การที่จะเจียงอาเฉียนจะสืบค้นข้อมูลมาได้ ตัวเขาจะต้องเดินผ่านอุปสรรคและอันตรายมากยอ่างมากมาย ไม่เข้าถ้ำเสือก็จะไม่ได้ลูกเสือ เจียงอาเฉียนไม่รู้เลยว่าตัวเขาจะได้ตายตอนไหน เจียงอาเฉียนรู้ดีว่าตัวเองคงจะตายได้ในทุกเมื่อ แต่ถึงแบบนั้นชีวิตของเขาก็เบาดุจดั่งขนนก ความตายของเจียงอาเฉียนก็คงจะไม่มีค่าอะไรเฉกเช่นสายลม บางทีคงจะไม่มีใครนึกเสียใจซะด้วยซ้ำ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ยังไม่อยากที่จะตาย
เจียงอาเฉียนที่ได้ยินลู่โจวพูดแบบนั้นหัวใจเต้นระรัว ความประทับใจที่ตัวเขามีต่อปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง วายร้ายคืออะไรกันแน่? แล้วอะไรกันที่ทำให้คนเราได้เป็นวายร้าย? ใครสักคนที่พรากชีวิตผู้อื่น หรือเป็นใครสักคนที่ละเมิดกฎหมายหรือธรรมเนียมอันดีงามถึงเป็นวายร้ายกัน? ยิ่งอยู่นานไปเจียงอาเฉียนก็รู้สึกเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็คือวายร้ายด้วยกันทั้งนั้น
“เจ้าแล้วก็เจ้า! ข้าอยากที่จะรู้จริงๆ ว่าจะรักษาเรี่ยวแรงแบบนี้ไว้ได้อีกนานแค่ไหน!”
แม่ทัพทั้งสองเรียนรู้ความผิดพลาดจากผู้เป็นสหายมาก่อนหน้านี้แล้ว คราวนี้พวกเขาทั้งคู่ได้ก้าวไปที่ด้านหน้าพร้อมกับการโจมตีอันรุนแรง ดาบของทั้งคู่ทำให้สายลมเปลี่ยนทิศไป
แม้ว่าผู้ฝึกยุทธจะไม่อาจใช้พลังลมปราณได้ในตอนนี้ แต่ถึงแบบนั้นร่างกายที่ได้ผ่านการฝึกฝนมาก็ยังเหนือกว่าร่างกายที่มนุษย์ธรรมดามีอยู่ดี
ทุกย่างก้าวของแม่ทัพทั้งสองได้ทิ้งรอยเท้าลึกเอาไว้ที่พื้น เพียงครู่เดียวเท่านั้นดาบของพวกเขาก็พุ่งถึงเป้าหมาย!
ลู่โจวได้หมุนตัวเอง ตัวเขาได้เปลี่ยนไปใช้อาวุธนิรนามที่มือด้านขวาก่อนที่จะใช้มันฟาดฟันเข้าใส่อาวุธของแม่ทัพทั้งสอง
“หืม?” แม่ทัพทั้งสองพยายามจำลองภาพการต่อสู้ต่างๆ นาๆ กับลู่โจวผ่านทางความคิด ไม่ว่าจะคิดยังไงทั้งคู่ก็คิดไม่ถึงว่าจะมีการปัดป้องการโจมตีแบบนี้ได้
ลู่โจวเป็นเหมือนกับภาพลวงตา ตัวเขาได้เดินผ่านการโจมตีของทั้งสองคนมาก่อนที่จะโจมตีสวนกลับไป…
ดาบของแม่ทัพทั้งสองยังคงชูอยู่ที่กลางอากาศ ปากของพวกเขาทั้งคู่ยังคงอ้าปากค้าง แม่ทัพทั้งสองจ้องมองไปในอากาศด้วยความว่างเปล่า ทั้งคู่กำลังรู้สึกว่าชีวิตที่มีกำลังหลุดรอยออกจากร่างกายและบาดแผลที่ได้รับมาไป แม้ว่าจะถูกโจมตีไปแล้วแต่ชีวิตของพวกเขาก็ยังไม่จบลงในทันที แม่ทัพทั้งสองรู้สึกทรมานอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ไม่ว่าจะอยากหายใจแค่ไหนแต่สุดท้ายแล้วก็ทำไม่ได้ หัวใจของพวกเขาเริ่มเต้นช้าลง กลิ่นของโลหะและเลือดเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้รับรู้ การคิดจะจัดการกับปรมาจารย์มหาวายร้ายคนนี้ได้ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไรอีกต่อไป ทั้งคู่ได้ล้มลงก่อนที่จะจมลงสู่ความมืดมิดชั่วนิรันดร์
แม่ทัพอีกสองคนได้เสียชีวิตไปเช่นกัน
“นี้สำหรับศิษย์ของข้า หมิงซี่หยิน!”
