่นคงมากกว่าวัยรุ่นทั่วๆไปเสียอีก แท้ที่จริงแล้วเขาเป็นคนร่ำรวยมีเงินที่ไม่แสดงตัวเปิดเผยออกมานี่เอง อายุยังน้อยแบบนี้ก็เลยเรียบง่ายแบบนี้สินะ ทั้งยังมีเงินทองมาก ผู้ชายแบบนี้นับว่าเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดคนหนึ่งเลยทีเดียว
คิดแล้วนั้น ในใจของเซี่ยหยวนหยวนก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา ถ้าหากหลินหยางอายุมากกว่านี้อีกซักหน่อย หรือลูกสาวของเธออายุน้อยกว่านี้อีกนิด บางทีทั้งสองคนอาจจะไปด้วยกันได้ก็ได้
ทั้งสามคนอยู่ในบ้านพูดคุยกันไปอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าหลินหยางจะอายุยังน้อย แต่เขาอ่านหนังสือมาก ตอนที่เขายังเด็กคุณปู่ของเขาก็เคยเล่าเรื่องราวความรู้หลากหลายให้กับเขาฟัง ถึงแม้ว่าสถานะทางครอบครัวของเซี่ยหยวนหยวนนั้นไม่เลว และมีความรู้ แต่หลินหยางเองก็มีไหวพริบในการพูดคุย ทำให้เซี่ยหยวนหยวนมองในแง่มุมที่ต่างออกไปจากเดิม
“พอแล้วล่ะแม่ แม่ก็อย่าถามหลินหยางเหมือนกำลังซักถามลูกเขยได้ไหม วันนี้ตอนกลางวันกินอะไรคะ? ลูกสาวแม่หิวจะตายอยู่แล้ว” จางเยว่มองเวลาตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงยี่สิบแล้ว รู้สึกหิวอยู่บ้างจริงๆ
“จริงสิ แม่ยังไม่ได้ทำกับข้าวเลย คุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวแม่ไปทำอาหารในครัวก่อน” จะเป็นการเสียมารยาท หากมีแขกมาที่บ้านแล้วกลับไม่มีการต้อนรับด้วยอาหารเช่นนี้ เซี่ยหยวนหยวนจึงรีบเข้าครัวเพื่อไปทำอาหารทันที
“เสี่ยวหยาง มาดูห้องฉันสิ” จางเยว่ดึงมือหลินหยาง มายังห้องนอนของเธอ
ผลักประตูห้องนอนเข้าไปแล้ว หลินหยางมองไปรอบๆ ห้องของจางเยว่นั้นกำลังดี เตียง โต๊ะ เก้าอี้ ตู้เสื้อผ้า ล้วนแต่เป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ทำมาจากไม้แท้ สีเป็นสีโทนอบอุ่น เห็นได้ชัดว่าจางเยว่นั้นก็มีมุมที่อ่อนโยนด้วยเช่นกัน
เมื่อล็อคประตูห้องแล้วนั้น จางเยว่จึงผลักหลินหยางให้ล้มลงไปบนเตียง เพื่อให้เขานั่งลงบนเตียงใหญ่ของเธอเอง นุ่มมากเหลือเกิน หลินหยางอดที่จะอุทานไม่ได้ว่าเตียงนี้สบายกว่าเตียงของเขามาก
“เป็นอย่างไรบ้าง? ห้องของฉันไม่เลวเลยใช่ไหม?” จางเยว่เอ่ยถามหลินหยางขึ้น
“ไม่เลว ดีมากเลยครับ บ้านของคุณใหญ่จริงๆ คุณเป็นทายาทรุ่นสองที่ร่ำรวยมากจริงๆ” หลินหยางเอ่ยพลางหัวเราะออกมา
“บ้าสิ บ้านฉันไม่ได้ร่ำรวยอะไรหรอก” จางเยว่กรอกตาใส่หลินหยาง ทันใดนั้นเองมุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อย เธอยืนขึ้น แล้วเริ่มถอดเสื้อผ้าออก
หลินหยางจ้องมองจางเยว่ที่กำลังถอดชุดกระโปรงของตัวเองออก เรือนร่างที่ประณีตเซ็กซี่ปรากฏออกมาอยู่ตรงหน้าเขา
หลินหยางมองร่างบางตรงหน้าพลางเอ่ยขึ้น : “อะไรกันครับ ยั่วผมหรือ?”
