ยู่เฉิงไห่และยู่ฉางตงต่างก็ลอยขึ้นไปบนอากาศ ทั้งสองคนกำลังเผชิญหน้ากันจากในระยะไกล
อาวุธของทั้งคู่ได้สั่นสะเทือนไปมาจากพลังที่ไหลอาบ
พรึ๊บ!
ทั้งสองได้หายไปในเวลาเดียวกัน ในวินาทีถัดมาพวกเขาก็ได้ปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง ทั้งสองได้เข้าปะทะกันที่กลางทะเลสาบร้อยกลีบ
หลังจากที่ปะทะกันเกิดระเบิดพลังเป็นแนวกว้างครั้งใหญ่ พลังจากแรงระเบิดได้แยกทั้งสองฝ่ายให้กระเด็นกลับไปเล็กน้อย คลื่นพลังที่กระเพื่อมออกมาได้ทำให้น้ำในทะเลสาบถูกแยกออกมาเป็นสองฝั่ง น้ำทะเลสาบที่ทนรับพลังไม่ไหวส่วนหนึ่งได้พุ่งขึ้นไปบนอากาศ
หลังจากนั้นเหนือทะเลสาบก็เต็มไปด้วยดาบพลังงานจำนวนมาก ดาบทุกเล่มถูกสร้างขึ้นมาจากหยดน้ำของทะเลสาบแห่งนี้ ไม่นานนักดาบทั้งหลายก็ได้พุ่งตรงไปหายู่ฉางตง ดาบพลังงานได้พุ่งตรงมาหาตัวเขาอย่างไม่ลดละ ดาบพลังงานนั้นล้อมรอบตัวของยู่ฉางตงไปเป็นที่เรียบร้อย ยู่ฉางตงในตอนนี้กำลังลอยอยู่ท่ามกลางดาบพลังงานโดยที่หลับตาเอาไว้ แม้ว่าจะปิดการมองเห็นไปแต่ดาบพลังงานทั้งหมดก็ยังอยู่ไกลเกินกว่าที่จะโจมตีโดนยู่ฉางตงได้อยู่ดี
สีวู่หยาได้แต่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เหมาะที่จะอยู่ใกล้ ตัวเขาตัดสินใจที่จะถอยกลับไปจากจุดที่ยืนอยู่ ‘ทำไมพวกเขาถึงต้องทำแบบนี้ด้วย? มันจะไม่ดีกว่าหรอกถ้าหากทิ้งการใช้พลังลมปราณไปและนั่งพูดคุยกันเหมือนเมื่อก่อนแทนน่ะ?’
สีวู่หยาได้พุ่งตรงไปทางอื่นด้วยการก้าวกระโดดอย่างง่ายๆ ตัวเขาได้ถอยออกมากว่าหลายไมล์ก่อนที่จะหยุดลงบนยอดเขาแห่งหนึ่ง ตัวเขาได้นั่งอยู่บนยอดเขาแห่งนั้นก่อนที่จะควบคุมลมหายใจและสมาธิของตัวเอง แม้ว่าจะโคจรพลังลมปราณของตัวเองอยู่แต่ตัวเขาก็ยังแอบดูการต่อสู้เป็นครั้งคราว “ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็คงจะต้องเกิดขึ้นแล้ว! แค่สู้กันอย่างสุดฝีมือ…การต่อสู้นี่ไม่มีวันที่จะจบลงได้แน่”
สีวู่หยารู้ดีว่าทั้งสองฝ่ายแข็งแกร่งแค่ไหน การต่อสู้ครั้งนี้คงจะกินเวลาต่อไปอีกสักพัก สีวู่หยาตัดสินใจที่จะพักผ่อนจนกว่าช่วงเวลาตัดสินจะมาถึง
เหนือทะเลสาบร้อยกลีบ ดาบพลังงานได้ปกคลุมทั่วทั้งผืนผ้าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ถอยเร็วเข้า!” ฮั่วขงหยางได้ยกมือสั่งการออกมาอีกครั้ง ดูเหมือนว่าการปะทะกันครั้งนี้จะดูน่ากลัวมากกว่าเดิม
ไป่ยู่ชิงมองไปที่ทั้งสองคนด้วยสายตาอันซับซ้อน “นี่คือพลังที่ยอดฝีมือผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบสามารถใช้ได้อย่างงั้นหรอ?”
