บทที่166 พิษนี้ผมแก้ได้
“ผู้อาวุโสกัว เป็นยังไงครับ?” ก่อนหน้านี้แค่มีอาการแขนไม่สามารถใช้แรงได้ แต่ตอนนี้ที่แขนรู้สึกเหมือนเจ็บๆ
และความเจ็บปวดแบบนี้มันเกิดจากข้างในกระดูก คิดอยากจะนวดก็ทำไม่ได้
ผ่านไปครู่นึงผู้อาวุโสกัวถึงเปิดปากพูดว่า“รู้สึกว่าข้าดูผิดไปแล้วจริงๆ ไอ้หนุ่มนั่นไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ ฝีมือแบบนี้ แม้แต่ข้ายังแก้ไม่ได้”
ได้ยินคำพูดนี้แล้วทั้งสองคนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ไอ้หนุ่มนั่นดูๆแล้วก็น่าจะแค่อายุประมาณยี่สิบต้นๆ เขาใช้วิธีอะไรกันแน่ แม้กระทั่งผู้อาวุโสกัวยังจนปัญญาเลย?
“ผู้อาวุโสกัว งั้นคนนี้……”
“ไอ้หนุ่มคนนั้นไม่ใช่คนเลวอะไรหรอก แค่อยากจะลงโทษแกเฉยๆ ถ้าหากฉันดูไม่ผิดล่ะก็ อีกสิบสองชั่วโมงแขนของแกก็จะกลับมาเป็นปกติแล้ว” ผู้อาวุโสกัวพูดด้วยรอยยิ้ม
พอได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสกัวแล้ว สีหน้าของชายหน้าดำยิ่งดำขึ้นมาทันที ความเจ็บปวดที่เจ็บจี๊ดเข้ากระดูกนี้ ยังจะให้ตัวเองต้องทนอีกสิบสองชั่วโมงหรือ? ความเจ็บปวดข้างในของกระดูก ทำให้เขามีความคิดที่จะตัดแขนตัวเองทิ้ง
“ถึงแม้ฉันจะแก้ไม่ได้ แต่ไอ้หนุ่มนั่นต้องทำได้แน่นอน ไป ตามฉันไป” ผู้อาวุโสกัวพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไอ้หนุ่มนั่นเดินเร็วจริงๆ ไม่รู้เดินไปไหนแล้วครับ”ชายหน้าดำบ่น
“ไอ้หนุ่มนั่นซื้อเตาต้มยา บอกว่าจะส่งไปที่ร้านซักผ้าเซียวจี้ไม่ใช่หรือ ไปขับรถตามไปดูสิ”
ผู้อาวุโสกัวที่อยู่ในฐานะแพทย์แผนจีนเก่าแก่คนนึง สำหรับทุกสิ่งเขาได้สำรวจอย่างละเอียด ที่อยู่ที่หลินหยางบอกเอาไว้ เขาก็ไม่ได้ละเลย
“ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถแก้ได้รึเปล่า อีกอย่างเขาเป็นคนที่มีฝีมือไม่เลวจริงๆ ถ้าหากสามารถดึงเขาเข้ามาใน‘จงหน’ของเราได้ ก็เหมือนจะไม่เลวนะ” ชายหน้าดำพูด
“เป็นหมอมักจะมีใจที่กว้างใหญ่และเมตตา พูดดีกับเขาหน่อย แล้วทำไมจะแก้ให้ไม่ได้ ลองไปดูเถอะ” ผู้อาวุโสกัวพูดและโบกมือ
ผู้อาวุโสกัวภายนอกนิ่งสงบ แต่ในใจกลับขึ้นๆลงๆ โดยเฉพาะสีหน้าที่หลินหยางมองเขาอย่างยึดมั่น แล้วได้ชี้ให้รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะทำให้เขามีความหวังเล็กๆที่จะอยู่ต่อไปอีก! โรคของเขา นอกจากคนที่มีอำนาจระดับสูงในประเทศและเพื่อนเก่าไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ ยังมีคนเยอะแยะมากมายที่ถูกปิดบังเอาไว้
