ลู่โจวได้บินผ่านศาลาภายในหมู่บ้านไปด้วยวิซซาร์ด ตัวเขาได้หยุดไปชั่วครู่ก่อนที่จะจ้องมองลงไป
มีใครบางคนกำลังนอนจมกองเลือดของตัวเองอยู่บนพื้น แขนของชายคนนั้นเต็มไปด้วยเลือดก่อนที่จะลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า “ท่านเจ้าสำนัก…ข้าหวังว่าท่าจะไม่เป็นไร…”
ลู่โจวไม่อยากที่จะเสียเวลาติดตามชายคนนี้ไป ตัวเขากำลังสงสัยว่าคนอย่างสีวู่หยาทำยังไงกันถึงมีลูกน้องที่จงรักภักดีแบบนี้ได้
ในตอนนั้นเองนกพิราบสื่อสารตัวหนึ่งก็ได้บินไปที่ชายคนนั้น มันได้จิกไปที่นิ้วของชายคนนั้นจนเลือดออกก่อนที่จะบินจากไป ในขณะนั้นยี่ฉีชิงก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับภูตผีปีศาจก่อนที่จะหยิบคนคนหนึ่งขึ้นมาและหายตัวไป
ภายในหมู่บ้านฤดูร้อน
ในตอนนี้มันเงียบสงบราวกับสุสานร้าง
หลังจากที่ทุกคนสามารถใช้พลังลมปราณได้ บี่เอี๊ยนก็ได้พ่นควันออกมาจากจมูกของมัน ดูเหมือนว่าบี่เอี๊ยนตัวนี้จะพร้อมที่จะต่อสู้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นศัตรูของมันแล้ว
หลังจากที่ได้เห็นความดุร้ายของสัตว์ขี่ในตำนานไป เหล่าทหาร, ผู้ฝึกยุทธรวมไปถึงเหล่าอัศวินดำทั้งหมดก็ไม่มีใครกล้าที่เข้ามาต่อสู้กับสัตว์ขี่อย่างบี่เอี๊ยนอีก
“เด็กดี เด็กดี” หยวนเอ๋อได้ตบหลังของบี่เอี๊ยนอย่างนุ่มนวล
บี่เอี๊ยนนอนลงบนพื้นอย่างเชื่อฟัง มันเงยหน้าขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจก่อนที่จะจ้องมองมนุษย์ที่อยู่รอบๆ ด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง
เล้งลั่ว, หมิงซี่หยินและเจียงอาเฉียนได้ปลดปล่อยพลังร่างอวตารของตัวเองออกมา พลังอวตารเล้งลั่วเป็นพลังอวตารดอกบัว 8 กลีบ! พลังอวตารของเจียงอาเฉียนเป็นพลังอวตารดอกบัว 5 กลีบ! และ เอ่อ…พลังอวตารของหมิงซี่หยินเป็นพลังอวตารดอกบัว…สามกลีบ!
จ้าวยู่และหยวนเอ๋อเหลือบมองไปที่พวกเขาทุกคนจนไปมองหมิงซี่หยินเข้า ทั้งคู่ที่เห็นแบบนั้นได้หันไปทางอื่นราวกับไม่มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
หลังจากนั้นพลังอวตารของทั้งสามก็ได้หายไป ในวินาทีนี้ไม่มีพลังอวตารไหนที่ดูโดดเด่นได้เหมือนกับพลังอวตารดอกบัว 8 กลีบ
ทั้งความสูงรวมไปถึงกลีบใบดอกบัวทองคำของมันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ทุกคนตื่นตกใจ
“อย่ามองข้าแบบนั้น เจ้าคิดว่าพลังอวตารของเจ้าจะยอดเยี่ยมมากอย่างงั้นสินะ?” หมิงซี่หยินได้กลอกตามองบนเมื่อสัมผัสได้ว่าเจียงอาเฉียนกำลังจ้องมองอยู่
