เล้งลั่วได้ยกมือขึ้นมาเพื่อที่จะห้ามไม่ให้ทุกคนพูดต่อ “ข้าได้ทำให้มันบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว เจ้านั่นมันหนีไปได้ไม่ไกลหรอก..”
ฝานลี่เทียนไม่ได้สนใจอะไร ตัวเขาได้จิบเหล้าก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเกียจคร้าน “เจ้าหนูอา ไม่ต้องกังวลไปหรอก เจ้านั่นน่ะหนีไม่รอดแน่”
‘เรียกใครว่าเจ้าหนูอากัน? ข้ามีชื่อว่าเจียงอาเฉียนต่างหาก!’
“ชายคนนั้นคงจะฝึกฝนเคล็ดวิชาเต๋าพรางตัวมาจากชนเผ่าอื่นแน่” เล้งลั่วได้พูดต่อ “ในช่วงยุคทองในอดีต ตอนนั้นชนเผ่าอื่นๆ ต่างก็ฝึกฝนตัวเองจากเคล็ดวิชาที่ดินแดนหยานมีไป ในบรรดาวิธีการฝึกฝนต่างๆ ชนเผ่าอื่นๆ ที่ว่าก็สามารถคิดค้นเคล็ดวิชาใหม่ขึ้นมาได้ มันเป็นเคล็ดวิชาที่ทำให้ผู้ฝึกฝนสามารถหลบหนีได้อย่างรวดเร็ว เคล็ดวิชาที่ว่าก็คือเคล็ดวิชาเต๋าพรางตัวยังไงล่ะ”
“ถ้าหากพูดแบบนี้แสดงว่าเจ้านั่นจะหนีไปได้อย่างงั้นสินะ?” ดวงตาของเจียงอาเฉียนเบิกกว้าง ชายคนนั้นเป็นชายผู้ที่มาลอบสังหารเขา! เพราะแบบนั้นคนอื่นๆ จึงดูไม่สนใจเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่สำหรับเจียงอาเฉียนเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับตัวเขา
“เจ้านั่นหนีไปไหนไม่ได้หรอก…” ฝานลี่เทียนหัวเราะก่อนที่จะพูดต่อไป “พวกเราก็แค่ต้องดูต่อไปเท่านั้นว่าใครจะจับหนูขโมยตัวนี้ได้”
ฮั๊ววู่เด๋าพูดออกมา “ผู้อาวุโสเล้งได้ทำให้เจ้านั่นบาดเจ็บสาหัสแล้ว…ชายคนนั้นจะหนีไปไหนได้ยังไงกันหลังจากที่ถูกพลังลมปราณจากร่างอวตารที่สูงกว่า 100 ฟุตเข้าโจมตีแบบนั้นน่ะ? การจับหนูขโมยที่บาดเจ็บแบบนี้คงจะง่ายจนน่าเบื่อ” แม้ว่าจะพูดแบบนั้น แต่ฮั๊ววู่เด๋าก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ตัวเขาได้ปลดปล่อยพลังผนึกตราประทับทั้งหกออกมา
เล้งลั่วเงยหน้าขึ้นมองไปที่ฮั๊วยู่จิงที่ลอยอยู่บนกลางอากาศก่อนที่จะพูดขึ้นมา “ข้าจะฝากบนฟ้าเป็นหน้าที่ของเจ้าก็แล้วกัน”
ฮั๊วยู่จิงรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที นางรีบคารวะก่อนที่จะตอบกลับไป “มั่นใจได้เลยผู้อาวุโสเล้ง…มาดูกันว่าเจ้านั่นจะกล้าโผล่ขึ้นมาบนฟ้าไหม”
เล้งลั่วได้ก้าวไปด้านหน้า ตัวเขาได้เอามือไขว้หลังเอาไว้ก่อนที่จะหายตัวไปในพริบตา
เจียงอาเฉียนที่มองไปรอบๆ ตัวต่างพูดไม่ออก ‘ทุกคนที่อยู่ที่นี่เป็นพวกขี้โม้กันหมดเลยสินะ? การที่ข้าหวังพึ่งทุกคนคงจะไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิดหรอกนะ’
หมิงซี่หยินได้ตบไหล่ของเจียงอาเฉียนก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าเองก็เป็นยอดฝีมือผู้ที่มีอวตารดอกบัวห้ากลีบไม่ใช่หรอไงกัน?”