จางเยว่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา แล้วหาเสื้อผ้าจากตู้เสื้อผ้าของตัวเองออกมาสวมแทน และไม่นานชุดตำรวจก็ถูกจางเยว่สวมทับลงบนร่างกายของเธอ ดวงตาของหลินหยางเบิกกว้างขึ้นมา
ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าจางเยว่เป็นตำรวจ แต่เมื่อจางเยว่สวมชุดตำรวจอยู่ในเครื่องแบบแล้ว ไม่คิดว่าจะมีออร่าเช่นนี้ เดิมทีรูปหน้าที่ดูเรียบๆของจางเยว่ หลังจากที่สวมใส่ชุดตำรวจแล้วนั้นเธอดูมีความกล้าหาญสง่างาม และมีประสบการณ์ความชำนาญยิ่งนัก
ดึงจางเยว่เข้ามาหา มือใหญ่ของหลินหยางก็ลูบคลำอยู่บนเรือนร่างของจางเยว่ จากประสบการณ์ที่ผ่านมองสองสามวันนี้ หลินหยางเองก็ไม่ใช่เด็กน้อยบริสุทธิ์ที่จะปลดตะขอเสื้อชั้นในไม่เป็น เขาปลดตะขอเสื้อชั้นในออกด้วยความชำนาญ ลูกคลื่นที่อวบอิ่มทั้งสองลูกนั้น หลินหยางก็ได้บีบคลึงไว้ในมือแล้ว
การยั่วยวนนี้เป็นการท้าทายระบบประสาทของหลินหยาง และในขณะที่หลินหยางกำลังใช้มือคลำไปมาอยู่นั้น สีหน้าของจางเยว่ก็ค่อยๆแดงขึ้น แดงราวกับดอกกุหลาบ ช่างสวยงามน่ามองยิ่งนัก
เธอยื่นมือออกไปสัมผัสตรงหว่างขาของหลินหยาง แล้วค่อยๆดึงกางเกงของหลินหยางลงมา และดาบเล่มนั้นของหลินหยางก็ปรากฏออกมาตรงหน้าของเธอ
“ที่บ้านของคุณได้หรือครับ?” หลินหยางกระซิบลงตรงข้างๆหูของจางเยว่
“ฉันไม่รู้ ฉันทำได้นะ แต่ฉันกลัวว่าแม่ทำอาหารเสร็จแล้วจะมาเรียกพวกเราเสียก่อน แล้วเธอก็จะยังไม่เสร็จ” จางเยว่ขมวดคิ้วมองหลินหยาง
“ถ้าอย่างนั้นถึงตรงไหนก็หยุดตรงนั้นแล้วกันครับ” หลินหยางได้ยินดังนั้นแล้วก็ไม่สนใจเรื่องอื่นอีก หลังจากที่ถอดเสื้อผ้าออกหมดทั้งสองคนแล้ว แล้วคร่อมบนร่างของจางเยว่
ความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมนี้ส่งมา จางเยว่อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ และหลังจากนั้นประมาณสิบนาที ร่างของจางเยว่ก็แข็งทื่อ เธอกอดหลินหยางเอาไว้แน่นอย่างเกร็งๆ
นอนอยู่บนเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรงเพื่อให้ความร่วมมือกับหลินหยาง แววตาหยาดเยิ้มมองหลินหยางที่กำลังทำเรื่องนั้นอยู่บนร่างกายของเธอ และผ่านไปอีกสิบกว่านาที น้ำเสียงเกียจคร้านของเซี่ยหยวนหยวนก็ดังเข้ามา : “เสี่ยวหยาง เสี่ยวเยว่ ออกมากินข้าวได้แล้ว”
“แม่ฉันเรียกพวกเราแล้ว” จางเยว่ผลักหลินหยางออกพลางเอ่ยขึ้น
การพุ่งเข้าไปอย่างสุดตัวถึงสองครั้งด้วยความจำใจของหลินหยาง เขาจึงลุกขึ้นมาจากร่างของหลินหยาง
“พวกลูกทำอะไรกันอยู่ข้างในน่ะ?” เสียงฝีเท้าของเซี่ยหยวนหยวนดังขึ้นบ่งบอกว่ากำลังเดินมาทางนี้
“กำลังศึกษาของสิ่งนึงอยู่น่ะค่ะ แม่รอแป๊ปนึงนะ จะออกไปแล้วค่ะ อีกสองนาที” จางเยว่แสร้งทำเป็นไม่มีอะไรพลางเอ่ยขึ้น
เมื่อทำความสะอาดร่างกายตัวเองเสร็จแล้ว ทั้งสองคนก็สวมใส่เสื้อผ้าแล้วเดินออกมา ถึงแม้ว่าจางเยว่จะแสร้งทำสีหน้าให้ดูสงบเงียบ แต่ใบหน้าแดงๆราวกับคนเมานั้นกลับยังคงไม่ซีดจางไป ดวงตาที่มีเสน่ห์มองดูแล้วยิ่งมีเสน่ห์มากกว่าเดิม
เซี่ยหยวนหยวนที่ผ่านประสบการณ์มากมากมายอย่างเธอนั้น มองออกถึงความผิดปกตินี้ของลูกสาวตัวเอง จึงมองทั้งสองคนด้วยความสงสัย แล้วเอ่ยถามออกมา : “เสี่ยวเยว่ สีหน้าของลูกเป็นอะไรหรือเปล่า ไม่สบายไหม?”