พอถึงอายุอย่างเขาแล้ว เรื่องความเป็นความตายก็เป็นเรื่องปกติไปแล้ว ยิ่งในฐานะที่เป็นหมอคนนึง สำหรับเรื่องแบบนี้แล้วยิ่งคิดได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดา ที่เขายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ก็เพราะว่ายังยึดติดกับโลกนี้ ความสามารถทางการแพทย์ของตัวเองยังไม่ได้สืบทอดต่อไปอย่างสมบูรณ์แบบ
ถึงแม้ในวิชาการแพทย์ของกัวเฉิงรักษาการถ่อมตนไว้ แต่ก็มีความรับผิดชอบอยู่แบบนึงด้วย วิชาการแพทย์ของตัวเอง ถึงแม้จะไม่กล้าพูดว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ แต่ก็ถือว่าล้ำเลิศไม่เบา ตอนนี้มีโรคมากมายที่แพทย์อื่นรักษาไม่ได้ พอถึงมือของเขาแล้ว บางทีก็ได้ผลที่นึกไม่ถึงจริงๆ เขาเรียกได้ว่ามีฐานะที่ล้ำเลิศยิ่งกว่าหมอในยุคโบราณของพระราชวังเสียอีก ถ้าหากเขาสามารถมีชีวิตอยู่ต่อ สำหรับสังคมและประเทศ ก็ต้องมีประโยชน์อย่างมาก
“เตาต้มยา?คุณจะเอาไอ้นี่ไปทำอะไรหรอ?” หนานกงหยูนเห็นหลินหยางแล้วถามอย่างแปลกใจ
“เดิมทีก็คิดจะซื้อหม้อยาไปปรุงยา แต่ไม่มีขนาดที่พอเหมาะ เห็นอันนี้พอดี ก็เลยซื้อเอาไว้ครับ” หลินหยางอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“ใช้เตาต้มยาปรุงยา? โอเค ฉันช่วยคุณยกเข้าไป ดูซิว่าคุณจะสามารถปรุงยาวิเศษอะไรออกมาได้” หนานกงหยูนพูด แล้วดึงแขนเสื้อขึ้นมา ในขณะที่คนงานขนส่งสินค้ากำลังอึ้งตาค้าง เธอได้ยกเตาต้มยาที่หนักไม่น้อยกว่าห้าร้อยกิโลขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปในร้าน
“คนเมื่อกี๊…….ใช่ผู้หญิงจริงหรือ?”คนขนส่งคนนึงพูดอย่างไม่น่าเชื่อ
“เหมือนจะใช่นะ มองเห็นไม่ชัด ของใหญ่แบบนั้น เธอยกเข้าไปด้วยตัวคนเดียวเลยหรือ?”อีกคนนึงก็ตะลึงไม่แพ้กัน
มองดูสีหน้าที่ตกตะลึงสุดๆของทั้งสามคน หลินหยางรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ตัวเองให้ความสนใจแต่เตาต้มยาถึงกับไม่ได้รู้ตัวว่าจะมีผลกระทบแบบนี้
“ครั้งนี้พวกคุณก็เหนื่อยแล้ว ค่าแรงเหล่านี้พวกคุณเอาไว้ซื้อบุหรี่กันนะครับ” หลินหยางล้วงเงินหกร้อยหยวนจากกระเป๋าเสื้อแล้วยัดใส่มือทั้งสามคน แล้วได้หันหลังเดินเข้าไปในร้านซักรีด
หลินหยางเพิ่งเข้าไปได้ไม่นาน ก็มีรถคันนึงมาจอดอยู่ที่หน้าร้านซักรีดอย่างช้าๆ ผู้อาวุโสกัวพาลูกน้องสองคนเดินเข้าไปทางร้าน
“พวกคุณ มีธุระอะไรหรือคะ?” จ้าวจินฟ่งที่กำลังยุ่งอยู่พอเห็นมีคนเข้ามาก็รีบมาทักทายด้วยรอยยิ้ม แต่ว่าพอเห็นว่าเป็นผู้ชายทั้งสามคนแล้ว เธอก็รู้ตัวแล้วว่าสามคนนี้ไม่ใช่ลูกค้าอย่างแน่นอน
“ก่อนหน้านี้มีชายหนุ่มคนนึงเดินเข้ามาใช่รึเปล่าครับ สูงประมาณนี้…..” ผู้อาวุโสกัวบรรยายหน้าตาของหลินหยางด้วยรอยยิ้ม
จ้าวจินฟ่งก็รู้ทันทีเลยว่าพวกเขามาหาหลินหยาง แล้วเธอมองผู้อาวุโสกัวด้วยสายตาระแวง และถามเขาอย่างเรียบเฉย“คุณหาเขามีธุระอะไรเหรอคะ?”..
