ทันทีที่ยี่ฉีชิงกระโดดออกไปนอกหน้าต่าง สีวู่หยาก็รู้ตัวว่าตัวเขาได้ตัดสินใจพลาดไป ตั้งแต่ที่ออกมาจากกระท่อมอันแสนเงียบสงบตัวเขาก็เจอกับปัญหามาโดยตลอด! ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ได้จ้องมองไปที่ใครคนนั้นก่อนที่จะพูดออกมา “ล่อเสือออกจากถ้ำอย่างงั้นหรอ?”
“สีวู่หยา?” ชายคนนั้นได้หันกลับมาอย่างช้าๆ เขาสวมใส่ที่ปิดตาสีดำไว้ที่ดวงตาข้างซ้าย สีวู่หยาได้แต่สงสัยว่าชายคนนี้ตาบอดจริงๆ ไหม ที่หน้าตาเขามีหนวดเคราหนาเตอะ ใบหน้าดูผ่านการฝึกฝนอย่างหนักมา ที่เอวของเขาพกกระบี่อยู่ ชายคนนั้นเหยียดหลังตรง ชายตาเดียวได้พูดออกมา “สวัสดี”
สีวู่หยามองไปที่ซ้ายและทางขวา มีคนมากกว่าสิบคนที่กำลังซุกซ่อนตัวอยู่รอบตัวของเขา สีวู่หยาได้ตอบกลับมา “ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเราจะได้พบกัน”
“ไม่เป็นไร ยังไงข้าก็มั่นใจว่าเจ้าจะจดจำข้าได้…” ฮั่นยูวานได้ปรบมือของตัวเอง ในตอนนั้นคนของเขากว่าสิบคนก็ได้พุ่งหาสีวู่หยา
สีวู่หยาไม่ได้ต่อต้านอะไร เขายอมถูกจับแต่โดยดี สีวู่หยาได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ฆ่าข้าอย่างงั้นหรอ?”
“ไม่จำเป็นจะต้องรีบร้อน พาเขาไปซะ” ฮั่นยูวานและลูกน้องทั้งสองได้พาสีวู่หยาออกไปจากศาลาแห่งนั้นไป ทั้งหมดได้ขึ้นรถม้าก่อนที่จะแล่นไปยังเมืองหรงเป่ย
1 ชั่วโมงต่อมารถม้าก็ได้หยุดตัวลง
“ทางนี้” ฮั่นยูวานทำท่าเชิญชวน
สีวู่หยาได้กระโดดลงจากรถม้า ตัวเขาจ้องมองรอบตัวก่อนที่จะพูดออกมา “หมู่บ้านฤดูร้อนอย่างงั้นหรอ? เจ้ามาจากพระราชสำนักเองสินะ”
ฮั่นยูวานไม่ได้ปฏิเสธ ตัวเขาได้โบกมือขึ้นมา ในตอนนั้นลูกน้องทั้งสองคนก็ได้พาตัวสีวู่หยาไปที่ชั้นสองของลานที่อยู่ข้างๆ
เมื่อเดินมาถึงฮั่นยูวานก็ได้ยิ้มก่อนที่จะพูดออกมา “สภาพแวดล้อมที่นี่ดีกว่าที่ศาลาที่ท่านจากมามาก วิวทิวทัศน์เองก็สวยงามกว่าด้วยเช่นกัน”
สีวู่หยาไม่ได้คิดจะเกรงใจอะไร ตัวเขาทำตัวราวกับว่าที่นี่คือบ้านของเขา สีวู่หยาได้เดินตรงไปที่หน้าต่างบานใหญ่ก่อนที่จะนั่งลงอย่างใจเย็น แม้ว่ามือของเขาจะถูกมัดอยู่แต่ก็ไม่มีใครคิดขัดขวางการเคลื่อนไหวของสีวู่หยา
“ข้าแซ่ฮั่น ชื่อของข้าคือฮั่นยูวาน”
“หนึ่งในแปดแม่ทัพใหญ่ราชองค์รักษฮั่นยูวานสินะ ฮั่นยูวาน…แม่ทัพฮั่นหนึ่งในสิบสุดยอดหัวกะทิสินะ?” สีวู่หยาเคยศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับฮั่นยูวานมาก่อน
“เป็นไปตามคาด เจ้าสำนักแห่งความมืดว่ากันว่ามีความรู้กว้างขวาง อย่างไรก็ตาม…” ฮั่นยูวานเปลี่ยนหัวข้อการพูดคุย “ท่านรู้ไหมว่าข้ามีน้องชายที่ดูไร้ความหวังอยู่ด้วย ท่านเจ้าสำนักสี”
“น้องชายอย่างงั้นหรอ?”
