บทที่201 แสดงฝีมือให้ทุกคนได้เห็น
แปะๆ เสียงปรบมือที่ดังสนั่นจากด้านล่าง ไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าตาของผู้อาวุโสในงาน ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็พากันมองไปทางหลินหยางด้วยสีหน้าดูถูก
หลินหยางเกาศีรษะ แล้วหยิบรายงานการวิจัยของตนเองขึ้นมา ก่อนจะขย้ำจนเป็นวงกลมโยนทิ้งลงไปในขยะด้านข้าง
ทุกคนต่างพากันหัวเราะออกมา นึกว่าหลินหยางประหม่าเวที และคิดจะหนีลงจากเวทีแล้ว แต่หลินหยางกลับพูดขึ้นมาด้วยท่าทีเรียบนิ่ง “สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทุกท่านครับ ผมเป็นนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ชั้นปีสุดท้าย ที่ยังมีประสบการณ์ในการทำงานเทียบกับทุกท่านในที่นี่ไม่ได้ มีหลายคนต่างก็พากันพูดว่าการแพทย์แผนจีนเป็นการรักษาที่ไม่น่านับถือ อีกทั้งยังมีบางคนที่พูดใส่ร้ายว่าการแพทย์แผนจีนเป็นการรักษาแบบพึ่งพาความเชื่อ ไม่สามารถอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้ ผมคิดว่า คนที่มีความคิดแบบนี้สมองคงจะมีปัญหาหรือก็มีประสงค์ร้ายแอบแฝง”
พอพูดจบทุกคนในงานต่างพากันหัวเราะออกมาอย่างตลกขบขัน เด็กคนนี้กำลังพูดโอ้อวด แต่ทุกคนกลับนั่งฟังเขาพูดเงียบๆอีก
“การแพทย์แผนจีนมีประวัติความเป็นมายาวนานนับพันปีตั้งแต่การกำเนิดของชนชาติจีน แน่นอนว่าต้องไม่ใช่ความรู้ที่ได้ผ่านการสังเกตการณ์และการทดลองง่ายๆ แต่เป็นการรักษาที่ผ่านการทดสอบฝึกฝนมาเป็นระยะเวลานาน โดยมีผู้อาวุโสจำนวนมากได้ให้การสรุป แบ่งแยกออกเป็นแต่ละประเภท และทำการทดลองจนเห็นจริงทีละนิด มันไม่ใช่การรักษาแบบพึ่งพากราบไหว้บูชาภูตผี หรือพึ่งพายันต์คาถาใดๆ ถ้ามองจากด้านวิทยาศาสตร์แล้ว ขั้นตอนการรักษาโรคหลายๆโรคล้วนแต่ใช้พื้นฐานมาจากการวิจัยทางคลินิก ตัวผมเองคิดว่ามันเป็นการแพทย์แนวเวชปฏิบัติอิงหลักฐาน เป็นศาสตร์ที่สั่งสมมาจากประสบการณ์จริงของแต่ละคน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นผลการทดลองที่ได้จากคัมภีร์สมุนไพรเสินหนงด้วย ถ้าหากแบบนี้ไม่เรียกว่าถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ แบบไหนถึงจะเรียกว่าถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์อีกเหรอครับ ตั้งแต่โบราณกาล การพัฒนาของวิทยาศาสตร์ไม่ได้มีขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เป็นบรรพบุรุษของเราใช้ทั้งชีวิตเพื่อทําการพิสูจน์สรรพคุณของสมุนไพรแต่ละชนิด การฝังเข็ม การตรวจชีพจรและการรักษารูปแบบอื่น ดังนั้นหัวข้อที่ผมจะเสนอในวันนี้คือหลักการทางวิทยาศาสตร์และการปฏิบัติจริงของการแพทย์แผนจีนครับ” หลินหยางพูดขึ้นด้วยเสียงที่ดังและชัดเจน
