คนอื่นๆ ที่ได้ยินแบบนั้นต่างก็ประหลาดใจ ทุกๆ คนต่างก็คิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นาๆ ขึ้นมา ไม่มีใครคิดว่าคนที่ลงมือสังหารหนูขโมยทั้งห้าจะเป็นยี่เทียนซิน ท้ายที่สุดแล้วยี่เทียนซินก็ได้ออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไป ในตอนที่นางออกไปพลังวรยุทธของนางเพิ่งจะฟื้นฟูมาได้เพียงแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น การที่จะใช้ชีวิตอยู่ในโลกยุทธภพคงจะเป็นอะไรที่ยากลำบากสำหรับนางด้วยซ้ำไป หรือว่านางฟื้นฟูพลังวรยุทธมาได้แล้วกัน นางทำอะไรกันแน่ถึงฟื้นฟูพลังได้รวดเร็วแบบนี้
ต้วนมู่เฉิงได้คารวะก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านอาจารย์เรื่องของหนูขโมยทั้งห้าที่เกิดขึ้นพวกเรารู้อยู่ก่อนแล้ว แต่เพราะท่านอาจารย์ยังคงเก็บตัวอยู่…พวกเราเลยไม่กล้ารบกวนท่าน…”
“ไม่เป็นไร” สภาวะแห่งสมาธิที่ลู่โจวใช้ทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ครั้งนี้มันแตกต่างจากครั้งอื่น แม้ว่าตัวเขาจะถูกรบกวนแต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็ไม่ได้ตื่นขึ้น เห็นทีตัวเขาจะต้องหาทางอื่นเพื่อรับมือกับเรื่องนี้ซะแล้ว
ฮั๊ววู่เด๋าได้พูดต่อ “ยี่เทียนซินเคยเป็นศิษย์ของศาลาปีศาจลอยฟ้ามาก่อน แม้ว่านางจะถูกเนรเทศไปแล้วแต่ถึงแบบนั้นนางก็ยังคิดถึงที่นี่ น่าสงสารลูกแกะที่หลงเดินทางผิดแบบนางจริงๆ “
เล้งลั่วได้พูดต่อ “มันเป็นความผิดของข้าเอง ถ้าหากข้าระวังตัวมากกว่านี้ข้าก็คงไม่ถูกม่อหลี่ควบคุมตัวเอาไว้ได้…”
คนอื่นๆ ได้หันไปจ้องมองเล้งลั่วด้วยความประหลาดใจ ครั้งหนึ่งชายคนนี้เคยมีชื่ออยู่บนจุดสูงสุดของบัญชีดำ ภาพที่พวกเขาทุกคนได้เห็นเป็นภาพที่หาดูได้ยากมาก การที่ผู้มีอำนาจและพลังกล้าตำหนิตัวเองแบบนี้ได้ไม่ใช่เรื่องอะไรที่เกิดขึ้นบ่อย แม้ว่ามันจะเป็นความผิดของเล้งลั่วแต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาซะทั้งหมด ยังไงซะคนร้ายที่แท้จริงที่กวาดล้างชาวมนุษย์เผือกไปก็คือแม่ทัพหลวงอย่างเหวยซู่หยานซะมากกว่า ตอนนี้เหวยซู่หยานตัวจริงได้ตายไปแล้ว ม่อหลี่ที่เป็นต้นเรื่องของทุกอย่างยังคงเก็บซ่อนตัวเองอยู่ในพระราชวัง ม่อหลี่ยังคงเป็นเป้าหมายสูงสุดที่เล้งลั่วคิดจะแก้แค้นให้ได้
ลู่โจวเหลือบมองไปที่ผู้อาวุโสทั้งสาม เนื่องจากพวกเขาทั้งหมดเป็นผู้ที่จะต้องรับมือกับการมาของหยวนดู่ดังนั้นการที่จะให้พวกเขากลับไปพักผ่อนคงจะเป็นความคิดที่ดีที่สุด “ผู้อาวุโสทุกท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นผู้อาวุโสทั้งสามก็ได้คารวะลู่โจว พวกเขาทั้งหมดจากไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรอีก
ในตอนนี้คนอื่นๆ ยังคงอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ ถ้าหากไม่ได้รับอนุญาตจากลู่โจว ทุกๆ คนก็ไม่กล้าที่จะจากห้องโถงแห่งนี้ไป
หยวนเอ๋อเป็นผู้ที่เดินไปหาลู่โจวก่อนที่จะพูดออกมาเป็นคนต่อไป “ท่านอาจารย์ ทำไมท่านไม่ไปตามหาศิษย์พี่ยี่ซะเลยล่ะ? “
“ไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนั้น” สายตาของลู่โจวจับจ้องไปที่สาวน้อย แม้ว่าลู่โจวจะไม่ได้โกรธแค้นอะไรยี่เทียนซิน แต่ถึงแบบนั้นท่าทีที่ตัวเขามีจะต้องชัดเจน
คนอื่นๆ ต่างก็ปิดปากเงียบไม่กล้าขอร้องอีกต่อไป
ลู่โจวได้แต่ใช้ความคิดอยู่กับตัวเอง ‘สิ่งที่ยี่เทียนซินทำก็คือการจัดการกับหนูขโมยทั้งห้าไป…นางคิดว่าการทำแบบนี้จะได้ประโยชน์จากศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นหรอ? แต่นางจัดการกับหนูขโมยทั้งห้าไปโดยที่ไม่มาที่นี่เพื่อหาตัวฉันเองด้วยซ้ำ แม้ว่านางจะไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนแต่สำหรับฉันผู้เป็นอาจารย์คนนี้คงจะเป็นฝ่ายติดต่อกับศิษย์ทรยศอย่างนางก่อนคงจะไม่ดีแน่’
ต้วนมู่เฉิงได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดต่อ “ท่านอาจารย์ ศิษย์รู้สึกกังวลเรื่องเกี่ยวกับศิษย์น้องสี่จริงๆ ที่นั่นเป็นถึงเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ นอกเหนือจากนั้น…”
ลู่โจวได้โบกมือก่อนจะพูดต่อ “ข้าคิดว่าไม่มีที่ไหนจะปลอดภัยไปกว่าพระราชวังแล้วล่ะ เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย”
“ศิษย์เข้าใจแล้ว”
ถ้าหากพระราชวังไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด จนถึงตอนนี้ลู่โจวก็คงจะขี่หลังของวิซซาร์ดไปเพื่อเอาชีวิตของม่อหลีไปแล้ว ตัวเขาคงจะไม่เปิดโอกาสให้ม่อหลี่สร้างปัญหาได้มากถึงขนาดนี้แน่ นอกจากนี้เจียงอาเฉียนยังบอกเองว่าจะดูแลศิษย์ทั้งสอง ดังนั้นคงจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
ในตอนแรกลู่โจวต้องการที่จะศึกษาพลังวิเศษพลังที่สาม แต่เมื่อตัวเขาจำสิ่งที่หยวนดู่พูดก่อนจะเสียชีวิตไป ตัวเขาก็ได้แต่แอบถอนหายใจออกมา ลู่โจวได้เหลือบมองไปที่แต้มบุญที่มีอยู่
การตายของหยวนดู่ได้ทำให้ตัวเขาได้รับแต้มบุญ 1,500 มา เห็นได้ชัดว่าหยวนดู่เองก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของเขาที่ทำให้ลู่โจวได้รับรางวัลใหญ่ตอบแทน
‘เป็นความจริงอย่างงั้นหรอที่ไม่มีใครฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้? ไม่มีใครที่จะเอาชนะขีดจำกัดของอายุขัยที่มีเพียง 1,000 ปีได้จริงๆ อย่างงั้นหรอ? ‘ แม้หยวนดู่จะเป็นเหมือนกับคู่ปรับและยังเป็นคนที่มาจากในรุ่นเดียวกัน แต่การที่ตัวเขาจะโกหกเรื่องนี้มาตัวเขาก็คงจะไม่ได้อะไร ทันใดนั้นเองลู่โจวก็คิดถึงการตายของจีเทียนเด๋า บางทีจีเทียนเด๋าอาจจะตายเพราะพยายามที่จะฝึกฝนตัวเองให้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ แต่ตัวเขาล้มเหลวเลยต้องจบชีวิตลงไปซะก่อน
มนุษย์เผือก, เฉิงกวาง ความลับของชีวิตอันเป็นนิรันดร์…การงมซากศพจากแม่น้ำสวรรค์…ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่หยวนดู่เพียงคนเดียวที่พยายามหาความลับของชีวิตอันนี้…