สีวู่หยาขมวดคิ้ว ในตอนนั้นเองตัวเขาก็พยายามนึกถึงเรื่องที่เคยศึกษามา “ฮั่นยูฟางอย่างงั้นสินะ?”
ฮั่นยูวานพยักหน้า ใบหน้าของเขามีแต่ความคลุมเครือแสดงอยู่
ในตอนนั้นเองสีวู่หยาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “เป็นไปตามคาด เขาเป็นน้องชายของเจ้าจริงๆ สินะ เจ้าจะล้างแค้นแทนน้องชายสินะ?” สีวู่หยารู้สึกสงสัยความเชื่อมโยงระหว่างฮั่นยูวานกับฮั่นยูฟางมานานมากแล้ว แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่คิดว่าฮั่นยูวานจะคิดล้างแค้นให้กับน้องชายของตัวเองเพียงเพราะความสัมพันธ์กันทางสายเลือด
“ข้าเองก็เคยคิดเช่นนั้น แต่นั่นมันก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น” ฮั่นยูวานตอบกบลับมา
สีวู่หย่าพยักหน้า “ชายผู้ที่แอบอ้างว่าเป็นเจียงอาเฉียนแท้จริงแล้วก็เป็นคนของเจ้าด้วยสินะ?”
“ถูกต้องแล้ว”
“เจ้าจงใจปล่อยข่าวเท็จก็เพื่อที่จะหลอกล่อข้ามาสินะ?”
“ท่านฉลาดจริงๆ” ฮั่นยูวานพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “คนฉลาดๆ อย่างท่านมักจะเชื่อว่าตัวเองไม่เคยทำอะไรผิดพลาด คนอย่างท่านชอบใช้จุดอ่อนของผู้อื่นเพื่อบีบบังคับทำลายศัตรูไป ดังนั้นข้าก็เลยตัดสินใจใช้วิธีเดียวกันแบบท่านเพื่อให้ท่านได้รับรู้ความรู้สึกนี้เอง”
“ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินพลังขององครักษ์จักรพรรดิต่ำไป” สีวู่หย่าได้พูดออกมาอย่างใจเย็น
“ผู้ที่เดินอยู่ริมน้ำไม่อาจที่จะหลีกหนีไม่ให้รองเท้าต้องเปียกได้หรอกนะ…ข้าจะบอกความจริงกับท่านให้ก็ได้ ข้าได้พยายามตามหาตัวท่านมากว่าหลายสิบครั้งแล้วท่านเจ้าสำนักสี แม้ว่าจะล้มเหลวนับสิบ แต่นั่นก็ไม่สำคัญถ้าหากตราบใดที่ข้าทำสำเร็จ ความสำเร็จเพียงครั้งเดียวเท่านั้นคือสิ่งที่ข้าต้องการ” ฮั่นยูวานพูด
“อันที่จริงข้าไม่ทันที่จะระวังตัวเรื่องเกี่ยวกับเจียงอาเฉียน” สีวู่หยาพูดขึ้น
ฮั่นยูวานพูดต่อ “ไม่ว่าองค์จักรพรรดิ, องค์ชายองค์ที่สองจะอยากให้ข้าทำหน้าที่ผู้คุ้มกันแค่ไหนก็ตาม ข้าก็แค่เล่นไปตามบทเท่านั้น ข้าไม่ได้สนใจหรอกว่าพวกเขาจะหลอกใช้ข้าไหม ถ้าหากท่านไม่ได้สนใจเรื่องของเจียงอาเฉียน พวกเราก็คงจะไม่ได้พบกันแบบนี้”
สีวู่หยาได้ถามออกไปด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม “ใครกันที่พยายามจะกำจัดข้ากันแน่”
ฮั่นยูวานส่ายหัว ตัวเขาได้พูดออกมาด้วยท่าทีสบายๆ “หลังจากที่ท่านได้ตายไป ข้าจะเขียนคำตอบใส่ในหลุมฝังศพให้กับท่านเอง”
“ทำไมเจ้าจะต้องทำอะไรแบบนั้นด้วยล่ะ?”