ลู่โจวได้รับแต้มบุญกลับมา 2,000 ตัวเขาไม่ได้ขยับไปไหนแม้แต่น้อย
แม้ว่าแสงแดดจะส่องสว่างมากสักแค่ไหนแต่ทุกคนก็ไม่อาจที่จะละสายตาจากลู่โจวได้เลย บรรยากาศอันเงียบสงบของหมู่บ้านแห่งนี้ยังคงอยู่ สิ่งที่ต่างออกไปก็คือกลิ่นคาวเลือดที่เพิ่มขึ้นมา ในตอนนี้ภายในหมู่บ้านเริ่มที่จะมีศพเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ
ไม่มีพลังลมปราณหรือพลังอะไรที่ถูกใช้ออกมา สิ่งที่มีเหลือแค่เพียงการเข่นฆ่ากันด้วยอาวุธและกระบวนท่า!
ลู่โจวกำลังจ้องมองไปที่ม่อหลี่อย่างไม่ละสายตา เมื่อเริ่มมีซากศพเพิ่มมากขึ้น ความมั่นใจของม่อหลี่ที่มีก็เริ่มหดหายลง ทั้งหกคนที่ถูกสังหารไปไม่ใช่ทหารไร้ฝีมือกระจอกๆ พวกเขาเป็นถึงแม่ทัพองครักษ์อันเก่งกาจ!
ม่อหลี่พยายามรวบรวมสติอีกครั้งก่อนที่จะโบกมือ “แม่ทัพทั้งสี่ถอยไปซะ!” แม่ทัพที่เหลือได้ยินแบบนั้นก็ได้ถอยไปที่ด้านหลัง
ในช่วงเวลาอันสำคัญแบบนี้ไม่ว่าแม่ทัพทั้งหลายจะเคยมีพลังอันแข็งแกร่งหรืออำนาจมากเพียงใดก็ไม่มีใครที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ มันจะดีกว่าถ้าหากล้มลู่โจวด้วยทหารธรรมดาๆ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา วีรบุรุษเพียงคนเดียวก็ไม่อาจเอาชนะอุปสรรคได้ ไม่ว่าคนคนนั้นจะเก่งกาจสักแค่ไหนแต่ถ้าหากเจอรุมด้วยคนจำนวนมาก คนคนนั้นก็คงจะไม่อาจต้านทานได้แน่
“ฆ่าปรมาจารย์มหาวายร้ายนั่นซะ! ใครก็ตามที่ทำได้จะได้รับทอง 10,000 ชั่ง ตำแหน่งสมุหนายกหรือแม้แต่องค์ชายก็ย่อมได้!” หลิวหยวนได้ประกาศออกมา
คำพูดนี้มีความหมายอยู่สองอย่างด้วยกัน ความหมายแรกหลิวหยวนตั้งใจที่จะกำจัดศาลาปีศาจลอยฟ้าให้ได้ ความหมายที่สองตัวเขาต้องการที่จะขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิซะเอง มีแต่คนที่คิดแบบนี้เท่านั้นถึงกล้าเสนอรางวัลที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ได้ ทหารที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็พุ่งใส่ลู่โจว
“ท่านผู้อาวุโส ข้าจะช่วยท่านเอง!” เจียงอาเฉียนรีบวิ่งเข้ามา ตัวเขาไม่ได้เอาดาบคีตะมังกรออกมา เจียงอาเฉียนตั้งใจที่จะปิดบังตัวตนของเขาเอาไว้ ดูเหมือนว่าเจียงอาเฉียนจะเป็นกำลังเสริมที่ดูพึ่งพาไม่ได้เลย
หมิงซี่หยินและจ้าวยู่ต่างก็ลุกขึ้นยืน
“ความรู้สึกแห่งการเข่นฆ่าสินะ…เป็นเวลานานแล้วที่ข้าไม่ได้รู้สึกแบบนี้”
“อย่าลืมข้าสิศิษย์พี่!” หยวนเอ๋อได้กระโดดตามมา
ในตอนนี้ทุกคนมารวมตัวกันครบแล้ว
ลู่โจวได้พูดขึ้น “เอาล่ะ ระวังตัวให้ดีทุกคน!”