‘ยอดฝีมือผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวห้ากลีบแล้วไงกัน? ผู้ที่มีอวตารดอกบัวห้ากลีบจะกลัวไม่เป็นอย่างงั้นหรอไง?’ เจียงอาเฉียนได้แต่พูดกับตัวเองอยู่ภายในใจก่อนท้ายที่สุดแล้วตัวเขาจะพูดออกมา “ท่านพูดถูกแล้วท่านหมิงซี่หยิน ขอบคุณจริงๆ ที่เตือนสติข้า”
“ไปซะเถอะ อย่าเข้าใกล้ข้าให้มากกว่านี้เลย ข้าคิดว่าเจ้าคงจะเป็นเพื่อนได้ดีกับศิษย์น้องแปดของข้าแน่ ทั้งเจ้ากับข้าไม่ใช่คนประเภทด้วยกัน เจ้าไม่ได้มีความแข็งแกร่งแถมยังเป็นพวกขี้กลัว ข้าคิดว่าเจ้าน่ะเหมาะกับศิษย์น้องแปดมากที่สุดแล้ว” หมิงซี่หยินที่พูดจบก็หายตัวไปเช่นกัน
ที่หลังภูเขา ณ ด้านนอกของถ้ำแห่งเงาสะท้อน ภายใต้ค่ำคืนยามราตรี ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ที่นี่ต่างก็มืดมิด
มีใครคนหนึ่งกำลังเอามือกดหน้าอกของตัวเองอยู่ก่อนที่จะจ้องมองไปยังถ้ำแห่งเงาสะท้อน คนคนนั้นสำรวจสภาพแวดล้อมรอบตัวอย่างระมัดระวัง เมื่อแน่ใจแล้วว่าอยู่คนเดียวคนคนนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ
ในตอนนั้นเองขวดน้ำเต้าสีทองก็ได้พุ่งผ่านไปบนอากาศ
เมื่อเห็นน้ำเต้าคนคนนั้นก็หมอบลงกับพื้นในทันที คนคนนั้นได้เก็บซ่อนพลังของตัวเองเอาไว้เมื่อเห็นน้ำเต้าสีทอง หลังจากที่น้ำเต้าหายไปคนคนนั้นก็ได้เงยหน้าขึ้นมอง ตัวเขาประเมินพลังศาลาปีศาจลอยฟ้าต่ำจนเกินไป ชายแปลกหน้าสัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่ขัดขวางเส้นทางการหลบหนีของตัวเขาจากทุกๆ ทาง ทิศทางเดียวที่เหลืออยู่ก็คือหลังภูเขาที่ตัวเขากำลังยืนอยู่นั่นเอง
ชายคนนั้นพยายามที่จะห้ามเลือดและพลังลมปราณที่พลุ่งพล่านของตัวเองเอาไว้ก่อนที่จะก้าวเดินต่อ ในตอนนั้นเองยู่ฉางตงก็กำลังนั่งสมาธิพร้อมกับปิดตาอยู่ ทันทีที่ตัวเขาสัมผัสได้ถึงสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปยู่ฉางตงก็ได้เอ่ยปากออกมา “นั่นใครกัน?”
พรึ๊บ!
ชายคนนั้นเดินเข้าไปในถ้ำก่อนที่จะปรากฏตัวอยู่ที่ด้านข้างของยู่ฉางตง
เจียงเหลียนอยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เกือบตลอดเวลา ตัวเขาจะออกจากเมืองก็ต่อเมื่อได้รับภารกิจมาเท่านั้น ดังนั้นตัวเขาจึงรู้เกี่ยวกับเรื่องของศาลาปีศาจลอยฟ้าน้อยมาก น่าเสียดายที่เขาไม่ได้รู้อะไรเลยจากก่อนหน้านี้ แต่ถึงแบบนั้นเจียงเหลียงก็พอจะสันนิษฐานได้ว่าคนที่ถูกคุมขังเอาไว้ที่นี่จะต้องเป็นศัตรูกับศาลาปีศาจลอยฟ้าแน่
“อย่าส่งเสียงเชียว ไม่งั้นเจ้าได้ตายแน่”
เจียงเหลียงเอามือข้างหนึ่งจับไว้ที่หน้าอกของตัวเองก่อนที่จะจ้องมองไปยังยู่ฉางตง ในขณะที่ตรวจสอบชายที่อยู่ตรงหน้าเจียงเหลียงก็เริ่มคิดสงสัย ชายที่อยู่ตรงหน้าไร้ซึ่งพลังลมปราณใดๆ และเพราะแบบนั้นเจียงเหลียงจึงรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
“สหาย เจ้ากำลังบาดเจ็บอยู่” เสียงของยู่ฉางตงอ่อนโยนเหมือนเช่นเคย
เจียงเหลียงที่ได้ยินแบบนั้นขมวดคิ้วก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าถูกศาลาปีศาจลอยฟ้ากักขังไว้อย่างงั้นหรอ?”