“เพื่อนผมคนนี้มีปัญหาที่แขนน่ะครับ ก็เลยอยากจะให้เขาช่วยดูให้หน่อย” ผู้อาวุโสกัวพูดด้วยรอยยิ้ม
มองดูใบหน้าที่มีความเจ็บปวดของชายหน้าดำแล้ว จ้าวจินฟ่งที่รู้เรื่องแพทย์แผนจีนอยู่บ้างก็ดูออกว่ามีความผิดปกติ แล้วพยักหน้าพูดว่า:“พวกคุณรอสักครู่นะคะ ฉันไปเรียกหลินหยางมาค่ะ”
“ที่แท้ก็ชื่อหลินหยางนี่เอง ทำไมชื่อนี้ไม่คุ้นเคยเลย…….” มองดูจ้าวจินฟ่งเดินจากไป กัวเฉิงได้คิดลึกๆอยู่ในใจ
บนชั้นสองหลินหยางกำลังยุ่งอยู่กับเตาต้มยาแน่นอน เขารู้อยู่แล้วว่าคนที่มาคือใคร และพูดในใจว่ามาเร็วจริงๆ ก็เลยให้จ้าวจินฟ่งพาพวกเขาขึ้นมา
“น้องชาย เรื่องก่อนหน้านี้เป็นการเข้าใจผิด หวังว่าน้องชายจะไม่ถือสานะครับ”พอเห็นหลินหยางแล้ว ผู้อาวุโสกัวหัวเราะและเดินเข้าไป
สำหรับหลินหยางแล้วอาวุโสคนนี้ไม่ใช่คนเลวอะไร พยักหน้าและพูด:“ไม่เป็นไรครับ ท่านอาวุโสมาหาผมมีธุระอะไรเหรอครับ?”
“มีอยู่เรื่องนึงที่ต้องขอร้อง หวังว่าน้องชายจะสามารถช่วยคลายจุดที่แขนของเพื่อนฉันคนนี้ให้หน่อย ตะแก่คนนี้ขอโทษแทนเพื่อนด้วย” พูดแล้วก็จะคารวะหลินหยาง
หลินหยางตาไวมือไว พริบตาเดียวก็พยุงผู้อาวุโสกัวไว้ ถึงแม้หลินหยางยังหนุ่ม แต่ว่าประสบการณ์ในชีวิตก็ไม่ใช่น้อยๆ อาวุโสคนนี้ต้องมีฐานะที่สูงส่งอย่างแน่นอน แต่กลับยังมีใจที่กว้างขวางเช่นนี้ หลินหยางก็ดูออกอยู่แล้ว
“ช่างเถอะครับ แต่ก็หวังว่าต่อไปนี้ ชายหน้าดำจะไม่ทำอะไรวู่วามแบบนี้อีกนะครับ วันนี้ผมยังพอมีฝีมือนิดหน่อย ถ้าหากคนที่เจอเป็นคนธรรมดาคนนึง ก็อาจจะได้รับบาดเจ็บได้นะครับ” หลินหยางพูดอยู่และนิ้วมือเร็วดั่งสายฟ้า ชายหน้าดำยังไม่ทันรู้ตัว หลินหยางก็ได้ดึงมือกลับแล้ว:“เรียบร้อยแล้วครับ”
ขยับแขนด้วยความไม่แน่ใจ ชายหน้าดำมีสีหน้าที่ดีใจ อยู่ในกองทัพเป็นเวลานาน เขาก็ไม่ใช่คนใจแคบ หัวเราะแล้วพูดว่า:“น้องชายช่างมีฝีมือที่ล้ำเลิศจริงๆ ฉันนับถือจริงๆ”
“ไม่ต้องเกรงใจครับ แค่เรื่องหยิบมือเดียวเท่านั้นครับ” หันไปมองที่ผู้อาวุโสกัว หลินหยางพูดต่อว่า:“ท่านอาวุโสมาหาผม คงไม่ใช่แค่เรื่องแขนของชายหน้าดำหรอกมั้งครับ?”