“ข้าคิดว่ามันก็แค่พลังส่วนหนึ่งก็เท่านั้น” ฮั๊วจงหยางเหลือบมองไปที่ผู้พิทักษ์ทั้งสามก่อนที่จะพูดออกมา “ยังหรอก พวกเขายังไม่ได้ใช้พลังอวตารออกมาซะด้วยซ้ำ”
ทั้งสามที่ได้ยินแบบนั้นต่างก็พยักหน้า ถ้าหากทั้งสองคนตัดสินใจที่จะปลดปล่อยพลังอวตารและพลังสุดยอดเคล็ดวิชาออกมาจริง การต่อสู้ในครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้างมากแค่ไหนกัน?
รถม้าลอยฟ้าได้บินถอยกลับไปขึ้นไปบนฟ้า
ยู่ฉางตงได้ลืมตาขึ้นมาแล้ว
ดาบพลังงานทั้งหมดล้วนแข็งตัว ดาบพลังงานทั้งหมดถูกดาบยืนยาวควบคุมเอาไว้ ดาบทุกเล่มล้วนแต่สั่นสะเทือนก่อนที่จะเริ่มการโจมตีประสาน
การต่อสู้เริ่มเข้มข้นขึ้น!
เหนือผืนทะเลสาบปกคลุมไปด้วยดาบพลังงาน
ดาบพลังงานของทั้งสองฝ่ายต่างก็โจมตีปัดป้องดาบพลังงานกันและกัน พลังที่เกิดจากแรงปะทะได้กระเพื่อมไปรอบๆ ผลจากการต่อสู้ของทั้งสองคนแผ่กระจายไปยังฝั่งทะเลสาบ ต้นไม้ขนาดใหญ่ใกล้ๆ กับทะเลสาบต่างก็โดนลูกหลงจากพลังไปด้วยเช่นกัน
ร่างของยู่ฉางตงและยู่เฉิงไห่ได้หายไปยังใจกลางทะเลสาบ
เหล่าผู้ชมรู้ดีว่าพวกเขาทั้งคู่ไม่ได้หายกันไปจริงๆ ทั้งสองคนกำลังเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงสุดอย่างไม่น่าเชื่อ มันเป็นความเร็วที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สิ่งเดียวที่ผู้ชมสามารถมองเห็นได้ก็คือดาบพลังงานที่ดูเหมือนจะปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้า มันเป็นการปะทะกันของดาบพลังงานจำนวนมากนั่นเอง
การต่อสู้เช่นนี้เป็นเรื่องอะไรที่น่าเบื่อสำหรับลู่โจว ตัวเขาได้ส่ายและไม่ได้ลูบเคราอีกต่อไป ลู่โจวได้เดินกลับไปที่วิหาเมฆาก่อนที่จะเอามือไขว้หลัง
ต้วนชิงที่เห็นแบบนั้นก็ได้ถามออกมาด้วยความงุนงง “ท่านผู้อาวุโส…ทะ…ท่านไม่ต้องการตที่จะดูการต่อสู้แล้วหรอ?”
ลู่โจวไม่ได้สนใจอะไรเขา ตัวเขากลับไปยังที่พักก่อนที่จะนั่งสมาธิในทันที ลู่โจวได้เข้าสู่สภาวะแห่งสมาธิเพื่อทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ต่อไป
การต่อสู้เป็นไปตามที่ลู่โจวได้คาดหวังเอาไว้ พลังวรยุทธของยู่ฉางตงและยู่เฉิงไห่อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นการต่อสู้ของพวกเขาทั้งสองคงจะยืดเยื้อไปอีกนาน เมื่อลู่โจวตรวจสอบเวลาคูลดาวน์ที่มีมันยังเหลือเวลาอีก 3 วันกว่าๆ ด้วยกัน ตัวเขาหวังไว้ว่าการต่อสู้ของศิษย์ทั้งสองจะยังไม่จบลงในเร็วๆ นี้
ในตอนนั้นเองแม่ชีคนสุดท้ายเสวียงจิ้งได้พูดออกมาจากด้านนอกห้อง “ท่านผู้อาวุโสจี”
“มีอะไรกัน?”