“ถูกต้องแล้ว” ยู่ฉางตงตอบกลับไปอย่างตรงไปตรงมา
“แล้วทำไมเจ้าไม่หนีไปซะล่ะ?” เจียงเหลียงถามออกมาอย่างสงสัย
“หนีอย่างงั้นหรอ?” ยู่ฉางตงส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ถ้าหากข้าทำได้ข้าก็คงจะทำไปนานแล้ว ข้าคงจะไม่รอจนถึงตอนนี้หรอก”
เจียงเหลียงพยักหน้า “ดูเหมือนว่า…ข้าจะประเมินศาลาปีศาจลอยฟ้าต่ำไปซะแล้ว”
ยู่ฉางตงที่กำลังจะยืนขึ้นถูกเจียงเหลียงขัดเอาไว้ซะก่อน “อย่าขยับ”
“เจ้ากลัวอย่างงั้นหรอ?”
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าเต็มไปด้วยยอดฝีมือ ถ้าหากเจ้าพาข้าซวยไปด้วย ข้าก็จะพาเจ้าตายไปด้วยเช่นเดียวกัน” เจียงเหลียงได้พูดออกมา
ยู่ฉางตงมองไปที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่อยู่ด้านนอกก่อนที่จะพูดขึ้น “เจ้าต้องการที่จะฆ่าข้าอย่างงั้นสินะ?”
เจียงเหลียงประเมินยู่ฉางตงอีกครั้ง ในตอนนั้นแสงจากดวงจันทร์ก็ได้ส่องกระทบใบหน้าของยู่ฉางตง เจียงเหลียงคิดว่ายู่ฉางตงดูอ่อนโยนกับเขา ตัวเขาจึงไม่คิดที่จะทำแบบนั้นจริงๆ “ข้าแค่พยายามเอาตัวรอดก็เท่านั้น อย่าทำให้ข้าขุ่นเคืองใจเลยจะดีกว่า”
“ไม่จำเป็นจะต้องกลัวไปสหาย…ถ้าหากเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในอดีต เจ้าคงจะไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้หายใจอีกต่อไปแน่เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า” ยู่ฉางตงพูดออกมา
“…” เจียงเหลียงขมวดคิ้วอีกครั้ง ตัวเขาได้พูดเย้ยหยันออกมา “ถ้าหากข้าไม่ได้รับบาดเจ็บเพราะความประมาท ข้ามั่นใจว่าข้าจะต้องหนีไปได้แน่”
ยู่ฉางตงส่ายหัว “เจ้ากำลังประเมินพลังของศาลาปีศาจลอยฟ้าต่ำไป”
“เจ้าหมายความว่าอะไรกัน?”
“แม้ว่าข้าจะมีพลังวรยุทธอยู่ แต่แทบที่จะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหนีไปจากที่นี้ได้ ไม่ต้องพูดถึงเจ้าเลย” ยู่ฉางตงพูดออกมาอย่างเยือกเย็น
เป็นธรรมดาที่เจียงเหลียงจะไม่เห็นด้วย “เจ้าก็ดีแต่พูดเข้าข้างตัวเองก็เท่านั้นแหละ”
“ความมั่นใจและความทะเยอทะยานเป็นหนึ่งในหายนะของเหล่าชายหนุ่ม” ยู่ฉางพูดออกมา มันเป็นคำพูดที่ตัวเขาคำนึงถึงคำพูดของผู้เป็นอาจารย์นั่นเอง คำพูดของอาจารย์ดูเหมือนว่าจะสมเหตุสมผลแล้ว
เจียงเหลียงมองออกไปที่ด้านนอกก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเริงร่า “นักโทษต่ำต้อยอย่างเจ้าจะเทียบอะไรกับข้าได้ พวกเราไม่ได้อยู่ในสถานะเดียวกันนะ เจ้าอย่าลืมไปซะสิ”
ยู่ฉางตงลุกขึ้นยืนก่อนที่จะยิ้มให้ “ข้าต้องขอโทษด้วย”
“หืม?”
“เจ้าเลือกผิดคนแล้วล่ะ” คำพูดของยู่ฉางตงแสนจะดูเรียบง่าย
เจียงเหลียงรู้สึกงุนงงกับคำพูดของยู่ฉางตง
ยู่ฉางตงก้าวไปที่ด้านหน้า
ในตอนนั้นเองเจียงเหลียงก็เริ่มขยับมือ ใบมีดที่อยู่ในมือของเขาได้ส่องแสงสว่างออกมาอย่างเย็นชา
ในตอนนั้นเองยู่ฉางตงก็ได้ยกดาบของตัวเองขึ้นมา ดาบยืนยาวไม่ได้ถูกชักออกมาซะด้วยซ้ำ ดาบยืนยาวของยู่ฉางตงถูกยกขึ้นมาในแนวเฉียง
พรึ๊บ!
ดาบที่อยู่ภายในฝักกำลังออกเคลื่อนไหว
การเคลื่อนไหวของดาบไหลลื่นดูเป็นธรรมชาติราวกับสายน้ำ
การต่อสู้ได้สิ้นสุดลงแล้ว!
แกร๊ก!