ชายหน้าดำที่อยู่ข้างแทบจะกระอักเลือด ตัวเองหน้าดำ แต่ว่าถูกคนอื่นพูดออกมาตรงๆแบบนี้ไม่ว่าใครก็ต้องไม่พอใจบ้างแหละ
“น้องชายเรามาคุยกันหน่อยได้ไหม?”ผู้อาวุโสกัวลังเลไปครู่หนึ่งแล้วพูด
“พวกคุณสองคนออกไปก่อน”หลินหยางสะบัดมือแล้วพูดอย่างไม่เกรงใจ
ชายหน้าดำกับชายวัยกลางคนอีกคนได้ยินเช่นนี้แล้วทำหน้าหมั่นไส้ ถึงแม้พวกเขาจะเป็นคนรับผิดชอบความปลอดภัยของผู้อาวุโสกัวก็ตาม แต่เห็นได้ชัดว่าฝีมือของหลินหยางเก่งกาจกว่าพวกไม่ใช่แค่ระดับเดียวเท่านั้น ถึงจะอยู่ต่อก็ไม่มีประโยชน์อะไร ทั้งสองคนมองหน้ากันแล้วได้เดินออกจากห้อง
“ตะแก่คนนี้ก็ไม่พูดอ้อมค้อมแล้วนะ เรื่องก่อนหน้านั้นต้องขอโทษจริงๆ วันนี้ที่มาหาน้องชาย เพราะอยากรู้ว่าน้องชายดูออกได้ยังไงว่าสภาพร่างกายของฉันผิดปกติ?” ผู้อาวุโสกัวถามอย่างเร่งรีบ
หันหน้ามามองที่ผู้อาวุโสกัวด้วยรอยยิ้ม หลินหยางถามว่า:“ที่คุณตามมาด้วย ก็เพราะอยากถามเรื่องนี้หรอครับ?”
“ใช่แล้ว ตะแก่อย่างฉันรู้สึกประหลาดใจมากว่าน้องชายดูออกได้ยังไง ตะแก่อย่างฉันสถานที่ๆเคยไปมาก็ไม่น้อย หมอชื่อดังที่เคยเจอก็ไม่ใช่น้อยๆ แต่พวกเขาเห็นตะแก่อย่างฉันแล้ว ทุกคนล้วนแต่ชมว่าฉันร่างกายแข็งแรง มีแค่วันนี้ น้องชายแค่ได้เจอหน้าฉันแค่ครั้งแรก ก็รู้ว่าร่างกายฉันมีปัญหา ขอชี้แนะด้วย” ผู้อาวุโสกัวพูดอย่างตื่นเต้น
ถอนหายใจลึกๆ หลินหยางก็มีความรู้สึกที่ดีต่อตะแก่คนนี้บ้าง ถึงแม้บอดี้การ์ดสองคนนั้นจะทำตัววู่วามในวันนี้ แต่ความหลงใหลในวิชาแพทย์ของอาวุโสท่านนี้ น่านับถือจริงๆ
“จริงๆแล้วง่ายมากเลยครับ แพทย์แผนจีนคนนึง ยิ่งคนที่เป็นแพทย์ที่มีประสบการณ์สิบปีขึ้นไป บนร่างกายก็จะมีกลิ่นหอมของยาชนิดนึง ตัวหมอเองอาจจะไม่รู้ตัว แต่กลิ่นหอมของยาชนิดนี้มันมีอยู่จริง กลิ่นยาหอมบนร่างกายของอาวุโสเข้มข้นมาก เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นหมอแค่ไม่กี่ปี อาจจะทั้งชีวิตนี้ก็จมอยู่กับแพทย์แผนจีนแล้วก็ได้
พอได้ยินการวิเคราะห์ของหลินหยางแล้ว ดวงตาของผู้อาวุโสกัวมีแสงสว่าง แต่เดิมคิดว่าหลินหยางดูออกด้วยวิธีอื่น คิดไม่ถึงจริงๆว่า พ่อหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
“งั้นคุณใช้วิธีอะไรดูออกว่า…….”