“แน่นอนว่ามันเป็นเพียงแค่ความเพลิดเพลินส่วนตัวของข้า ท่านเจ้าสำนักสีได้โปรดอย่าใส่ใจ”
“เพลิดเพลินอย่างงั้นหรอ?”
“ท่านมาจากศาลาปีศาจลอยฟ้า…ท่านคิดยังไงกับหมู่บ้านนี่กัน? ทิวทัศน์ของมันเป็นยังไงบ้าง? สถานที่อันสวยงามเช่นนี้…ช่างน่าเสียดายที่จะต้องมีคนหลั่งเลือด” ฮั่นยูวานที่นั่งตรงข้ามสีวู่หยาได้พูดขึ้น
ลูกน้องของฮั่นยูวานยังคงอยู่ใกล้ๆ กับสีวู่หยา แม้ว่าพวกเขาจะติดตามฮั่นยูวานมานานแล้ว แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ยังสั่นกลัวเมื่อได้ฟังคำของเขา
ฮั่นยูวานยังพูดต่อไป “คนที่แอบอ้างเป็นเจียงอาเฉียนและได้ส่งจดหมายไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้ว…ข้าหวังว่าอาจารย์ของท่านจะมาดูการแสดงครั้งนี้ด้วย”
“หืม?” สีวู่หยาได้พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา “แม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่ของข้ายังไม่กล้าพอที่จะยั่วยุศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ เจ้ากำลังขุดหลุมฝังศพตัวเองแท้ๆ”
ฮั่นยูวานได้หัวเราะก่อนจะพูดออกมาอย่างมั่นใจ “อย่างที่ข้าได้พูดเอาไว้ ผู้ที่มีปัญญาหลักแหลมมักจะคิดว่าตัวเองไม่มีวันที่จะทำผิดพลาด และนั่นมันเป็นความจริง…ยังไงท่านก็คงจะไม่ได้มีชีวิตอยู่อีกต่อไป”
สีวู่หยาเองก็หัวเราะออกมา “เจ้าแน่ใจแล้วหรอว่าจะทำสำเร็จน่ะ?”
ฮั่นยูวานได้กางแขนก่อนที่จะพูดขึ้น “ท่านน่ะสูญเสียพลังวรยุทธที่มีไปหมดแล้ว นอกจากนี้ข้ายังมีลูกน้องกว่าสิบคนคอยคุ้มกันอยู่ ถ้าหากท่านคิดจะตุกติกแล้วล่ะก็หัวของท่านก็จะตกลงสู่พื้นในทันที ข้าจำเป็นจะต้องอธิบายรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับผลลัพธ์นั้นด้วยไหม?”
“ข้าประทับใจจริงๆ” สีวู่หยาพูดขึ้น
“เอาเหล้ามา”
ลูกน้องของฮั่นยูวานรีบไปเอาเหล้าดีๆ มา
ฮั่นยูวานได้รินเหล้าลงในถ้วย ท่าทีของชายคนนี้ดูไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป
คนอื่นๆ ต่างก็คิดว่าฮั่นยูวานวางแผนที่จะคุยกับสีวู่หยาพร้อมกับดื่มเหล้าไปด้วย แต่นั่นกลับคิดผิดมหันต์ ฮั่นยูวานได้ยกถ้วยเหล้าขึ้นมาก่อนที่จะสะบัดมันไปที่ด้านหน้า
เหล้าได้กระเซ็นโดนใบหน้าของสีวู่หยา
ฮั่นยูฉานได้หันไปพูดกับลูกน้องของตัวเขา “นี่คือเจ้าสำนักแห่งความมืด สำนักที่มีเครือข่ายข้อมูลที่กว้างไกลไปทั่วทุกดินแดน ชายคนนี้ยังเป็นศิษย์คนที่เจ็ดของศาลาปีศาจลอยฟ้าอีกด้วย”
‘เจ้านี่คิดว่าตัวเองเก่งมากสินะ? ถ้าหากข้ามีพลังวรยุทธอยู่เจ้านี่ก็คงไม่อาจเอาชนะข้าได้ ถ้าหากข้าสู้กลับไปได้ล่ะก็…’