“พลังของท่านย่อมเหนือทุกคนอยู่แล้ว…ข้าเองยังคิดว่าพลังของท่านเหนือกว่าข้าซะด้วยซ้ำ…” เจียงอาเฉียนได้พูดออก ตัวเขาไม่ได้ล้อเล่นแต่อย่างใด แม้แต่เจียงอาเฉียนเองก็ยังมั่นใจว่าตัวเขาคงไม่อาจสังหารผู้มีพลังอวตารดอกบัวห้ากลีบในตอนที่ตัวเองเพิ่งจะมีพลังอวตารเพียงแค่สามกลีบได้แน่ มันไม่ใช่เรื่องน่าอายเลยที่มีพลังอวตารที่ไม่ได้แข็งแกร่งสุดยอดแต่กลับแข็งแกร่งได้แบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นในที่แห่งนี้ก็ยังมีเล้งลั่ว ผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบอยู่ ไม่ว่าจะเป็นใครพลังอวตารของเขาก็คงจะเทียบกับเล้งลั่วไม่ได้แน่
แม้ว่าพลังวรยุทธของเล้งลั่วจะยังไม่ฟื้นคืนกลับมาจนเต็มที่ แต่ถึงแบบนั้นการที่จะใช้พลังอวตารออกมาในทันทีก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เล้งลั่วกำลังมองไปที่ม่อหลี่ที่กำลังนอนอยู่บนพื้นอย่างไม่สบอารมณ์ ในตอนนี้ม่อหลี่นอนแน่นิ่งไม่ขยับไปไหน
เจียงอาเฉียนได้เดินไปข้างๆ เล้งลั่ว ตัวเขาจ้องมองไปที่ม่อหลี่อย่างรังเกียจก่อนที่จะพูดออกมา “น่าอนาถ…”
“อนาถอย่างงั้นหรอ?”
“อืม ใช่แล้วล่ะ มันน่าอนาถเลยทีเดียว…” เล้งลั่วได้ดึงกระบี่ที่เสียบอยู่ที่ท้องของม่อหลี่ออกมา ที่ใบกระบี่ยังคงอาบไปด้วยเลือดของม่อหลี่
เจียงอาเฉียนไม่รู้เลยบว่าเล้งลั่วจะทำอะไร เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงได้ก้าวถอยหลังไป
พลังลมปราณได้ไหลออกมาจากมือของเล้งลั่ว มันได้ควบแน่นกันจนกลายเป็นพลังแสงสีทอง พลังแสงสีทองได้พันล้อมรอบกระบี่ของเขาเอาไว้ก่อนที่เล้งลั่วจะปักมันลงไปที่ร่างของม่อหลี่อีกครั้ง
“เอ่อ…” เจียงอาเฉียนมองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างดี ‘คงจะดีกว่าถ้าหากข้าจะไม่ดูต่อ ถ้าหากดูต่อไปจิตใจของข้าก็คงจะมีแต่จะต้องย่ำแย่แน่ๆ’
เล้งลั่วอาจจะเป็นเพียงคนเดียวในใต้หล้าที่มีความสามารถในการทำอะไรแบบนี้
ฉั๊วะ! ฉั๊วะ! ฉั๊วะ!
ดาบที่ถูกหุ้มไปด้วยพลังลมปราณได้กระหน่ำแทงไปที่ศพ เล้งลั่วได้ตัดม่อหลี่ออกเป็นชิ้นๆ แม้แต่กระดูกของนางเองก็ถูกบดจนไม่เหลือชิ้นดี
คนอื่นๆ ที่เห็นแบบนั้นต่างก็รู้สึกสยดสยอง การที่จะเห็นใครสักคนหั่นศพของมนุษย์ต่อหน้าไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์เลย
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเล้งลั่ว เขากับม่อหลี่ถือว่าเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ ม่อหลี่ได้ทำให้เล้งลั่วยอมรับใช้นางมาตลอดกว่าหลายปี นางได้สั่งให้เขาทำสิ่งที่ไม่สมควรทำมานับไม่ถ้วน แม้ว่าม่อหลี่ตัวการของเรื่องทุกอย่างจะได้ตายจากไปแล้ว แต่ถึงแบบนั้นความขุ่นเคืองใจและความคับแค้นที่เล้งลั่วมีก็ยังไม่ถูกคลี่คลายไป