หลังจากพูดจบทุกคนในงานต่างพากันตะลึงค้าง ถ้าหากบอกว่ามีเมฆดำที่ครอบคลุมอยู่ในใจของแพทย์แผนจีนทุกคนอยู่ ก็คงจะเป็นเรื่องข้อสงสัยที่ค่อนข้างเคร่งเครียดเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การแพทย์แผนจีน ถ้าวันนี้มีคนสลายเมฆดำก้อนนี้ลง แล้วตะโกนแสดงจุดยืน ก็เหมือนทุบลงตรงจุดอ่อนที่สุดพอดีเลย
แปะๆๆ เสียงปรบมือดังขึ้นไปทั่วทั้งงาน มันคือการปรบมือจากใจจริง และนับถือ
หลินหยางโบกมือส่งสัญญาณให้เงียบ ก่อนจะพูดต่อ “ผมเป็นนักศึกษาคนหนึ่ง แต่ผมสัมผัสการแพทย์แผนจีนกับคุณปู่มาตั้งแต่เด็ก บรรดาแพทย์แผนจีนในอดีตไม่มีอุปกรณ์การรักษาขั้นสูง ไม่มีขั้นตอนการตรวจสอบ จึงมีแค่ต้องใช้การดู การฟัง การสอบถาม และการตรวจชีพจรในการตรวจและวิเคราะห์โรคตามอาการและสภาพร่างกายของแต่ละคน แต่เพราะแบบนี้กลับกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ถูกผู้คนดูถูกดูแคลน นึกว่าการแพทย์แผนจีนทำได้แค่นี้ การแพทย์แผนจีนพึ่งการรักษานั้นไม่น่าเชื่อถือ วันนี้ผมจะพูดถึงเรื่องขั้นตอนการรักษาด้วยวิทยาศาสตร์การแพทย์แผนจีน โดยใช้การดู การฟัง การสอบถาม และการตรวจชีพจร ซึ่งเป็นการรักษาที่สืบทอดต่อการมาตั้งแต่อดีต สำหรับผมแล้วผมคิดว่านี่เป็นวิธีการวินิจฉัยโรคและการรักษาขั้นพื้นฐานที่สุดแล้ว นี่ไม่ใช่แค่การรักษาโดยการใช้ประสบการณ์ เพราะเป็นศาสตร์ที่สรุปมาจากการสั่งสมประสบการณ์จริงในการรักษาอย่างต่อเนื่องมาจากรุ่นก่อนๆ แบบนี้เรียกว่าการทดลองวิจัยเชิงทฤษฎี ที่ผ่านการสุ่มจากกลุ่มตัวอย่างจำนวนมาก และผ่านการฝึกฝนและเปรียบเทียบผลลัพธ์ซ้ำ ๆ จนได้บทสรุปที่สมเหตุสมผลและน่าเชื่อถือที่สุดออกมา ถ้าเปรียบเทียบโดยใช้ศาสตร์คณิตศาสตร์ ก็คงจะเป็นความจริงที่เห็นได้ชัด”
บรรดาแขกที่มาร่วมงานต่างพากันลุกขึ้นยืน ก่อนจะปรบมือให้คำพูดของหลินหยางสร้างแรงปลุกปั่นสูงมาก แต่ในขณะนี้เอง มีชายหนุ่มร่างสูง ผอม ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพูดเสียงดัง “ผมเป็นนักข่าวจากสำนักข่าวยันจิงครับ ในเมื่อคุณบอกว่านี่เป็นความจริงที่เห็นได้ชัด ถ้าอย่างนั้นคุณสามารถแสดงให้ทุกคนได้เห็นถึงหลักการที่คุณพูดได้ไหมครับ หรือว่าคุณแค่อยากสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองกันแน่ครับ”