“ก็เพราะกลิ่นหอมของยาเช่นกัน หมอจีนที่มีอายุงานมาสิบปี บนตัวถึงจะมีกลิ่นหอมของยา แต่คนป่วยคนนึง แค่กินยาติดต่อกันสามปี บนร่างกายก็จะมีกลิ่นยาแปลกๆด้วยเช่นกัน แต่ว่ากลิ่นหอมของยาแบบนี้ ไม่ได้เกิดจากภายนอก แต่เกิดจากภายในร่างกายสู่ภายนอก ท่านอาวุโสไม่เพียงแต่มีกลิ่นหอมของยาที่ช่วยรักษาผู้ป่วย แถมยังมีกลิ่นยาที่รักษาตัวเองด้วย นี่แหละคือสาเหตุที่ผมรู้ว่าคุณกำลังป่วยครับ”
“แล้วทำไมถึงดูออกว่าคุณป่วยหนักแล้ว เพราะว่าถึงแม้สีหน้าคุณจะดูแข็งแรงดี แต่ก็มีกลิ่นไอของความหม่นหมองโผล่ออกมาอย่างไม่รู้ตัว ก็เลยเผยให้เห็นว่าคุณกำลังป่วยหนักอยู่”
พอได้ยินหลินหยางพูดแบบนี้แล้ว ผู้อาวุโสกัวยิ่งอึ้งจนปากค้าง สุดท้ายก็อดชื่นชมเขาไม่ได้:“คิดไม่ถึงจริงๆว่าน้องชายจะเก่งในวิชาแพทย์ขนาดนี้ ตะแก่คนนี้นับถือจริงๆ”
“ชมเกินไปแล้วครับ วิชาแพทย์จีนล้ำลึกยิ่งนัก ผมก็ได้แค่ผิวเผินเท่านั้นเองครับ” หลินหยางยิ้มอย่างถ่อมตน
“แหะๆ ในวงการแพทย์แผนจีนของเราสามารถมีคนวิเศษอย่างน้องชาย เป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ” ผู้อาวุโสกัวถอนหายใจลึกๆแล้วพูดว่า“แต่เสียดายที่ตะแก่คนนี้มีชีวิตอีกไม่นานแล้ว วิชาแพทย์ที่สะสมมาตลอดชีวิตยังไม่สามารถหาคนมาสืบทอดต่อได้ เฮ้อ”
“ดอกไม้ที่ผลิบานในฤดูใบไม้ผลิและจะร่วงลงในฤดูใบไม้ร่วง ต้นหญ้าและต้นไม้จะเหี่ยวฉาว วันเวลาจะผ่านพ้นไป ชีวิตหมุนเวียน ทั้งหมดนี้เป็นกฎของธรรมชาติ ไม่สามารถที่จะแหกกฎได้” หลินหยางพูด
“ตะแก่คนนี้มองเรื่องเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว แค่เสียดายวิชาแพทย์ที่สะสมมาตลอดชีวิตนี้ แต่ว่าก่อนจะจากโลกนี้ไปยังได้เจอกับคนที่น่าสนใจอย่างน้องชาย นี่ก็ถือว่าเป็นวาสนาอย่างนึงแล้วล่ะ ถ้าหากน้องชายไม่รังเกียจ ช่วงเวลานี้ สามารถเรียนรู้วิชาแพทย์ทั้งหมดที่ตะแก่คนนี้สะสมมาทั้งชีวิตแก่นายได้
มองดูผู้อาวุโสกัวที่ผมหงอก หลินหยางรู้สึกหดหู่และนับถือจากใจ การที่แพทย์จีนตกต่ำลงทุกวัน เหตุผลส่วนใหญ่ก็เพราะว่ามีความรู้ส่วนใหญ่ไม่ยอมเผยแพร่ให้คนนอก ความรู้เหล่านั้นจึงได้หายไปพร้อมกาลเวลาที่ผ่านไป การที่ผู้อาวุโสกัวสามารถสืบทอดความรู้ทั้งหมดในชีวิตให้แก่ตัวเอง ความใจกว้างนี้ อยู่ในสังคมยุคนี้ เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งนัก
“ถึงแม้เราจะไม่สามารถแหกกฎของธรรมชาติได้ แต่ถ้าหากการที่ชีวิตได้รับผลกระทบจากภายนอก ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธียื้อชีวิตหรอกครับ…….”