องค์ชายสองเม้มริมฝีปากของตัวเอง ขาของเขาสั่นเครือไม่หยุดพักเมื่อได้เห็นภาพนั้น ตัวเขาได้พูดตะกุกตะกักออกมา “จะ…เจ้า…เจ้า…” สีหน้าของเขาซีดเซียว แขนและขาของเขาไร้เรี่ยวแรง
เล้งลั่วที่เสร็จธุระแล้วจึงได้วางกระบี่เล่มนั้นไป หลังจากนั้นตัวเขาก็หันไปจัดแจงเสื้อผ้าของตนทำตัวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น “สำหรับแม่มดอย่างนางผู้ช่ำชองในการใช้เวทมนตร์คาถาอันลึกลับ พวกเราจะต้องระวังตัวเอาไว้ นางอาจจะสร้างหุ่นเชิดหรือฟื้นคืนชีพมาเมื่อไหร่ก็ได้ พวกเราจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด”
‘คำอธิบายนั่น ใครจะไปเชื่อกัน?’ เจียงอาเฉียนแกล้งทำเป็นพยักหน้าเห็นด้วยก่อนที่จะค่อยๆ ถอยให้ห่างเล้งลั่วให้มากกว่าเดิม ตัวเขาได้มองไปที่ทหารและเหล่าอัศวินดำที่อยู่รอบๆ พวกเขาทุกคนยังตกอยู่ในความสับสน
หลิวหยวนไม่สามารถที่จะทนเห็นภาพแบบนี้ได้อีกต่อไป “ฝานซุยเหวิน…ถ้าหากเจ้าไม่มีคำแก้ตัวที่ดีพอแล้วล่ะก็…รอผลลัพธ์ที่จะตามมาได้เลย…”
“ทำไมข้าจะต้องอธิบายการกระทำของข้าให้เจ้าได้ฟังด้วย?” เล้งลั่วถามกลับ
“เจ้า!” หลิวหยวนขึ้นเสียง
เจียงอาเฉียนได้หยิบกระบี่ธรรมดาๆ ขึ้นมาจากพื้นดิน หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้สะบัดมัน เสียงคมกระบี่ที่เฉือนเข้ากับอากาศได้ดังไปทั่ว ตัวเขาได้ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจก่อนที่จะเริ่มพูด “ฝ่าบาท ท่านไม่รู้จริงๆ อย่างงั้นหรอว่าเขาเป็นใคร? ครั้งหนึ่งชายคนนี้เคยมีชื่ออยู่ในบัญชีดำอันดับสูงสุดมาก่อน เขาเป็นคนที่ทั่วทั้งใต้หล้าต่างก็ต้องการตัว ชายคนนี้ก็คือเล้งลั่วไงล่ะ!”
คนอื่นๆ ที่ได้ฟังแบบนั้นต่างก็ตกใจ
มีเพียงสมาชิกของเหล่าอัศวินดำดั้งเดิมเท่านั้นที่จะรู้เรื่องเกี่ยวกับฝานซุยเหวิน ไม่มีใครในที่แห่งนี้รู้จักเล้งลั่ว หลังจากการตายของสี่อัศวินดำก็ไม่มีใครรู้อีกเลยว่าแท้จริงแล้วฝานซุยเหวินก็คือคนคนเดียวกันกับเล้งลั่ว อัศวินดำที่เหลือที่ได้ฟังแบบนั้นต่างก็รู้สึกสับสน ‘ผู้นำของพวกเราไม่ใช่ชายผู้ยอมทำงานสกปรกในนามของม่อหลี่หรอกหรอ? ม่อหลี่ได้เปลี่ยนเล้งลั่วให้มารับใช้ได้ยังไงกัน?!’
แม้ว่าเรื่องนี้จะฟังดูน่าเหลือเชื่อสักแค่ไหน แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่หลอกตาทุกคนไม่ได้แน่ พลังอวตารดอกบัวแปดกลับของเขาถือว่าเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดี มันเป็นความสามารถเดิมที่เล้งลั่วชายในตำนานคนนั้นมี
ดวงตาขององค์ชายหลิวหยวนเบิกกว้างด้วยความแค้น ดวงตานั้นจับจ้องไปที่เล้งลั่วและเจียงอาเฉียน “เป็นเล้งลั่วแล้วยังไงกัน!? เขาได้ฆ่าชายาหลี่ไป…ยังไงซะเขาก็จะต้องชดเชยด้วยชีวิต!”