“ที่ไหนกันล่ะคะ หนูหิวต่างหาก” จางเยว่เอ่ยพูดออกมา
“บ้าสิ หิวแล้วหน้าจะต้องแดงขนาดนี้เลยหรือ?” แววตาที่ซับซ้อนมองไปยังหลินหยางแวบหนึ่ง เซี่ยหยวนหยวนจึงเอ่ยถามขึ้น : “ลูกอยู่ในห้องทำอะไรกัน?”
“หั่นผลไม้ครับ” หลินหยางเอ่ยเสียงเบา
จางเยว่ที่ได้ยินแล้วแววตาจึงเป็นประกาย ในใจรู้สึกยอมแพ้กับความฉลาดเฉียบแหลมนี้ของเขาเป็นอย่างมาก ขณะนั้นเองเธอจึงรีบพยักหน้ารับ : “อืม เมื่อกี้หนูแข่งเกมหั่นผลไม้ในโทรศัพท์กับหลินหยางอยู่น่ะค่ะ”
“เกมในโทรศัพท์? เกมอะไรกัน? ทำให้ลูกดูเหนื่อยได้ถึงขนาดนี้?” เซี่ยหยวนหยวนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ก็ใช้นิ้วเลื่อนไปมาอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือน่ะครับ เพื่อหั่นผลไม้ที่อยู่ด้านบน” หลินหยางหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา แล้วจะหาเกมนั้น แต่กลับพบว่าวันก่อนหน้าที่โทรศัพท์มือถือตอนที่อยู่บนภูเขา มือถือของเขาได้กลับไปตั้งค่าเหมือนกับตอนเครื่องออกจากโรงงาน ซอฟแวร์ทั้งหมดหายไปเสียแล้ว
เก็บโทรศัพท์มือถือเข้าไปอย่างทำตัวไม่ถูก หลินหยางนั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหารอย่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มองดูอาหารสี่อย่างตรงหน้าพลางเอ่ยขึ้น : “น้าหยวนหยวนมีฝีมือทำอาหารเก่งจังครับ นี่สู้เชฟใหญ่ๆทำได้เลยนะครับ”
เดิมทียังอยากจะถามเรื่องเกมนั่นอยู่ แต่จู่ๆได้ยินหลินหยางที่เอ่ยชื่นชมตัวเองออกมานั้น เซี่ยหยวนหยวนจึงหัวเราะขึ้นพลางเอ่ย : “ที่ไหนกัน เพียงแค่น้าทำมาเป็นเวลานาน ก็เลยค่อนข้างจะคุ้นเคยเท่านั้นเอง”
เซี่ยหยวนหยวนทำอาหารได้ไม่เลวเลย ถึงแม้ว่าจะแตกต่างกับหลินหยางอยู่มาก แต่ก็ถือว่าเป็นผู้หญิงที่มีคุณสมบัติเป็นแม่ศรีเรือนที่ผ่านเกณฑ์คนหนึ่งเลย
“แม่ อาหารที่แม่ทำไม่อร่อยเท่าของเสี่ยวหยางหรอกค่ะ” จางเยว่ยิ้มร้ายๆออกมาพลางเอ่ยพูดกับมารดาของตัวเอง
“ว่าอย่างไรนะ เสี่ยวหยางทำอาหารเป็นด้วยหรือ?” เซี่ยหยวนหยวนเอ่ยถามด้วยความตกใจ
“ตอนเด็กๆที่บ้านไม่มีใครทำให้กินน่ะครับ ผมก็เลยเรียนรู้เอา แล้วก็ต้องจัดการเองทั้งหมด หากจะเทียบกับน้าหยวนหยวนคงจะห่างกันอีกมากเลยครับ” หลินอย่างเอ่ยพูดออกมาอย่างถ่อมตน
เซี่ยหยวนหยวนไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไรกับประเด็นนี้ กับข้าวสี่อย่างนับว่ายังอุดมสมบูรณ์อยู่ แล้วทั้งสามคนก็นั่งล้อมโต๊ะทานข้าวกัน
หลังจากที่ทานข้าวเสร็จแล้วนั้น ทั้งสามคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟานั้นก็พูดคุยกันต่อ แล้วราวๆเกือบครึ่งชั่วโมง เสียงกริ่งประตูที่อยู่ด้านหน้าก็ดังขึ้นมา