แค่คำพูดนี้ก็ทำให้ทุกคนในงานต่างนิ่งเงียบ มีหลายคนเริ่มซุบซิบกันขึ้นมา หรือว่าเด็กหนุ่มคนนี้แค่อยากจะสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองกันแน่นะ
หลินหยางมองไปทางนักข่าวที่ถามเขา ก่อนจะเอ่ยถาม “คุณคนนี้ดูเหมือนจะรู้จักผมนะครับ ผมไม่ใช่คนโดดเด่นอะไร แค่พอจะรักษาแผลเป็น ผลิตยาในการรักษารอยแผลเป็น ซึ่งตอนนี้ราคาในตลาดอยู่ที่ห้าแสนต่อหนึ่งกระปุก แต่ถ้าหากผมคิดจะพัฒนายาตัวนี้ให้กว้างขึ้น ผมคงจะไปหาบรรดาทายาทเศรษฐี ไม่ใช่มาพูดอภิปรายอยู่ที่นี่ แน่นอนครับ ถ้าหากคุณสนใจยาที่ผมผลิตขึ้นมาจริงๆ ผมก็ยินดีที่จะร่วมงานด้วยเหมือนกันครับ”
ห้าแสน ทุกคนในงานต่างพากันอุทานอย่างตกใจ เด็กหนุ่มคนนี้เจ้าเล่ห์จริงๆ แต่เขาพูดต่อสาธารณะแบบนี้ ในทางกลับกันทุกคนก็เริ่มเชื่อในทักษะทางการแพทย์ของเขามากขึ้น ตามคำที่บอกว่าคุณภาพเป็นไปตามราคา ยาที่มีชื่อว่าครีมแผลลาย
คงจะมีคุณสมบัติพิเศษเหมาะสมกับราคา
เขาขยับแว่นตาตัวเอง ก่อนที่อีกฝ่ายจะยิงคำถามออกมาอีกครั้ง “ในเมื่อคุณหลินมั่นใจในทักษะการแพทย์ของตัวเอง อย่างนั้นคุณช่วยยกตัวอย่างที่เคยรักษาสำเร็จให้ทุกคนได้รู้หน่อยได้ไหมครับ แค่พูดด้วยปากเปล่าคงไม่สามารถทำให้ทุกคนเชื่อได้ แล้วอีกอย่าง เรื่องเกี่ยวกับยาที่มีราคาถึงห้าแสน คุณหลินช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมครับ”
ในตอนนี้ทุกคนในงานเริ่มเกิดความสงสัยขึ้นมาทันที ขี้ติทำไม่เป็น เขาจะคอยดูว่าหลินหยางจะแก้ตัวว่ายังไง
ตัวอย่างการรักษาที่เขาประสบความสำเร็จมีเยอะมาก แต่เขาจะพูดออกมาต่อหน้าสาธารณะแบบนี้ไม่ได้ อย่างเช่นการปรับตำแหน่งเต้านมเป็นการรักษาเคสธรรมดาเท่านั้นเอง ตัวอย่างการรักษาอื่นก็เหมือนเปิดเผยความเป็นส่วนตัวของคนอื่น หลินหยางนิ่งเงียบไปสักพัก สายตาของทุกคนจ้องเขม็งมาที่เขา ในขณะนี้เองฉีเยนเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้างล่างรีบลุกขึ้นยืนทันที
“แขกผู้มีเกียรติทุกท่านคะ ดิฉันชื่อว่าฉีเยนเอ๋อร์ ดิฉันถือได้ว่าเป็นเคสการรักษาที่ดีที่สุดของหลินหยางค่ะ” ฉีเยนเอ๋อร์มองไปรอบด้าน ก่อนจะพูด
มีคนในงานจำนวนไม่น้อยรู้จักหลานสาวของฉีหวนคนนี้ เธออธิบายขั้นตอนการรักษาของตนเองออกมาอย่างละเอียด ทุกคนในงานเห็นว่าฉีเยนเอ๋อร์ออกมารับประกันให้หลินหยาง ทุกคนจึงเชื่อถือเป็นธรรมดา