เจียงอาเฉียนได้ย้อมก่อนที่จะพูดออกมา “ดูเหมือนว่าท่านจะยังสนุกกับการตัดสินชะตาชีวิตของคนอื่นอยู่เลยนะ?”
“ใช่แล้ว! เจียงอาเฉียน…ข้าเองก็จะไม่มีวันยกโทษให้เจ้า”
“โอ้ ได้โปรด…ข้ารักชีวิตของตัวเองมาก! องค์ชายสองได้โปรดอย่าก้มหัวมาลงโทษข้าผู้ต่ำต้อยคนนี้เลย…” เจียงอาเฉียนแกล้งทำเป็นตกใจกลัว
เมื่อเห็นแบบนั้นหลิวหยวนก็เริ่มรู้สึกเกลียดชังเจียงอาเฉียนมากขึ้นไปอีก ความกลัวที่ตัวเขามีต่อพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบของเล้งลั่วได้ลดลงไปมากก็เพราะความแค้น ตัวเขาชี้ไปที่เจียงอาเฉียนก่อนที่จะพูดออกมาอย่างมีอำนาจ “คุกเข่าต่อหน้าองค์ชายซะ!”
เจียงอาเฉียนดูไม่ได้โกรธอะไร สีหน้าของเจียงอาเฉียนในตอนนี้กำลังกลั้นขำมากกว่า
เมื่อเห็นแบบนั้นหมิงซี่หยินก็ได้พูดออกมา “ทำไมพวกเราถึงยังต้องเสียเวลาคุยกับเจ้านั่นอีก? รีบๆ จับเจ้านั่นไปเถอะ ท่านอาจารย์กลับมาจะได้ลงโทษมันทีเดียว!”
เจียงอาเฉียนเดินไปหาหลิวหยวน หลิวหยวนได้สะบัดคราบฝุ่นออกจากเสื้อผ้าของตัวเองก่อนที่จะสะบัดแขนพูดออกมาอีกครั้ง “จงคุกเข่า!”
ฉั๊วะ!
เสียงของมีคมแทงทะลุเนื้อได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง เสียงแบบนี้เป็นเสียงที่ดูมีเอกลักษณ์จนทำให้ทุกคนต่างก็จดจำมันได้ดี
ดวงตาของเหล่าทหารเบิกกว้างขึ้น ในที่สุดแล้วทุกคนก็เข้าใจ กระบี่ที่เจียงอาเฉียนได้หยิบขึ้นมาสะบัดก่อนหน้านี้…ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเวลาแบบนี้…
กระบี่ถูกฝังอยู่ที่หน้าอกขององค์ชายสองอย่างสมบูรณ์แบบ ปลายกระบี่ได้พุ่งออกมาจากทางด้านหลังของผู้เป็นองค์ชาย
ดวงตาของหลิวหยวนเบิกกว้าง ตัวเขาจ้องมองไปที่เจียงอาเฉียนด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อความจริง ในตอนนี้เจียงอาเฉียนยันคงยิ้มให้เขา มือทั้งสองข้างของเขาจับด้ามกระบี่ไว้แน่น กระบี่เล่มนั้นยังคงเสียบทะลุหลิวหยวนไปอย่างไม่ไยดี
ติ๊ง
ติ๊ง
กระบี่เปียกชุ่มไปด้วยเหลือ หยดเลือดได้ไหวไปตามกระบี่ก่อนที่จะตกลงบนพื้น มันได้กระเซ็นอยู่บนพื้นจนทำให้เลือดที่มีดูคล้ายกับดอกพลัมสีแดงสด
ที่หมู่บ้านแห่งนี้เงียบจนได้ยินเสียงเลือดหยดบนพื้นอย่างชัดเจน
เมื่อเล้งลั่วเห็นแบบนั้นตัวเขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ตัวเขาได้ยกมือขึ้นขู่ “ใครก็ตามที่กล้าเคลื่อนไหวมันผู้นั้นจะต้องตายด้วยน้ำมือข้า”
เหล่าผู้รอดชีวิตที่เหลือไม่กล้าขยับ
เจียงอาเฉียนยังคงยิ้มให้หลิวหยวนแม้ว่าจะขยับไปใกล้กันมากแค่ไหน หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้หยุดยิ้มก่อนที่จะหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะที่ได้ดังขึ้นมันไม่ใช่เสียงหัวเราะแห่งความสุข มันเป็นเสียงหัวเราะที่เจือไปด้วยความโศกเศร้ามากกว่า