ในตอนแรกลู่โจวไม่คิดที่จะสนใจปัญหาเรื่องนี้มาก่อนเลยเพราะว่าตัวเขามีการ์ดพลังชีวิตอยู่ แต่ถึงแบบนั้นเมื่อมองย้อนกลับไป บางทีการตายของจีเทียนเด๋าอาจจะไม่ใช่อะไรที่เรียบง่ายอย่างที่ตัวเขาเคยคิด แม้ว่าจะมีความช่วยเหลือของระบบแต่ถึงแบบนั้นมันอาจจะไม่เพียงพอที่จะทำให้ชีวิตของลู่โจวไม่ต้องจบลงเหมือนกับชีวิตของจีเทียนเด๋า ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าสาวกของตัวเขาไม่มีการ์ดพลังชีวิต ยังไงซะพวกเขาก็จะต้องมีอายุเพิ่มขึ้นในทุกๆ วันอยู่ดี ถ้าหากลูกศิษย์ทั้งหมดได้ตายจากไป แล้วลู่โจวจะไปหาแต้มบุญมาจากไหนได้อีก? ตัวเขาก็ได้แต่คิดทบทวน ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็คงจะพึ่งพาความช่วยเหลือของระบบไม่ได้ตลอดไป
ลู่โจวคิดเกี่ยวกับเรื่องของยู่ฉางตงและยู่เฉิงไห่ขึ้นมาเช่นกัน ศิษย์ทั้งสองหลังจากที่ออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไปก็ฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบ ตลอดหลายปีมานี้ด้วยความสามารถที่ทั้งสองคนมี พวกเขาเองจะยังค้นหาเคล็ดลับที่จะทำให้ฝึกฝนตัวเองจนมีพลังร่างอวตารดอกบัวเก้ากลีบเหมือนกับหยวนดู่บ้างรึเปล่า?
‘อะไรคือความลับที่ซ่อนอยู่ของขั้นที่แปดและขั้นที่เก้ากัน? ‘
“ไปตามฉินจานมาหาข้าซะ”
“ครับ”
ครู่ต่อมาฝานซงก็ได้พาฉินจานมาที่ห้องโถงใหญ่
ฉินจานองค์ชายแห่งพลังลมปราณได้มาถึงแล้ว…เมื่อเขาได้เข้ามาที่ห้องโถงใหญ่ ฉินจานก็เห็นฝูงชนที่รวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นแบบนั้นตัวเขาก็รู้สึกประหม่าจนใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ ตัวเขาได้พูดออกมาด้วยปากอันสั่นเครือ “ท่านผู้อาวุโส…”
“ในอดีตเจ้าเคยทำงานที่น่าอับอายแบบไหนให้กับยู่เฉิงไห่มากัน? ” ลู่โจวได้ถามเข้าเรื่องในทันที
“พูดออกมาซะ! ” หยวนเอ๋อตะคอกใส่ฉินจานด้วยเช่นกัน
ฉินจานที่พยายามสงบสติอารมณ์ถูกเสียงของหยวนเอ๋อทำให้ตกใจอีกครั้ง ตัวเขาได้เดินถอยไปเล็กน้อยก่อนที่จะโบกมืออย่างเร่งรีบ “ท่านผู้อาวุโส นี่ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดแล้วแน่ๆ …ข้าไม่เคยช่วยอะไรท่านยู่เฉิงไห่ทำเรื่องที่น่าอับอายมาก่อนเลย! เขาเป็นแขกของคฤหาสน์ข้าเพียงแค่สามครั้งเท่านั้น สิ่งที่ข้าได้ทำทั้งหมดมีเพียงการส่งข้อมูลให้กับเขาเท่านั้น ทุกครั้งที่ท่านยู่เฉิงไห่มาเขาก็แค่ต้องการเดินเล่นอยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าข้าจะเคยส่งข้อมูลให้กับเขาแต่ข้าก็ไม่เคยพูดถึงศาลาปีศาจลอยฟ้ามาก่อน ได้โปรดคิดทบทวนเรื่องนี้ด้วยท่านผู้อาวุโส! “
“ข้อมูลอะไรกัน? ” ลู่โจวได้ถามออกมา
“ข้อมูลเกี่ยวกับทหารองครักษ์กับเรื่องของม่านพลังทั้งสิบเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีสถานการณ์ภายในเมืองอันยางกับเมืองทางตอนเหนือ และ…และ…” ฉินจานได้เก้าหัวก่อนที่จะพูดต่อ “แล้วก็เรื่องขององค์ชายทั้งห้า”
“องค์ชายอย่างงั้นหรอ? “
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไมท่านยู่ถึงสนใจเรื่องขององค์ชายกัน” ฉินจานพูดเสริม