“รอก่อนนะ แม่ไปเปิดประตูก่อน” เซี่ยหยวนหยวนว่า แล้วเดินไปเปิดประตูด้านหน้า
“หยางเฟิน วันนี้แต่งตัวมาเคาะประตูบ้านฉันซะสวยเชียวนะ?” หลังจากที่เปิดประตูออกมาแล้ว เซี่ยหยวนหยวนจึงหัวเราะออกมาพลางเอ่ยขึ้น
“สวยอะไรกัน จะสี่สิบอยู่แล้วนะคะ” เสียงที่มีเสน่ห์ดังขึ้นมาจากทางด้านนอกประตู ดูไม่เหมือนคนอายุจะสี่สิบเลยเสียด้วยซ้ำ
“นี่ยังไม่สวยอีกหรือ อะไรกัน มาถึงบ้านฉันแบบนี้?” เซี่ยหยวนหยวนเอ่ยถาม
“ใช่น่ะสิคะ ฉันเพิ่งจะกลับมาจากสถาบันเสริมความงามในเมือง เล่นเอาฉันโมโหมากจริงๆ ครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ฉันได้ยินมาว่าที่นั่นมีนวดหน้าอก บอกเอาไว้เป็นอย่างดีว่าหลังจากนี้อีกครึ่งเดือนจะเห็นผล แต่ปรากฏว่าครึ่งเดือนผ่านไปแล้วก็ยังคงไม่มีสีขึ้นมาเลย สุดท้ายก็มาโทษฉันบอกว่าช่วงระยะเวลานี้เป็นเพราะฉันไปมีเพศสัมพันธ์ สถานที่บ้าๆแบบนี้ พี่หยวน ฉันเห็นอย่างพี่ที่อายุห้าสิบกว่าแล้ว แต่ยังดูเหมือนสามสิบกว่าๆอยู่เลย หน้าอกก็ยังคงเป็นรูปเป็นทรง วันนี้พี่ต้องบอกฉันแล้วล่ะว่าพี่ดูแลอย่างไร” เสียงที่เอะอะครึกโครมทั้งยังกำลังโมโหอย่างรุนแรงนั้นดังขึ้นมา ทำให้จางเยว่และหลินหยางที่ได้ยินนั้นรู้สึกตะลึงไป
ใบหน้าของจางเยว่เองก็แดงขึ้นเล็กน้อยด้วยเช่นกัน คนที่มาเธอรู้ว่าเป็นใคร คนที่เป็นเพื่อนบ้านอย่างหยางเฟิน เธออายุมากกว่าตัวเองเจ็ดปีแต่ตัวเธอเองเรียกเขาว่าน้า
“ไอ๊หยา เธอเสียงเบาๆหน่อยจะตายไหมนะ” เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ของเซี่ยหยวนหยวนและหยางเฟินนั้นไม่เลวเลย เวลานี้เองจึงเอ่ยพูดออกมาอย่างอายๆ
“ทำไมคะพี่ยังรู้สึกอายอยู่อีกหรือ? ไม่รู้สึกมีอารมณ์รักแล้วหรือไง?” หยางเฟินหัวเราะคิกคัก แล้วหันตัวกลับเดินเข้าไปในห้องรับแขก
เนื่องจากด้านหน้าประตูมีกำแพงสูงเมตรกว่าบังอยู่นั้น หยางเฟินคิดว่าในบ้านจะไม่มีคนอยู่ด้วย และเมื่อเธอเห็นว่าตรงโซฟานั้นมีคนนั่งอยู่สองคน ล้วนต่างก็มองมายังตัวเองอย่างเก้อเขิน ทั้งที่เธอเป็นคนหน้าหนาอยู่แล้ว แต่เวลานี้ใบหน้ามีอายุนี้กลับมีสีแดงขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“เสี่ยวเยว่ กลับมาเมื่อไหร่น่ะ ไม่บอกน้าเลยนะ” หยางเฟินเอ่ยพูดขึ้นมาอย่างเกรงใจ
จางเยว่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ได้แต่มองบนแล้วเอ่ยพูดขึ้น : “ฉันเพิ่งกลับมาวันนี้เองค่ะ ตอนแรกก็ว่าช่วงเย็นๆจะไปหาน้าที่บ้าน ปรากฏว่าน้ามาที่บ้านของฉันเสียก่อน”
เวลานี้เซี่ยหยวนหยวนเองก็เดินออกมาด้วย ถ้าหากเป็นเวลาปกติหยางเฟินหยอกล้อเธอเช่นนี้ ตัวเองคงจะต้องหยอกกลับไปอย่างแน่นอน แต่วันนี้อยู่ต่อหน้าคนแปลกหน้าและลูกสาวตัวเอง โดนหยางเฟินหยอกล้อแบบนี้ ใบหน้าของเธอเองก็รู้สึกร้อนวูบขึ้นมาเช่นกัน