หลินหยางส่งยิ้มให้ฉีเยนเอ๋อร์อย่างขอบคุณ ก่อนจะพูดต่อ “ขอบคุณคุณฉีนะครับ เดิมทีการรักษาคนไข้ก็เป็นหน้าที่ของหมออย่างพวกเราอยู่แล้ว ปกติแล้วผมไม่ค่อยชอบเอาข้อมูลคนไข้ของผมออกมาพูด เพราะมันเป็นข้อมูลส่วนตัวของคนอื่น ไม่ควรเอาออกมาเปิดเผยต่อหน้าคนอื่นเพื่อโอ้อวด แล้วอีกอย่างเรื่องเกี่ยวกับการกำหนดราคายาที่ห้าแสน ขึ้นชื่อว่าเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ ราคาจึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท้องตลาด ทุกท่านคิดว่าถูกไหมครับ ถ้าทางตลาดรับราคานี้ไม่ได้ ยาของผมก็ขายไม่ออก แน่นอนว่าตอนนี้ทางท้องตลาดให้การยอมรับกับราคานี้เป็นอย่างมาก”
ท่าทางโอ้อวดแบบเรียบๆ ทำให้นักข่าวที่ใส่แว่นตาสะอึกไปเล็กน้อย เขาพูดด้วยท่าทางอารมณ์เสียเล็กน้อย “แพทย์ให้ความสำคัญกับจริยธรรมทางการแพทย์ แต่จากที่ผมได้ยินมา จริยธรรมทางการแพทย์ของคุณหลินมีจุดด่างพร้อยค่อนข้างหนัก คุณรู้จักสนิทสนมกับบรรดามาเฟียจำนวนไม่น้อย แล้วคุณยังทำร้ายร่างกายและข่มขู่คุกคามประธานเจียงด้วย”
นี่มันเหมือนระเบิดที่ถูกโยนออกมา ทำให้ทุกคนเริ่มพูดคุยกันเรื่องนี้ บางคนกำลังนั่งมองอย่างสนุก บางคนมองไปทางชายหนุ่มที่ใส่แว่นอย่างดูถูก คิดว่าอีกฝ่ายมาเพื่อสร้างความวุ่นวาย
หลินหยางหัวเราะ ก่อนจะพูด “คุณนักข่าวครับ ผมเป็นคนตรงไปตรงมา ผมสนิทสนมกับพวกมาเฟียอย่างนั้นเหรอครับ แล้วที่พวกเขาคิดจะยึดสินค้าของผม คิดจะซื้อขายอย่างคดโกงไม่ว่า พวกเขายังพยายามลักพาตัวเพื่อนของผม พยายามตามผมและข่มขู่ผม คุณนักข่าวคนนี้ ถ้าคุณอยากทำข่าวสามารถไปถามข้อมูลจากผู้บัญชาการตํารวจจางจากสถานีตำรวจเจียงหลิงได้ครับ เธอสามารถรับประกันให้ผมได้ แล้วอีกอย่าง ผมหวังว่างานอภิปรายในครั้งนี้จะไม่กลายเป็นการทะเลาะความแค้นส่วนตัว จากนี้ผมจะพูดถึงงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ต่อเลยนะครับ”
นักข่าวที่เดิมทีท่าทางโมโหเงียบเสียงไปทันที หลินหยางไม่ใส่ใจเสียงรบกวนนี้ เขายังคงพูดอภิปรายต่อ เขาพูดถึงการนำวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในกระบวนการรักษาแบบแพทย์แผนจีน ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์หลายคนที่มีประสบการณ์พยักหน้าเห็นด้วย เหมือนกับที่เขาพูด คนที่ทำงานในวงการเดียวกัน แค่พูดก็เข้าใจ หลินหยางพูดอภิปรายอยู่ครึ่งชั่วโมงกว่า ถึงทำให้ผู้ชมในงานต่างพากันชื่นชมด้วยความเลื่อมใส