หมิงซี่หยินยังไงก็ยังเป็นคนที่มีมันสมองเฉลียวฉลาด ‘ข้ารู้สึกประหลาดใจจริงๆ ที่ท่านอาจารย์ยังมีฝีมือสูงส่งถึงเพียงนี้ทั้งๆ ที่มีอายุมากขึ้น’ หมิงซี่หยินเหลือบไปมองอาวุธนิรนามที่อยู่ในมือของลู่โจว ‘ดาบเล่มนี้มีดีกว่าที่ข้าคิดไว้ซะอีก…’
ยังไงซะอาจารย์ก็ยังเป็นอาจารย์ ประสบการณ์ที่ผ่านมากว่าพันปีของลู่โจวเทียบไม่ได้กับประสบการณ์ที่คนหนุ่มคนสาวพวกนี้จะมีได้
ความมั่นใจของหมิงซี่หยินและเจียงอาเฉียนได้กลับมาอีกครั้ง
ดวงตาของหลิวหยวนไม่เปล่งประกายอีกต่อไป ตัวเขาได้เอาแขนลง
ในตอนนั้นเองทหารจำนวนมากได้พุ่งโจมตีลู่โจว
ในมือของลู่โจวอาวุธนิรนามยังคงสั่นอยู่เล็กน้อย ในตอนนี้ราวกับว่าเทคนิคและประสบการณ์ในการต่อสู้ที่มีมากว่าพันปีกำลังหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับลู่โจวไป
ดาบและผู้ใช้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ลู่โจวได้พุ่งหาม่อหลี่ ความเร็วที่ลู่โจวใช้เร็วดุจดั่งสายฟ้า ตัวเขาได้พุ่งผ่านทหารทั้งหลายไปอย่างง่ายดาย
ฉั๊วะ! ฉั๊วะ! ฉั๊วะ!