มีดของเจียงเหลียงหักครึ่ง อีกครึ่งหนึ่งของมีดร่วงหล่นสู่พื้น ส่วนอีกครึ่งหนึ่งของมีดอยู่บนมือของเจียงเหลียง ดวงตาของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เจียงเหลียงรู้สึกราวกับว่าจุดตันเถียนของตัวเองถูกเจาะทะลุไป ยิ่งไปกว่านั้นที่ท้องทางด้านซ้ายล่างและไหล่ขวา เจียงเหลียงรู้สึกว่ามันได้ถูกเฉือนไป คมดาบได้ตัดผ่านจุดตันเถียนไป พลังลมปราณที่เจียงเหลียงมีได้แพร่กระจายออกมาจากตัวอย่างช้าๆ ชายที่อยู่ตรงหน้าของเจียงเหลียงไม่ได้ใช้พลังลมปราณออกมาแม้แต่นิดเดียว ‘เจ้านี่โจมตีข้าด้วยกำลังกายของเขาเพียงอย่างเดียวอย่างงั้นหรอ?’
เจียงเหลียงหันมองไปที่ดาบยืนยาวที่ยืนอยู่ด้านข้าง มันได้ส่องแสงสีแดงจางๆ ออกมาก่อนที่มันจะจางหายไป เห็นได้ชัดว่าดาบเล่มนั้นมันเป็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา
ยู่ฉางตงส่ายหัวออกมาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “ถ้าหากข้ามีพลังเต็มที่ เจ้าก็คงจะต้องตายไปในทันทีแล้ว ข้าขอโทษจริงๆ ที่ทำให้เจ้าเจ็บปวดทรมานก่อนตายแบบนี้…”
เลือดเต็มไปด้วยเสื้อผ้าของเจียงเหลียง “ถ้าหากข้าไม่ได้บาดเจ็บหนัก…เจ้าคงจะแตะตัวข้าไม่ได้แน่…”
“ถ้าหากเจ้าไม่ได้บาดเจ็บอย่างงั้นหรอ?” ยู่ฉางตงได้ยิ้มออกมาจางๆ ตัวเขาได้กลับไปนั่งทำสมาธิเช่นเดิมก่อนที่จะหลับตาเอาไว้ ยู่ฉางตงไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป
ชีวิตของเจียงเหลียงกำลังจะหายไปชั่วนิรันดร์ เจียงเหลียงได้ทรุดตัวลงกับพื้นอย่างรุนแรง ในตอนนั้นเองจุดตันเถียนของเขาก็ถูกตัดขาดไปอย่างสมบูรณ์ เจียงเหลียงไม่มีความสามารถที่จะโคจรพลังลมปราณได้อีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นเจียงเหลียงยังได้รับบาดเจ็บก่อนแล้ว ตอนนี้ตัวเขาได้แต่นั่งรอความตายเท่านั้น
ก่อนที่จะตายจากไป เจียงเหลียงก็ได้มองไปที่ชายตรงหน้า ชายคนนี้กำลังนั่งสมาธิอยู่ เจียงเหลียงได้ถามขึ้น “เจ้าคือใครกัน…อย่างน้อยๆ ก็ให้ข้ารู้ชื่อคนที่ฆ่าข้าเถอะ”
ยู่ฉางตงได้ลืมตาขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่จะจ้องมองไปยังเจียงเหลียง “ข้ามีชื่อว่าเจียงเหลียง”
เจียงเหลียงหัวเราะออกมาเบาๆ ‘ถ้าหากข้าไม่บาดเจ็บอย่างงั้นหรอ ในตอนนี้ถ้าหากข้าไม่ได้รับบาดเจ็บก็ไม่รู้แล้วว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปไหม ถ้าหากข้าไม่ได้รับบาดเจ็บและยู่ฉางตงสามารถใช้พลังวรยุทธได้ ข้าก็คงจะถูกเขาสังหารไปอย่างน่าสยดสยองตั้งแต่แรกแล้ว’
ความคิดหลายอย่างได้ผุดขึ้นมาในใจของเจียงเหลียง ไม่ว่าจะเป็นความเสียใจ ความสิ้นหวัง ก่อนที่เจียงเหลียงจะตายตัวเขาก็ได้เอ่ยปากพูดคำสุดท้ายออกมา “ดี” ศีรษะของเจียงเหลียงเอนไปด้านข้าง เจียงเหลียงไม่ได้หายใจอีกต่อไป
ในคืนนั้นเองก็ยังมีแสงจันทร์สลัวๆ
หลังจากนั้นก็มีแสงจันทร์ส่องลงมาที่ถ้ำแห่งเงาสะท้อนอีกครั้ง ผมของยู่ฉางตงในตอนนี้ได้แปรเปลี่ยนจนกลายเป็นสีขาวไปกว่าครึ่งแล้วนั่นเอง