“หลินหยางถือว่าเป็นสุดยอดที่สุดแล้ว ผมได้เห็นเขารักษาคนไข้มาเองกับตา พูดจากใจจริงผมจะไม่นับถือเขาก็ไม่ได้ ตามสุภาษิตที่บอกไว้ว่า คลื่นลูกใหม่ต้องแรงกว่าคลื่นลูกเก่าอยู่แล้ว พวกเราแก่กันแล้ว ถึงเวลาจะต้องปล่อยให้คนรุ่นหลังได้แสดงฝีมือกันแล้ว ดังนั้นผมขอเสนอ หลังจากการประชุมแพทย์แผนจีนเสร็จ เราก็ก่อตั้งสาขาสมาคมวิชาการแพทย์แผนจีน โดยให้หลินหยางเป็นคนดูแล” หยังวั่นเฉียนรับไมโคโฟนมาแล้วพูด
ตอนนี้กลับกลายเป็นหลินหยางที่ร้อนใจ เขาเป็นแค่นักศึกษา ถึงแม้จะมีฝีมือด้านการรักษาอยู่บ้าง แต่การจะให้เขาขึ้นนั่งตำแหน่งที่สูงแบบนี้กะทันหัน เขาคงจะปรับสภาพไม่ทัน เขาที่ปกติเป็นคนไม่ค่อยชอบออกหน้าทำให้เขายากที่จะรับตำแหน่งนี้ได้ แต่บรรดาแพทย์รุ่นใหญ่ที่อยู่ในงานต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย สุดท้ายหลินหยางจึงต้องยอมรับอย่างหนีไม่พ้น
งานประชุมในครั้งนี้ครึกครื้นมาก แพทย์ที่มีชื่อเสียงต่างพากันแชร์ประสบการณ์ในการรักษาของตัวเองตลอดทั้งวัน หลินหยางเองก็ได้เรียนรู้เพิ่มเติมมาไม่น้อย จนถึงตอนกลางคืน ยังมีอีกหลายคนที่ลากหลินหยางไว้เพื่อจะคุยต่อ ยังดีที่ฉีเยนเอ๋อร์เดินเข้ามา แล้วดึงแขนฉีเยนเอ๋อร์จากไป
“ยินดีด้วยนะคะ หลังจากผ่านวันนี้ไปชื่อเสียงของคุณคงจะแพร่กระจายไปทั่วทั้งวงการ” ฉีเยนเอ๋อร์พูดยิ้มๆ
หลินหยางส่ายหน้าแล้วพูด “ผมยังคงชอบที่จะนั่งทำงานของตัวเองอยู่ในห้องมากกว่า งานแบบนี้มาร่วมงานครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ถึงแม้จะมีคนเข้ามาหาเรื่อง ยังดีที่ไม่ทำให้คุณปู่คุณเสียหน้า”
“นักข่าวจากสำนักข่าวยันจิงคนนั้นดูเหมือนจะถูกคนว่าจ้างมาค่ะ คุณมีปัญหากับใครไว้คะ” ฉีเยนเอ๋อร์เอ่ยถาม
อย่างนั้นเหรอ งั้นก็คงจะเป็นตระกูลจ้าวหลินหยางยิ้มแหย “ผมทำร้ายคุณชายทั้งสองของตระกูลจ้าวไว้ครับ และบาดแผลค่อนข้างสาหัส คนหนึ่งเป็นอัมพาต ส่วนอีกคนถูกผมตัดแขนขาดไปแล้ว”
พอเห็นหลินหยางพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ฉีเยนเอ๋อร์กลับรู้สึกตระหนกใจมาก ตระกูลจ้าวแห่งยันจิง เป็นตระกูลที่ค่อนข้างมีอิทธิพล พอเห็นสีหน้าที่เรียบนิ่งของหลินหยาง ไม่รู้ว่าเขาเจอกับความลำบากอะไรมาบ้างหรือเปล่า ดังนั้นฉีเยนเอ๋อร์จึงกระซิบถาม “ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องขึ้นกับคุณ คุณได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ”