อีกมุมหนึ่ง หลิวปิงองค์ชายสี่ได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าส่งเสียง ตัวเขาพยายามที่จะพูดออกมาแล้ว แต่ถึงแบบนั้นเสียงของเขาก็ยังติดอยู่ในลำคอ ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ได้แต่ส่ายหัวก่อนที่จะลดแขนลงอย่างช่วยไม่ได้
ชะตากรรของมนุษย์ถูกกำหนดจากสวรรค์ ไม่ว่าชีวิตจะจบลงยังไงท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครสามารถร้องเรียนอะไรได้ เสียงไออันรุนแรงได้ดังขึ้นมาในอากาศ มันเป็นเสียงหายใจสุดท้ายที่หลิวหยวนนั่นเอง เลือดได้กระอักออกมาจากปากตัวเขามากยิ่งขึ้น มือของหลิวหยวนได้เอื้อมไปข้างหน้าก่อนที่จะจับมือของเจียงอาเฉียนเอาไว้ เจียงอาเฉียนไม่ได้ตกใจแม้แต่น้อย ตัวเขาโน้มตัวไปด้านหน้าก่อนที่จะกระซิบข้างหูของหลิวหยวนแทน “1,000 ชีวิตที่พระราชวังจิงเหอกำลังเฝ้ามองดูเจ้าต้องชดใช้บาป!”
หลิวหยวนที่ได้ยินแบบนั้นดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ!
เจียงอาเฉียนได้ส่ายหัวก่อนที่จะปลดปล่อยพลังออกมาจากฝ่ามือ…
พรึ๊บ!
หลิวหยวนหมุนตัวเองก่อนที่จะทิ้งตัวลงบนพื้นพร้อมกับกระบี่ที่ยื่นออกมาจากอก องค์ชายสองหลิวหยวนสิ้นพระชนม์แล้ว!
ศพของหลิวหยวนนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
เจียงอาเฉียนได้หัวเราะออกมา ตัวเขาได้กลับมาทำตัวดูเกียจคร้านตามปกติอีกครั้ง ตัวเขาเดินกลับไปยังที่ที่บี่เอี๊ยนอยู่ก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเขินอาย “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นเลย…ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะอ่อนแอได้ถึงเพียงนี้!”
หมิงซี่หยิน, หยวนเอ๋อ และจ้าวยู่ต่างก็มองไปยังเจียงอาเฉียน ทั้งสามคนถึงกับพูดไม่ออก
แม้ว่าจ้าวยู่จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับองค์ชายในนาม แต่ถึงแบบนั้นระหว่างนางกับองค์ชายก็ยังไม่เคยใช้เวลาร่วมกัน ดังนั้นนางจึงไม่ได้รู้สึกเศร้าใจเลย ยิ่งไปกว่านั้นนางกลับรู้สึกโล่งใจซะยิ่งกว่า
“แล้วพวกเราจะเอายังไงต่อกับคนที่เหลือล่ะ?” หมิงซี่หยินพูดออกมาอย่างตื่นเต้น ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างตัวเขารู้สึกว่าตัวเองกระปรี้กระเปร่าเมื่อมองไปยังบี่เอี๊ยนที่แสนจะดูน่าภาคภูมิใจตัวนี้ หมิงซี่หยินเป็นผู้ชอบเหยียบย่ำผู้ที่อ่อนแอกว่า และเพื่อเติมเต็มความปรารถนาที่ตัวเขามีการใช้สัตว์ร้ายขย้ำพวกที่เหลือคงจะเป็นอะไรที่เติมเต็มใจของเขาได้มากที่สุดแล้ว…
ในตอนนั้นเองลู่โจวก็กำลังขี่วิซซาร์ดอยู่เหนือป่าแห่งหนึ่ง ตัวเขากำลังสงสัยว่าเวลาได้ผ่านมานานแค่ไหนแล้ว สิ่งเดียวที่ลู่โจวรู้นั่นก็คือตัวเขาเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นแล้ว ในขณะเดียวกันตัวเขาก็ได้แต่ใช้ความคิดอยู่ภายในใจ
ถึงแม้ว่าจะเป็นความเร็วที่ยู่ฉางตงและสีวู่หยามี แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็ยังไม่อาจจะเร็วไปกว่าวิซซาร์ดได้ ‘ฉันจะไล่ตามต่อไปแบบนี้! เจ้าศิษย์ทรยศพวกนั้นมันหนีไปไหนแล้ว?’