“พูดต่อซะ” เจตนาของลู่โจวยังคงชัดเจน ‘คลายทุกอย่างออกมาซะฉินจาน’
ศาลาปีศาจลอยฟ้าเคยช่วยฉินจานมาก่อน เป็นธรรมดาที่ฉินจานจะรู้เรื่องกฎหรือแม้แต่ชื่อเสียงที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ามีดี ตัวเขาไม่กล้าที่จะปกปิดอะไรออกมาแน่ “ข้าพูดความจริงทุกอย่าง…ครั้งล่าสุดที่ท่านยู่มาที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลาเดือนก่อน ตัวเขาได้บอกเอาไว้ว่าจะต่อสู้กับศิษย์น้องของตัวเองอย่างดาบปีศาจ นอกเหนือจากนั้นตัวเขาไม่ได้พูดอะไรกับข้าอีกเลย ให้ข้าสาบานต่อสวรรค์ก็ย่อมได้! “
ลู่โจวได้ลูบเคราของตัวเองในขณะที่คิดเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าประโยชน์ของฉินจานจะหมดลงแค่ตรงนี้ ตัวเขาเคยคาดเดาความทะเยอทะยานของยู่เฉิงไห่มาตั้งแต่ต้นแล้ว เห็นได้ชัดว่ายู่เฉิงไห่ได้เตรียมการเกี่ยวกับเรื่องในอนาคตมาตั้งแต่แรก ตัวเขาได้เรียนรู้เรื่องของทหารองครักษ์รวมไปถึงม่านพลังทั้งสิบ นอกจากนี้ความวุ่นวายที่เมืองอันยางและเมืองทางตอนเหนือจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาแน่
“เจ้านั่นจะสู้กับยู่ฉางตงอย่างงั้นหรอ? “
“ท่านยู่เฉิงไห่และท่านยู่ฉางตงต่างก็เป็นศิษย์ของศาลาปีศาจลอยฟ้า พลังของทั้งคู่ต่างก็ถือเป็นของจริง บางทีคนที่มีพรสวรรค์ก็อยากที่จะวัดกันว่าใครกันแน่ที่จะอยู่เหนือกว่า”
ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ามีกฎเหล็กอยู่ข้อหนึ่ง กฎเหล็กที่ว่านั่นก็คือห้ามไม่ให้มีการต่อสู้กันเองโดยเด็ดขาด
ในตอนที่ทั้งคู่อยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าในอดีต พวกเขาต่างก็เคารพซึ่งกันและกัน แล้วทำไมทั้งสองคนถึงได้เปลี่ยนกลายเป็นศัตรูกันแบบนี้หลังจากที่ออกจากที่ไหนไปล่ะ?
“เวลาและสถานที่ล่ะ? ” ลู่โจวได้ถามออกมา
“ข้าคิดว่าคงจะเป็นอีกสี่เดือนต่อจากนี้ ส่วนสถานที่ข้าเองก็ไม่อาจทราบได้”
พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นจอมวายร้ายที่แสนน่ากลัว ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าพวกเขาจะต่อสู้ตัดสินกันที่ไหนกันแน่
ลู่โจวได้ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเดินลงมาจากบัลลังก์ ตัวเขาได้มองไปที่ฉินจานก่อนที่จะถามออกมา “เจ้ารู้ไหมว่ายู่เฉิงไห่มีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นไหนกันแน่? “
ฉินจานไม่กล้าที่จะสบตากับลู่โจว ตัวเขาได้แต่ส่ายหัว พลังวรยุทธที่แต่ละคนมีถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องปกติที่ผู้ฝึกยุทธจะไม่เปิดเผยพลังของตัวเองต่อหน้าผู้อื่น
“ลืมมันไปซะเถอะ” ลู่โจวได้โบกแขน “วันนี้ข้ามีเรื่องที่จะถามแค่นี้แหละ”
“ถ้าหากเป็นแบบนั้นข้าขอตัวก่อน”
“ศิษย์เองก็ขอตัวเช่นกัน”
หลังจากนั้นคนอื่นๆ ก็จากไป ลู่โจวได้หันมาเปิดเมนูระบบขึ้นมา
แต้มบุญ: 1,500
‘นี่มันความยากจนระดับสิ้นหวังเลยสินะ’