“ไม่ครับ อีกฝ่ายเป็นแค่พวกไร้ฝีมือ รู้แต่จะเล่นโกง เหมือนนักข่าวที่ก่อปัญหาในวันนี้ ผมทำอะไรอยู่ในความถูกต้อง จะกลัวพวกเขาไปทำไมกัน” หลินหยางแสดงสีหน้าไม่ใส่ใจ
แต่ฉีเยนเอ๋อร์กลับไม่ได้คิดแบบนี้ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่คุณไม่อยากมีปัญหากับคนอื่น แล้วคนอื่นจะไม่อยากมีปัญหากับคุณได้ ฉีเยนเอ๋อร์แสดงสีหน้าเคร่งเครียด
“สีหน้าของคุณนี่หมายความว่ายังไงครับ คุณคิดว่าผมจะถูกคนไร้ฝีมือพวกนั้นเล่นงานได้หรือไงกัน” หลินหยางรู้สึกอบอุ่นใจ
“คุณสีหน้าเรียบนิ่งแบบนี้ คุณรู้ไหมว่าเบื้องหลังตระกูลจ้าวคือใคร พวกคุณมีความแค้นอะไรต่อกัน ฉันว่าคุณคงไปแย่งผู้หญิงของอีกฝ่ายมาสินะ” ฉีเยนเอ๋อร์พูดวิเคราะห์
ผู้หญิงคนนี้จินตนาการเก่งจริงๆ แต่ความจริงก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ หลินหยางพูดยิ้มๆ “ไม่พูดเรื่องนี้แล้วดีกว่าครับ พรุ่งนี้คุณว่างไหม ผมจะเลี้ยงข้าวคุณเพื่อเป็นการขอบคุณที่วันนี้คุณทำให้ผมมีชื่อเสียง”
“ฉันอยากว่ายน้ำค่ะ” ฉีเยนเอ๋อร์พูดขึ้นมากะทันหัน
หลินหยางนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะยกยิ้มแล้วพูด “ไม่มีปัญหา ผมพาคุณไปว่ายน้ำ แต่ว่าตอนนี้จะเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว คงจะพาคุณไปว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำในอาคารเท่านั้น”
“ไม่มีปัญหาค่ะ พรุ่งนี้เจอกันที่สระว่ายน้ำชานเมืองตะวันตกนะคะ อย่าลืมพาประธานไป๋มาด้วยนะคะ” ฉีเยนเอ๋อร์ยิ้มเหมือนจิ้งจอกสาว
หลินหยางตกใจ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบนี้ เธอต้องคิดจะทำอะไรแน่ๆ หลินหยางเดาใจไม่ถูก จึงเดินทางกลับบริษัท ในเวลานี้ไป๋เซียนเฉ่า
กำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียง ท่าทางเหมือนจะไม่สบาย
“เป็นอะไรหรือเปล่า” หลินหยางยื่นมือไปอังหน้าผากแล้วถาม
“ไม่เป็นไรค่ะ วันนี้ตั้งใจจะไปเป็นกำลังใจให้คุณสักหน่อย แต่กลับรู้สึกหมดแรง คงจะเป็นหวัดนิดหน่อยค่ะ” ไป๋เซียนเฉ่าพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง
หลินหยางยกแก้วน้ำเข้ามาแล้วพูด “หยุดพักเถอะ ดื่มน้ำเยอะๆ เดิมทีพรุ่งนี้ตั้งใจจะเลี้ยงข้าวฉีเยนเอ๋อร์ แต่เธอกลับบอกว่าอยากไปว่ายน้ำ”