วิซซาร์ดเข้าใจเจตจำนงของผู้เป็นเจ้านายมันดี เพราะแบบนั้นมันจึงพยายามบินอยู่ที่สูงเพื่อสอดส่องหาเป้าหมาย
จู่ๆ ลู่โจวก็ได้พูดอะไรออกมา “เดี๋ยวก่อน!” วิซซาร์ได้หยุดเคลื่อนไหวก่อนที่จะส่งเสียงร้องออกมา เสียงของมันแข็งแกร่งจนกลายเป็นคลื่นเสียงไป ยู่ฉางตงและสีวู่หยาไม่ทันได้ระวังตัว พวกเขาทั้งสองที่ได้ยินเสียงนั่นได้ตกลงมาจากที่ซ่อน
โชคยังดีที่ยู่ฉางตงสามารถควบคุมพลังวรยุทธที่ตัวเองมีได้อย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากที่ตื่นตกใจไปในตอนแรก ตัวเขาก็รีบปรับพลังวรยุทธที่มีอย่างรวดเร็ว “ศิษย์พี่รองใจเย็นๆ” สีวู่หยาร่อนลงบนพื้นก่อนที่จะเงยหน้ามองขึ้นฟ้า ตัวเขาที่มองขึ้นฟ้าดวงตาเบิกกว้าง
ยู่ฉางตงได้พูดออกมาอย่างสงบ “ข้าใจเย็นดี”
“ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์จะตามพวกเราไม่ทัน”
“แม้ว่าท่านอาจารย์จะอยู่ที่นี่ก็ตาม เจ้าไม่เห็นจะต้องกลัวขนาดนั้นเลย” ยู่ฉางตงได้พูดออกมาอย่างเยือกเย็น
“…” เมื่อมาลองคิดดูให้ดีสีวู่หยาก็พบเรื่องผิดปกติเข้า “พลังวรยุทธของศิษย์พี่ลึกล้ำมาก เป็นธรรมดาที่ท่านจะไม่กลัว แต่ข้าเพิ่งจะคลายพลังผนึกมนตราได้และยังไม่ได้ฟื้นพลังมาอย่างสมบูรณ์ได้ เห็นทีข้าคงจะต้องลำบากท่าน ให้ท่านพาข้าออกไปจากที่นี่โดยเร็วแล้วแหละ”
“ได้สิ” ยู่ฉางตงตอบกลับมาอย่างไม่ลังเล
ก่อนที่สีวู่หยาจะได้พูดอะไร พลังของยู่ฉางตงก็ได้ล้อมรอบตัวเขาเอาไว้แล้ว
พวกเขาทั้งสองได้บินไปยังป่าเมฆากระจ่าง ทั้งคู่ได้หันมามองย้อนกลับเป็นครั้งคราว
สีวู่หยาได้พูดออกมาหลังผ่านไปสักพัก “ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์จะไม่ได้ตามพวกเรามาสินะ”
ยู่ฉางตงพยักหน้าก่อนที่จะถามกลับไป “พลังผนึกมนตราของเจ้าถูกลบล้างออกไปแล้วหรอ?”
“ข้าเองก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน…” สีวู่หยาไม่กล้าพูดอะไร ภาพที่ตัวเขาเห็นตรงศาลายังคงเป็นความกลัวที่เกาะกินจิตใจของตัวเขาอยู่
“ถ้าหากมันถูกคลายได้ก็ดีแล้วล่ะ” ยู่ฉางตงได้พูดออกมาอย่างไม่ไยดี
ทั้งสองได้เร่งความเร็วเดินทางต่อไป
สีวู่หยาได้มองตรงไปด้านหน้า หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้เอ่ยปากถามออกมา “พวกเราจะไปไหนกันศิษย์พี่รอง?
“ป่าเมฆากระจ่าง” ยู่ฉางตงตอบกลับมาอย่างเยือกเย็น
“ตอนนี้น่ะหรอ?”
“ตอนนี้เลย”