ทหารที่ถูกลู่โจวพุ่งผ่านล้วนล้มลงกับพื้น
ทุกคนไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะโจมตีโต้กลับไป
ทหารทั้งหลายที่กำลังรุกเข้าใส่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ภาพการสังหารหมู่ที่อยู่ด้านหน้าทำให้พวกเขาตกตะลึง
ร่างกายของลู่โจวในตอนนี้เป็นเหมือนกับสายน้ำ สายน้ำที่ไหลไปตามทางโดยที่ไม่ไหลย้อนกลับ ร่างกายของเขาได้กวัดแกว่งอาวุธนิรนามที่มีอยู่ในมือไปด้วย
ท้ายที่สุดแล้วทหารคนสุดท้ายก็ล้มลง
ในที่สุดหมู่บ้านก็กลับมาเงียบอีกครั้ง
รูปร่างของลู่โจวยังคงอยู่ในสภาพเดิม สีหน้าของเขาไม่เคยที่จะเปลี่ยนแปลงไปเลย ดาบที่ได้กวัดแกว่งอยู่ในมือเต็มไปด้วยหยดเลือดสีแดงฉาน มันได้ไหลอาบอาวุธนิรนามก่อนที่จะร่วงหล่นลงสู่พื้น
ลู่โจวทำให้ทหารที่ยังไม่ได้พุ่งเข้ามารู้สึกกลัว ไม่มีใครกล้าพุ่งไปโจมตีลู่โจวอีกต่อไป ทหารที่ถือหอกอยู่ค่อยๆ ถอยกลับไปเรื่อยๆ
ลู่โจวไม่ได้หันกลับไปชายตามอง ทหารที่ถูกจัดการไปแล้วขวางทางไม่ให้ทหารที่เหลือบุกเข้ามาอีก
ม่อหลี่ได้ถอยหลังไปอีกครั้ง ใบหน้าของนางซีดเซียวจนน่ากลัว! นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าปรมาจารย์มหาวายร้ายจะเก่งกาจได้ถึงเพียงนี้
ลู่โจวหยุดไล่ตาม ตัวเขาดูเหมือนกับชายชราธรรมดาๆ ที่จะหาเจอได้ตามท้องถนน “ถ้าหากมีใครอยากจะตายอีกก็เชิญเข้ามาเลย ไม่ว่าจะมีอีกกี่ชีวิตข้าก็จะเป็นคนจัดการพวกเจ้าเอง”
ม่อหลี่พยายามควบคุมทหารที่เหลือ “หยุดเจ้านั่นซะ หยุดซะ!”
แม้ว่ารางวัลที่มีจะสุดล่อตาล่อใจ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังไม่มีใครอยากเอาชีวิตตัวเองไปแลกกับรางวัลนั่นมา ถึงแม้ว่าเงินจะมีค่าแต่มันก็ไม่ได้มีค่าอะไรสำหรับผู้ที่ได้ตายไปแล้ว และตำแหน่งอันยิ่งใหญ่เองก็คงจะไม่มีค่าอะไรถ้าหากคนคนนั้นไม่หลงเหลือร่างกายที่มีวิญญาณ
ทหารทุกคนต่างก็ถอยกลับ!
“คนที่ขี้ขลาดจะถูกประหารชีวิต!”
เมื่อลู่โจวเห็นทหารนับร้อยกำลังพุ่งเข้าหาตัวเขาอีกครั้ง ในตอนนั้นตัวเขาก็ได้ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “บี่เอี๊ยน!”
โฮรกกกกกกกกก!
เสียงคำรามที่เกรี้ยวกราดราวกับฟ้าร้องได้ดังไปทั่วหมู่บ้าน
ในตอนนั้นหมู่เมฆบนท้องฟ้าก็ถูกแหวกออก บี่เอี๊ยนได้บินลงจากท้องฟ้าก่อนที่จะเข้ามายังหมู่บ้านที่มีเขตแดนพลังทั้งสิบ
‘บี่เอี๊ยนเองก็ใช้พลังลมปราณไม่ได้สินะ?’
แม้ว่าบี่เอี๊ยนจะไม่มีพลังลมปราณแต่ถึงแบบนั้นคมเขี้ยวและกรงเล็บของมันก็ยังเป็นอาวุธสุดร้ายกาจอยู่ดี ทหารธรรมดาคงจะไม่ใช่คู่มือของบี่เอี๊ยนแน่
บี่เอี๊ยนเข้าใจสิ่งที่ลู่โจวคิดดี มันได้พุ่งเข้าใส่กลุ่มทหารที่กำลังตื่นกลัวมัน ทุกๆ ครั้งที่มีการตวัดกรงเล็บ ทหารคนหนึ่งก็จะถูกจัดการไป ในตอนนี้กลุ่มทหารตกอยู่ในความระส่ำระสายอีกครั้ง
“นี่มันอะไรกัน”
“สัตว์ขี่ของมหาวายร้ายจีอย่างงั้นหรอ?”
“เป็นไปได้ยังไงกัน!?”
รูปร่างหน้าตาของบี่เอี๊ยนทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว เมื่อบี่เอี๊ยนพุ่งใส่กำลังใจสุดท้ายที่เหลืออยู่ของเหล่าทหารต่างก็ถูกทำลายไป ทหารนับร้อยได้โยนอาวุธของตัวเองไปก่อนที่จะวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิต
ลู่โจวไม่ได้มีเวลามานั่งจัดการกับเหล่าทหาร…
บี่เอี๊ยนยังคงวิ่งไล่ล่าเหยื่อของมันต่อไป เมื่อทหารถอยไปไกลพอมันก็กลับมาหาเหล่าศิษย์สาวกของลู่โจวอีกครั้ง
“ว้าว ท่านผู้อาวุโสน่าจะเรียกสัตว์ร้ายตัวนี้มาตั้งนานแล้ว ถ้าหากเป็นแบบนั้นคงจะไม่มีใครกล้ายืนหยัดต่อสู้กับพวกเราแน่” เจียงอาเฉียนพยายามขยับเข้าไปใกล้ๆ บี่เอี๊ยนเพื่อสัมผัสมัน แต่บี่เอี๊ยนก็ได้คำรามใส่ตัวเขาซะก่อน เจียงอาเฉียนที่เห็นแบบนั้นก็ได้ดึงแขนกลับไปด้วยความตกใจ
หยวนเอ๋อได้เดินมาจับตัวบี่เอี๊ยนเอาไว้ก่อนที่จะพูดออกมา “ดูเหมือนมันจะเกลียดเจ้านะ”
“ปกป้องพวกเขาซะ” ลู่โจวได้สั่งการออกมา
บี่เอี๊ยนได้นั่งลงกับพื้นอย่างเชื่อฟัง มันไม่ไล่ตามโจมตีเหล่าทหารอีกต่อไป บางทีบี่เอี๊ยนอาจจะรู้แล้วว่าตัวมันใช้พลังลมปราณไม่ได้ เพราะแบบนั้นมันจึงเลือกที่จะอยู่เฉยๆ เพื่อเป็นการประหยัดพลังของตัวเองอย่างชาญฉลาดแทน
ม่อหลี่และหลิวหยวนต่างก็ตกตะลึง เรื่องนี้มันอยู่เหนือความคาดหวังของพวกเขาทั้งสองไปแล้ว
แม้ว่าทหารส่วนมากจะหนีไปแล้ว แต่ก็ยังเหลือทหารอีกสองคนกำลังพุ่งเข้าหาลู่โจว
ลู่โจวเดินหน้าต่อไป ตัวเขารู้สึกว่าชีวิตของคนเราเป็นอะไรที่เปราะบางมาก มันบอบบางไม่ต่างจากกระดาษ “ข้าบอกเจ้าแล้ว…ในเขตแดนพลังทั้งสิบนี้ไม่มีใครเอาชนะข้าได้”
ม่อหลี่ที่ได้ยินแบบนั้นพยายามคว้าโอกาสสุดท้าย “ปิดใช้…ปิดใช้เขตแดนเดี๋ยวนี้!”
เจียงอาเฉียนที่เห็นแบบนั้นส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “เมื่อเปิดใช้งานเขตแดนทั้งสิบไปแล้วมันจะคงอยู่โดยที่ไม่อาจลบเรือนได้เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง เจ้าไม่รู้หรือไงกันในตอนที่ได้พิมพ์เขียวนั่นมา?”
“แล้วเจ้ารู้เรื่องนี้ได้ยังไงกัน?” ม่อหลี่ได้หันไปมองเจียงอาเฉียน เจียงอาเฉียนเกาหัว ในตอนที่เกิดไฟไหม้ขึ้นที่พระราชวังจิงเหอ ในตอนนั้นตัวเขายังดูเด็กกว่านี้มาก ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมารูปลักษณ์ของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปมหาศาล ยิ่งไปกว่านั้นเจียงอาเฉียนในตอนนี้ทั้งดูซุกซนและดูเลอะเทอะ คงไม่มีใครคิดว่าเขาคนนี้จะคือองค์ชายสามผู้ที่ได้ตายจากไปเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว แต่ถึงแบบนั้นนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอีกต่อไป
ม่อหลี่มองไปที่ลู่โจวที่กำลังเดินเข้ามาหานางอย่างช้าๆ
ในตอนนั้นที่ข้างๆ อัครมเหสี หลิวหยวนก็ได้ตะโกนออกมา “เจ้าจะยืนเฉยรออะไรกัน…น้องสี่บอกคนของเจ้าโจมตีเร็วเข้า!”
คนขององค์ชายสี่เป็นทหารที่มาจากพรมแดน พวกเขาคุ้นชินกับการต่อสู้และไม่คิดกลัวตาย
แม้ว่าจะได้รับคำสั่งแต่ถึงแบบนั้นหลิวปิงก็ได้แต่ยักไหล่ก่อนที่จะกางแขนออกมา “ท่านพี่ เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้า! ข้าพาคนมาที่นี่ไม่กี่คนเท่านั้น พวกเขาก็ต้องปกป้องข้าสิถึงจะถูก…” ตัวเขาได้หันไปหาลู่โจวก่อนที่จะพูดต่อ “ผู้อาวุโส ข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ ข้าทำได้แค่ปกป้องตัวเองก็เท่านั้น!”
ลู่โจวไม่ได้หันไปมอง ตัวเขายังคงเดินต่อไป
ในตอนนั้นบรรยากาศก็ได้ตึงเครียดมากกว่าเดิมจนแทบที่จะหายใจไม่ออก
ม่อหลี่และหลี่หยวนกำลังลุกลี้ลุกลน ทั้งสองพยายามมองหาความช่วยเหลือที่ยังคงหลงเหลืออยู่ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังไม่มีใครที่ดูจะพึ่งพาได้เลย
“อัศวินดำ!” ม่อหลี่ได้เดินถอยอีกครั้ง มีทหาร 4 คนปรากฏขึ้นมาที่ด้านหน้าของนาง
ในที่สุดอัศวินดำที่รออยู่ที่ด้านนอกก็ได้พุ่งเข้ามา
หลิวหยวนรู้สึกสบายใจขึ้นมากเมื่อเห็นแบบนั้น “ฟังคำสั่งข้าซะเหล่าอัศวินดำ ฆ่าทุกคนที่มาจากศาลาปีศาจลอยฟ้าซะ!”
เมื่อเหล่าอัศวินดำกลุ่มใหญ่ได้เข้ามา ในตอนนั้นก็มีอัศวินดำที่ขี่ม้าตัวใหญ่ที่สุดพุ่งเข้าหาม่อหลี่
“หลีกทางไปซะ!”
“ฝานซุยเหวินมาแล้ว!”
เมื่อได้ยินแบบนั้นแม่ทัพทั้งสี่ที่เหลือต่างก็สั่นกลัวก่อนที่จะรีบหลีกทาง
ฝานซุยเหวินกระโดดลงมาจากหลังม้า
ม่อหลี่ที่เห็นแบบนั้นดีใจมาก “แม่ทัพฝาน เจ้ามาได้ทันเวลาพอดี ข้า…”
ฉั๊วะ!
“ข้า…ข้า…”
คนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็ได้ยินเสียงของมีคมที่ฟาดฟันเข้าใส่เนื้อ มันเป็นเสียงที่ไม่ได้แปลกประหลาดอะไรสำหรับทหารผ่านศึกเลย สายตาของทุกคนที่จับจ้องลู่โจวอยู่ได้หันไปมองฝานซุยเหวินแทน
ดาบในมือของฝานซุยเหวินฝังอยู่ในท้องของม่อหลี่
เสียงของม่อหลี่ติดอยู่ในลำคอ เสียงของนางฟังดูแผ่วเบา ดวงตาของนางเบิกกว้าง ร่างกายของนางกำลังล้มตัวลง ม่อหลี่ได้ก้มลงไปมองอย่างช้าๆ ที่ท้องของนางมีดาบที่ชุ่มไปด้วยเลือดเสียบคาอยู่