“ท่านแม่ทัพ ทำไมพวกเราไม่สับร่างของสีวู่หยาให้กลายเป็นชิ้นๆ ไปเลยล่ะครับ? แค่ข้าได้เห็นหน้าเขาข้าก็รู้สึกรำคาญใจจะแย่อยู่แล้ว” ลูกน้องคนหนึ่งของฮั่นยูวานได้พูดออกมาจากด้านข้าง
ฮั่นยูวานโบกมือ “ข้าถูกสั่งเอาไว้ว่าไม่ให้ใครหน้าไหนแตะต้องแม้แต่เส้นผมของเขา แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น…ก็ไม่มีใครห้ามไม่ให้ข้าสาดเหล้าใส่ชายคนนี้ได้”
สีวู่หยาได้ยิ้มก่อนที่จะพูดออกมา “ถ้าหากนี้คือทั้งหมดที่เจ้าอยากจะทำ ข้าเกรงว่าเจ้าคงจะต้องรู้สึกผิดหวังแน่” สีวู่หยาพยายามรวบรวมข้อมูลจากคำพูดที่ฮั่นยูวานได้พูดเอาไว้ ดูเหมือนว่าฮั่นยูวานกำลังทำตามคำสั่งของใครสักคน
องครักษ์มักจะทำตามคำสั่งขององค์จักรพรรดิมาโดยตลอด มีใครกำลังทำหน้าที่อยู่เบื้องหลังองค์จักรพรรดิอย่างงั้นหรอ? บางทีอาจจะมีใครสมรู้ร่วมคิดกับฮั่นยูวานเพื่อที่จะพาตัวเขามาที่นี่ก็เป็นได้
ฮั่นยูวานได้พูดออกมา “แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ทั้งหมดแน่ เจ้าจะต้องดูการแสดงที่แม้แต่การตายก็ยังไม่สามารถทำให้เจ้าลืมเลือนได้…”
ในขณะเดียวกัน
ชายชราและสาวน้อยก็ได้ปรากฏตัวที่เมืองหรงเป่ย
“ท่านอาจารย์ ทำไมพวกเราไม่ตรงไปยังที่หมายโดยตรงเลยคะ?” หยวนเอ๋อได้ถามออกมา
“ไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนั้น” ลู่โจวตอบกลับ
จ้าวยู่และหมิงซี่หยินคงจะไม่เลือกไปที่ที่ล่าสัตว์โดยตรงแน่ ไม่ว่าองค์ชายสองจะโง่สักแค่ไหน เขาเองก็คงจะไม่ไปที่นั่นเช่นกัน
“แล้วพวกเราจะไปที่ไหนกันคะ?”
“พวกเราจะต้องหาที่พักกันก่อน” ลู่โจวตอบกลับ
“ศิษย์จะหาให้ท่านเอง!”
“หยวนเอ๋อ…” ลู่โจวได้พูดออกมาในระหว่างที่หยวนเอ๋อกำลังจะเร่งความเร็ว
“มีอะไรหรอคะท่านอาจารย์?”
“อย่าไปไกลเกินจำเป็น…จิตใจของมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง” ลู่โจวได้พูดขึ้น
“ค่ะ” หยวนเอ๋อพยักหน้าตอบรับ นางรู้สึกดีใจมากที่ผู้เป็นอาจารย์รู้สึกเป็นห่วงนาง
ทั้งสองคนใช้เวลาไม่นานมากนักก็หาโรงเตี๊ยมขนาดเล็กเป็นที่พักได้
เมื่อตกดึก ลู่โจวก็กลับมาดูเวลาที่คูลดาวน์อยู่ ในตอนนี้เหลือเวลามากกว่าห้าวันด้วยกัน ดูเหมือนว่าตัวเขาจะต้องพึ่งพาเล้งลั่ว, หมิงซี่หยิน และเจียงอาเฉียนซะแล้ว ถ้าหากมีความจำเป็นจริงๆ ลู่โจวก็จะปลดปล่อยพลังวิเศษของเขาออกมาก่อนที่จะหนีโดยใช้วิซซาร์ด
‘เดี๋ยวก่อนนะ มีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง’ ในตอนนั้นลู่โจวก็เกิดความคิดโง่ๆ ขึ้นมาอีกครั้ง ตัวเขาเป็นถึงปรมาจารย์มหาวายร้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า ตัวเขามีพลังวิเศษที่มีไว้เพื่อปกป้องศิษย์สาวกของตน แล้วทำไมจะต้องหนีด้วย?