“อะไรนะ!” พอได้ยินคำพูดของหลินหยางแล้ว ผู้อาวุโสกัวร่างกายกระตุก และเบิกตากว้างมองหลินหยาง
“แพทย์คนนึง แถมยังเป็นแพทย์ที่มีวิชาแพทย์ที่เก่งกาจ สามารถทำให้ตัวเองป่วยหนักได้ เหตุผลต้องน้อยมาก ถ้าหากผมเดาไม่ผิดล่ะก็ โรคของท่านอาวุโส คงเกิดจากพิษสินะครับ” หลินหยางพูดและจ้องมองผู้อาวุโสกัว
“ใช่แล้ว! คุณรักษาได้รึ?” ผู้อาวุโสกัวถามไปเรื่อยเปื่อย แต่สีหน้าก็ได้มืดลงมาทันที เส้นทางการแพทย์ ถึงแม้จะมีคนที่มีพรสวรรค์ แต่ประสบการณ์ก็สำคัญยิ่งนัก เพราะยังไงหลินหยางก็ยังหนุ่มอยู่ การที่เขาสามารถดูออกอาการของตัวเองก็ถือว่าหาได้ยากแล้ว คิดอยากจะรักษาตัวเอง คงจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว
“ท่านอาวุโสยื่นแขนให้ผมครับ”หลินหยางพูดอย่างสงบนิ่ง
ถึงแม้ในใจจะไม่เชื่อว่าหลินหยางจะมีวิธีรักษาตัวเอง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธ ก็เลยยื่นแขนออกไป
หลินหยางจับที่ชีพจรของผู้อาวุโสกัว หรี่ตาไว้ พลังมังกรและหงส์หมุนเวียนอยู่ในร่างกาย แล้วเบ่งเจินชี่ออกมาส่วนนึง แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของผู้อาวุโสกัว
ผ่านไปห้านาที หลินหยางค่อยๆลืมตาขึ้นมา มองไปที่ผู้อาวุโสกัวแล้วถามว่า:“พิษในร่างกายของผู้อาวุโสกัว คงไม่ได้เกิดจากตัวเองสินะ แต่เป็นเพราะอีกคนนึงใช่รึเปล่าครับ?”
พอได้ยินคำพูดนี้แล้วผู้อาวุโสกัวมีสีหน้าตกใจ สายตาที่มองดูหลินหยางเปลี่ยนไป แล้วพยักหน้าพูดว่า:“ใช่แล้ว นี่เป็นเมื่อสี่ปีก่อน ฉันช่วยขับพิษให้กับหลานชาย แต่ปรากฏว่าพิษนี้ร้ายแรงยิ่งนัก ช่วยหลานชายไม่ได้ไม่พอ แถมตัวเองก็ถูกพิษเข้าไปด้วย น้องชาย พิษนี้……”
“พิษนี้ ผมแก้ได้ครับ” หลินหยางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย