เจียงอาเฉียนหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะตอบกลับมา “ข้าก็แค่คิดถึงท่าน ท่านผู้อาวุโส ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อเอาของดีมามอบให้กับท่าน” เจียงอาเฉียนได้หยิบถุงกระสอบออกมาก่อนที่จะวางถุงใบนั้นลงบนโต๊ะที่อยู่ด้านหน้า “นี่คือใบช้าที่ดีที่สุด มันเป็นเครื่องบรรณาการของพวกราชวงศ์น่ะ แม้แต่ผู้คนมากมายที่มีอำนาจก็ยังไม่อาจที่จะได้ลิ้มลองรสชาติชาพวกนี้ซะด้วยซ้ำไป ในตอนนี้ข้าได้นำชาที่ว่ามาให้กับท่านแล้ว”
“ข้าไม่เคยเรียกร้องขอชามาจากเจ้าเลย เจ้าคงจะมีเจตนาที่ชั่วร้ายแฝงอยู่สินะ?” ลู่โจวพูดออกมาอย่างสงสัย
“ข้าไม่เคย ไม่เคยเลยที่จะคิดแบบนั้น” เจียงอาเฉียนได้โบกมือปฏิเสธ “ถ้าหากจะพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ ศิษย์คนที่ห้าของท่านก็เป็นเหมือนกับน้องสาวของข้า…ยังไงซะข้าก็เกี่ยวข้องกับศาลาปีศาจลอยฟ้า ในตอนนี้ข้าไม่เหลือญาติคนอื่นๆ ที่จะมอบของขวัญให้อยู่แล้ว นี่ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกเลย”
คนอื่นๆ ที่ได้ฟังแบบนั้นต่างก็พูดไม่ออก
จ้าวยู่ได้ถอนหายใจออกมาก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้าคิดว่าคงจะไม่มีใครจะมีความไร้ยางอายที่เหนือไปกว่าเจ้าได้แล้วล่ะ”
คนอื่นๆ ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยก่อนที่ทุกคนจะจ้องมองไปยังหมิงซี่หยินโดยสัญชาตญาณแทน
หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกค้างคาใจ ‘ทำไมทุกคนจะต้องหันมามองข้าด้วยล่ะ? ข้ายังไม่ได้พูดหรือทำอะไรเลยด้วยซ้ำไป นี่มันไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเลย’
ลู่โจวมองไปที่ของที่วางอยู่บนโต๊ะ ตัวเขาไม่ได้รู้สึกสนใจอะไร เมื่ออายุมากขึ้นสมบัติล้ำค่าก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นอีกต่อไป “แล้วทำไมเจ้าถึงต้องมาที่นี่ด้วยตัวเองล่ะ?”
“อืม ข้า…ข้าได้สังหารองค์ชายสองตายไปโดยไม่ตั้งใจ…ทางราชวงศ์คงจะไม่ให้อภัยข้าแน่ ข้าได้สร้างปัญหาให้กับท่านแล้ว ท่านผู้อาวุโส ท่านช่วยจัดการกับภาระของข้าจะได้ไหม?” เจียงอาเฉียนได้ถามออกมา
หมิงซี่หยินรีบพยักหน้าอย่างตื่นเต้นก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าทำได้!” หลังจากที่พูดจบเคียวพื้นพิภพก็ได้ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือของหมิงซี่หยิน
ดวงตาของจ้าวยู่เต็มไปด้วยความอิจฉา
เจียงอาเฉียนที่เห็นแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก ตัวเขาได้พูดออกมาอย่างตื่นตกใจ “ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น…ในตอนนี้เหล่าราชวงศ์กำลังตามหาข้าทั่วทั้งดินแดน ข้าได้ตัดสัมพันธ์ทั้งหมดกับสหายของข้าไปทั้งหมดแล้ว ในตอนนี้พวกเราไม่ได้ติดต่อกันอีกต่อไป ข้าไม่มีที่จะไปได้อีก หลังจากที่ข้าคิดอยู่นานศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้ดูจะเป็นที่ที่ปลอดภัยมากที่สุดแล้ว”
“งั้น…เจ้าอยากจะอยู่ที่นี่ไปสักระยะอย่างงั้นสินะ?” ลู่โจวได้ถามออกมา
“ท่านฉลาดหลักแหลมมากท่านผู้อาวุโส”
ลู่โจวได้ลูบเคราก่อนที่จะพยักหน้า “ยังไงซะเจ้าก็คือแหล่งข่าวของข้า เป็นธรรมดาที่ข้าจะต้องช่วยเหลือเจ้า”
เจียงอาเฉียนรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก ตัวเขาได้โค้งคำนับให้ก่อนที่จะพูดออกมา “ขอบคุณมากท่านผู้อาวุโส!”
ลู่โจวได้มองไปที่เจียงอาเฉียนก่อนที่จะพูดต่อ “แล้วเจ้าจะไม่พูดอะไรต่ออย่างงั้นหรอ?”
“พูดอะไรอย่างงั้นหรอท่านผู้อาวุโส” เจียงอาเฉียนไม่เข้าใจ
“เจ้าเป็นองค์ชายสามและได้ฆ่าองค์ชายสองด้วยมือของตัวเองไป การฆ่าพี่ชายของตัวเองถือเป็นความผิดอันใหญ่หลวง มันจะเป็นความผิดติดตัวเจ้าไปไม่ว่าเจ้าจะไปไหนก็ตาม”
คนอื่นๆ ที่ได้ฟังแบบนั้นต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย ลู่โจวได้พูดถูกแล้ว ตลอดการเดินทางมานี้เจียงอาเฉียนก็ได้แต่ยิ้มแย้มราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าหากเป็นคนธรรมดาๆ คงจะไม่มีใครทำแบบนั้นแน่ นี่ไม่ใช่แค่การฆ่าพี่ชายของตัวเอง มันเป็นการฆ่าองค์ชายสองของเหล่าราชวงศ์อีกด้วย มันเป็นเรื่องใหญ่ที่อาจจะทำให้เจียงอาเฉียนต้องตายเลยก็เป็นได้
เมื่อเจียงอาเฉียนเห็นลู่โจวพูดออกมาอย่างจริงจัง รอยยิ้มที่มีบนใบหน้าของเจียงอาเฉียนก็ได้หายจางไป ตัวเขาได้ถอนหายใจออกมาก่อนที่จะพูดขึ้น “คนตายยังไงก็คือคนตาย คนตายไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดอะไรได้”
“ถ้าอย่างงั้น…เป็นความจริงสินะที่องค์ชายสองเป็นคนที่เผ่าพระราชวังจิงเหอไปน่ะ?” ลู่โจวได้ถามออกมา
“ท่านรู้เรื่องนั้นสินะ?”
“เจ้าชายแห่งพลังฉินจานเป็นคนบอกข้าเอง” ลู่โจวตอบกลับไป
‘ข้าเกือบจะลืมเขาไปแล้วแท้ๆ ’ เจียงอาเฉียนได้พยักหน้า หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้มองไปทางหมิงซี่หยินและจ้าวยู่ก่อนที่จะพูดออกมา “เหล่าวิญญาณที่ตายอย่างไม่เป็นธรรมจะต้องร้องโหยหวนในคืนเดือนหงายอย่างเดียวดาย ไม่ว่ายังไงในโลกใบนี้ก็ยังมีบ่วงแห่งกรรม ใครก็ตามที่ทำกรรมย่อมที่จะถูกผลกรรมตอบสนอง มีหลายคนพยายามเกลี้ยกล่อมให้ข้าปล่อยวางความแค้นในอดีตไป พวกเขาบอกให้ข้าไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเหล่าราชวงศ์อีก การใช้ชีวิตอย่างอิสระในฐานะผู้คลั่งไคล้ดาบมันก็ดีมากแล้ว แต่ถึงแบบนั้นทุกครั้งที่ข้าหลับตา ข้าก็ฝันถึงเปลวไฟสีแดงฉานในทุกๆ คืน ข้าที่ฝันเห็นแบบนั้นทุกคืนจะไปข่มตานอนลงได้ยังไงกัน? เมื่อใดก็ตามที่ข้าฝันเห็นเปลวไฟ ข้าก็จะได้ยินเสียงกรีดร้องแห่งความเจ็บปวดอยู่ตลอด แม้ว่าข้าจะแค้นแค่ไหนแต่สุดท้ายข้าก็เป็นเพียงผู้ที่ไร้พลังคนหนึ่งเท่านั้น…”
คนอื่นๆ ได้มองไปที่เจียงอาเฉียน
ลู่โจวเองก็มองไปที่เจียงอาเฉียนเช่นกัน เจียงอาเฉียนได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้ง “ในที่สุดแล้วข้าก็เก็บทุกอย่างเอาไว้กับตัว…โชคดีที่ข้าได้มารู้จักกับทุกท่าน ข้าที่แก้แค้นให้กับทุกคนสำเร็จก็ได้แต่หวังว่าทุกคนจะช่วยเหลือดูแลข้านับต่อจากนี้ ข้าจะรู้สึกขอบคุณทุกท่านมาก”
ส่วนแรกของเรื่องเล่าที่เจียงอาเฉียนเล่าออกมายังฟังดูเป็นเรื่องจริง แต่เมื่อทุกคนได้ฟังมาถึงตอนท้าย ทุกคนก็ได้แต่คิดว่ามันเป็นเรื่องโกหก
จ้าวยู่ได้กลอกตามองไปอีกทาง นางไม่อยากจะใส่ใจอะไรกับชายคนนี้อีกต่อไป จ้าวยู่ได้เดินไปด้านหน้าก่อนที่จะคำนับลู่โจวและพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ ศิษย์มีเรื่องที่อยากจะรายงานท่าน”
“ว่ามา”
“อัครมเหสีคือท่านย่าของศิษย์เอง เหตุการณ์ที่หมู่บ้านฤดูร้อนได้ทำให้ท่านย่าได้รับบาดเจ็บไป นับตั้งแต่ตอนนั้นนางก็ยังล้มหมอนนอนเสื่อไม่ได้สติ” จ้าวยู่ได้คุกเข่าลง “โปรดยกโทษให้ศิษย์ด้วยที่ศิษย์เอาแต่ใจใช้เวลาอยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่จะกลับมาที่นี่”
ลู่โจวโบกมือก่อนที่จะพูดออกมา “เป็นเรื่องดีแล้วที่เจ้าจะมีความกตัญญูรู้คุณ”
“ขอบคุณมากค่ะท่านอาจารย์” จ้าวยู่ได้หันมาทางเจียงอาเฉียนก่อนที่จะจ้องมองเขาอย่างมีความนัย
เจียงอาเฉียนได้เกาหัวตัวเองก่อนที่ตัวเขาจะได้พูดออกมาอย่างไร้ยางอาย “ท่านผู้อาวุโส ข้าจะบอกความจริงกับท่าน ตอนนี้พระอัครมเหสีตกอยู่ในอาการที่คับขันแล้ว ข้ากลัว…ข้ากลัวว่านางอาจจะอยู่ไม่รอดถึงฤดูหนาว”
ลู่โจวเข้าใจทุกอย่างแล้ว “ที่พระราชวังมีเหล่าหมอหลวงยอดฝีมือมากมาย ทุกๆ คนต่างก็เป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญการรักษาที่แตกต่างกัน ถ้าหากเจ้าจะบอกให้ข้าเข้าไปแทรกแซงเรื่องของทางพระราชวังเจ้าคงจะต้องได้แต่ฝันซะแล้วล่ะ”
จ้าวยู่ได้พูดต่อ “ท่านอาจารย์ สิ่งที่ท่านย่าของข้าโดนมาก็คือเวทมนตร์คาถาค่ะ”
“เวทมนตร์คาถาอย่างงั้นหรอ?” เมื่อได้ยินแบบนั้นลู่โจวก็ได้แต่ประหลาดใจ ตัวเขากำลังนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่หมู่บ้านฤดูร้อน ในหมู่บ้านไม่มีแม้แต่เวทมนตร์คาถาหรือกับดักเวทมนตร์คาถาแม้แต่น้อย ‘แล้วอัครมเหสีจะถูกเวทมนตร์คาถาตอนไหนกัน?’
เจียงอาเฉียนได้พูดต่อ “ไป่มา หนึ่งใจอัจฉริยะคนทรงจากลั่วหลานเป็นคนทำ”
“ไป่มาอย่างงั้นหรอ?” ลู่โจวไม่รู้จักชื่อนี้มาก่อนเลย
“ให้ข้าได้อธิบายเถอะท่านผู้อาวุโส…ไป่มาเป็นพี่ชายของม่อหลี่ เขามาจากลั่วหลาน ไป่มาเคยต่อสู้กับท่านมาครั้งหนึ่งแล้ว การต่อสู้ที่เกิดขึ้นบนแท่นประลองดอกบัวได้ทำให้ไป่มาได้รับบาดเจ็บไป ในตอนที่เกิดการต่อสู้ที่หมู่บ้านฤดูร้อน ในตอนนั้นไป่มาเป็นผู้ที่รอคอยอยู่นอกเขตแดน ไป่มาได้พยายามล่วงเกินท่านมาหลายครั้งแล้ว ในตอนที่ม่อหลี่ได้ตายไป ไป่มาก็ยิ่งรู้สึกแค้นใจมากยิ่งขึ้น ตัวเขาได้ร่ายเวทมนตร์คาถาใส่อัครมเหสีไป ท้ายที่สุดแล้วข้าแน่ใจว่าไป่มาจะต้องกลับมาทวงแค้นกับศาลาปีศาจลอยฟ้าแน่”
ลู่โจวที่ได้ยินแบบนั้นได้แต่ลูบเคราพร้อมกับใช้ความคิด
เจียงอาเฉียนได้พูดออกมาอีกครั้ง “ผู้อาวุโส ข้าจะไม่ร้องขอความช่วยเหลือโดยที่ไม่มีสิ่งตอบแทนที่เหมาะสมแน่…ถ้าหากท่านช่วยข้า ข้าจะช่วยท่านจับศิษย์ทรยศคนที่เจ็ดอย่างสีวู่หยาให้เอง”
ลู่โจวมองไปที่เจียงอาเฉียนก่อนที่จะพูดออกมาอย่างสงสัย “เหตุใดเจ้าถึงมั่นใจว่าจะจับสีวู่หยาได้กัน?”
“เปล่า ข้าไม่ได้มั่นใจอะไรเลย” เจียงอาเฉียนตอบกลับมาตามตรง
ทุกๆ คนที่ได้ยินแบบนั้นต่างก็พูดไม่ออก ‘ถ้าหากไม่ได้มั่นใจอะไรแล้วทำไมถึงต้องพูดแบบนั้นไปตั้งแต่แรกกันล่ะ? น่าสมเพชจริงๆ’
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะยืนขึ้น ตัวเขาจ้องมองไปที่จ้าวยู่และเจียงอาเฉียนก่อนที่จะพูดออกมา “ถ้าหากเจ้ากล้าขอข้า ข้าก็กล้าที่จะช่วยเจ้า”
การช่วยเหลือผู้อื่นไม่ใช่สิ่งที่น่าอับอายเลย ลู่โจวไม่จำเป็นจะต้องทำเป็นหยิ่งผยองก่อนที่จะยอมช่วยเหลือ ยังไงเรื่องในครั้งนี้ก็เกี่ยวข้องกับศาลาปีศาจลอยฟ้าในทางอ้อมอยู่ดี
เมื่อเจียงอาเฉียนได้ยินแบบนั้นตัวเขาก็รู้สึกดีใจมาก ตัวเขาได้โค้งคำนับให้ในทันที “ถ้าหากท่านผู้อาวุโสพูดแล้ว…ข้าย่อมเชื่อใจท่าน”
จ้าวยู่ที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดออกมาเช่นกัน “ขอบคุณมากค่ะท่านอาจารย์”
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังออกมาจากด้านนอกห้องโถง “สวัสดีครับ ท่านอาจารย์!” ทุกๆ คนที่ได้ยินแบบนั้นต่างก็หันกลับไปมอง
ซู่ฮ่องกงได้คุกเข่าลงอยู่ที่หน้าประตู หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้เดินเข้ามาภายในห้องโถงใหญ่ ตัวเขาได้โค้งคำนับให้กับทุกคนก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้ง “ท่านอาจารย์!”
หมิงซี่หยินที่เห็นฉากเปิดตัวอันยิ่งใหญ่ก็ได้แต่ปิดตาตัวเองพร้อมกับส่ายหัว “และแล้วเจ้าก็ชนะอีกแล้วสินะ ศิษย์น้องแปด!”
ซู่ฮ่องกงได้ลุกขึ้นยืนก่อนที่จะคุกเข่าลงอีกครั้ง ตัวเขาได้พูดออกมาอย่างเสียงดังฟังชัด “ข้าขอทักทายท่านอาจารย์อย่างสุดซึ้ง”