“มียอดฝีมือกำลังต่อสู้กันที่ทะเลสาบร้อยกลีบ และข้าคิดว่ามันอาจจะส่งผลกระทบกับวิหารเมฆาของข้าได้ดังนั้นข้าเลยอยากจะขอแนะนำท่านย้ายไปที่อื่นชั่วคราวผู้อาวุโสจี” เสวียงจิ้งได้ตอบกลับมา
“เจ้าเต็มใจที่จะเห้นวิหารเมฆาถูกทำลายหรือไม่?” ลู่โจวได้ตอบกลับมาด้วยคำถาม
“อืม…” เสวียงจิ้งในตอนนี้ยืนอยู่ใน่ลาน นางได้ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “วิหารเมฆาในปัจจุบันเป็นเพียงแค่วิหารที่ตกทอดมาจากอดีตเท่านั้น ในตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ถ้าหากมันถูกทำลายไปข้าก็คงไม่เสียดายอะไร”
ลู่โจวได้ตอบกลับมา “ข้าเข้าใจแล้ว” ตัวเขาไม่ได้บอกตกลงว่าจะเปลี่ยนสถานที่ดีไหม
เสวียงจิ้งรู้ดีว่าการจะถามออกมาอีกครั้งเป็นการเสียมารยาท ดังนั้นนางจึงหันหลังกลับก่อนที่จะเดินจากไปแทน
ในเวลาเดียวกันต้วนชิงก็เดินเข้ามาที่หน้าห้องของลู่โจว ตัวเขาได้ทักทายเสวียงจิ้งก่อนที่จะเดินเข้ามาหาลู่โว “ผู้อาวุโส…ข้ายังมีม่านพลังที่สามารถใช้ได้ในวิหารเมฆาแห่งนี้ ถ้าหากพวกเราใช้ด้วยพลังวรยุทธที่ข้ามีรวมเข้ากับระยะที่อยู่ห่างไกล เป็นไปได้ว่าพวกเราจะไม่ถูกลูกหลงได้ ท่านจะให้ข้า…”
“ไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนั้น” ลู่โจวได้พูดแทรกขึ้น
“ข้าเข้าใจแล้ว” ถ้าหากม่านพลังถูกใช้งานขึ้น การทำแบบนั้นก็เท่ากับประกาศให้ศิษย์ทรยศทั้งคู่รู้ว่ามียอดฝีมืออยู่ที่วิหารเมฆา ในตอนนี้ไม่มีผู้ฝึกยุทธที่ไม่ใช่ยอดฝีมืออยู่ใกล้แน่ ถ้าหากทำแบบนั้นจริงความพยายามของลู่โจวที่เฝ้าอดทนรอก่อนหน้านี้คงจะต้องสูญเปล่าแน่
ลู่โจวได้หลับตาก่อนที่จะทำสมาธิอีกครั้ง ตัวเขามีทั้งความรู้และประสบการณ์ที่มีมากกว่าพันปี ดังนั้นลู่โจวจึงคุ้นเคยกับการต่อสู้เช่นนี้ดี…แต่สำหรับคนอื่นแล้วไม่ใช่แบบนั้น การที่พวกเขาจะมีโอกาสได้ชมการต่อสู้ยอดฝีมือระดับสุดยอดแบบนี้ไม่ใช่โอกาสที่จะเกิดขึ้นได้บ่อย การที่จะได้สัมผัสและได้เรียนรู้จากการต่อสู้ได้คงจะต้องมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย
นั่นคือเหตุผลที่ต้วนชิงและสี่สุดยอดผู้พิทักษ์แห่งสำนักอเวย์จียังคงเฝ้ามองการต่อสู้ตลอดทั้งคืน
วันที่สองได้มาถึง…
ลู่โจวลืมตาขึ้นมาก่อนที่จะจ้องมองระบบ ตัวเขาได้ตรวจสอบสถานะดูอีกครั้งก่อนที่จะเหลือบดูการต่อสู้ที่ทะเลสาบร้อยกลีบเช่นกัน ภูเขาที่เคยซ้อนกันอยู่ที่นอกหน้าต่างตอนนี้ถูกเปลี่ยนไปแล้ว ดูเหมือนว่าหุบเขาสีม่วงจะสูญเสียความสูงที่มันเคยมีไปกว่าครึ่ง นอกจากนี้ป่ารอบๆ ทะเลสาบร้อยกลีบก็ยังหายไป ที่ยอดเขาเองก็ไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่ ดูเหมือนวิหารเมฆาจะเป็นสถานที่สุดท้ายที่ยังไม่ได้รับอันตรายไป
ลู่โจวคิดว่าพวกเขาจะต้องโยกย้ายไปที่อื่นแน่ถ้าหากวิหารเมฆาได้รับความเสียหายในครั้งนี้ ใครจะไปรู้ว่าศิษย์ทรยศจะไม่กล้าแตะต้องแม่ชีแห่งวิหารเมฆากัน? เห็นได้ชัดว่าทั้งสองพยายามจงใจหลีกเลี่ยงไม่โจมตีวิหารแห่งนี้
เหตุใดทำไมผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบถึงมีพลังมากมายขนาดนี้? ในตอนนี้คำตอบทุกอย่างได้ถูกแสดงให้กับทุกคนที่ได้เฝ้ามอง
ต้วนชิงเกาใบหน้าตัวเอง ดูเหมือนว่าตัวเขาจะรู้สึกชาไปทั้งตัวจึงเริ่มตบหน้าตัวเอง
ผั๊วะ!
‘โอ๊ย! นี่มันเรื่องจริงอย่างงั้นสินะ!’
ยู่เฉิงไห่และยู่ฉางตงได้ต่อสู้กันมาตลอดทั้งวันทั้งคืน ในตอนนี้ทั้งคู่ได้เปลี่ยนสถานที่ต่อสู้จากทะเลสาบร้อยกลีบไปยังป่าเมฆากระจ่างแทนแล้ว
เหล่านกและสัตว์ร้ายนับพันต่างก็หนีไปด้วยความหวาดกลัว สัตว์ร้ายที่ไม่อาจหลีกหนีได้ทันถูกสังหารไปเป็นครั้งคราว
อีกวันผ่านไป ลู่โจวได้ลืมตาตื่นขึ้นมาเช่นเดิม
ในวันนี้เงียบกว่าเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีเสียพลังที่เข้าปะทะกันอีกต่อไป เสียงการต่อสู้ลดลงอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่ผ่านไปสองวันสองคืนด้วยกัน ทุกๆ คนต่างก็สงสัยกับเรื่องนี้
ลู่โจวลุกขึ้นยืนก่อนที่จะมองไปยังทะเลสาบร้อยกลีบ
ยอดเขาของหุบเขาสีม่วงทั้งสองหุบเขาถูกแต่ละคนยึดครองเอาไว้ ดูเหมือนว่าการต่อสู้ที่รุนแรงจะหยุดตัวลง
กระบี่นิลโลหิตกำลังโฉบไปทางขวาของมือยู่เฉิงไห่ ในตอนนั้นเองดาบยืนยาวก็ได้เลื่อนไปด้านหน้าของยู่ฉางตง “ศิษย์น้องรอง…เจ้าเหลือพลังลมปราณเท่าไหร่กันแน่?” ยู่เฉิงไห่ได้ถามออกมาอย่างเยือกเย็น
“ข้าแทบที่จะไม่ได้ใช้พลังไปเลย แล้วท่านละศิษย์พี่ใหญ่?” ยู่ฉางตงได้ตอบกลับมาก่อนที่จะถามด้วยรอยยิ้ม
“ข้าเองก็เช่นกัน…”
ยู่ฉางตงได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “งั้นพวกเรามาเอาจริงกันเถอะ
“นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าต้องการ”
ช่วงเวลาที่เสียงของทั้งคู่เงียบดับไป ในตอนนั้นก็เกิดการเคลื่อนไหวอีกครั้ง
หวืดดด!
หวืดดด!
ในตอนนั้นเองก็เกิดเสียงสะท้อนขึ้นในอากาศ อวตารที่สูงกว่า 100 ฟุตได้สูงตระหง่านอยู่เหนือทั้งสองคน มีดอกบัวทองคำแปดกลีบหมุนอยู่ด้านหลังของอวตารทั้งคู่
นี่คือสัญลักษณ์ของผู้ที่สามารถฝึกฝนตนไปจนถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ได้ มันคือพลังอวตารร้อยวิถีนั่นเอง พลังอวตารที่มีดอกบัวแปดกลีบเป็นสัญลักษณ์ของร่างอวตารร้อยวิถีที่แข็งแกร่งที่สุด เมื่อเห็นแบบนั้นฮั๊วจงหยางก็ได้สั่งการออกมาอีกครั้ง “ถอยอีก 10 ไมล์ซะ!”
ในตอนนั้นเองสีวู่หยาก็ได้ส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจ “ในที่สุดก็เอาจริงกันสักที” สีวู่หยาลุกขึ้นยืนก่อนที่จะกระโดดถอยห่างด้วยเช่นกัน