ลู่โจวกำลังเฝ้ามองสัตว์ขี่ตัวนั้นอยู่ ตัวเขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเหมือนกับเคยเห็นมันที่ไหนมาก่อน กลิ่นอายพลังรอบตัวของมันทำให้ลู่โจวรู้สึกคุ้นเคยมาก
แม้ว่าฮั๊วยู่จิงจะรู้สึกละอายแก่ใจในทักษะที่ตัวเองมี แต่ถึงแบบนั้นนางก็ไม่ได้ท้อถอยเมื่อเห็นอดีตอาจารย์อย่างชานหยุนเจิ้งแสดงฝีมือออกมา ในตอนที่นางเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าเป็นครั้งแรก ในตอนนั้นลู่โจวก็ได้ให้ฮั๊วยู่จิงฝึกฝนวิชาเพ่งกระแสจิต มันเป็นเคล็ดวิชาที่จะทำให้นางยิงธนูได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขิ้น ฮั๊วยู่จิงยิงธนูได้อย่างรวดเร็วจนแม้แต่คนอื่นๆ ที่จับจ้องอยู่ก็ไม่อาจมองตามได้ทัน บางทีมันอาจจะเป็นเพราะความสามารถที่ฮั๊วยู่จิงมีก็ได้จึงทำให้ตัวนางถูกขับไล่ออกมาจากสำนักแบบนี้ คงจะไม่มีผู้ที่เป็นอาจารย์คนไหนอยากโดนเปรียบเทียบความสามารถกับผู้ที่เป็นศิษย์ของตัวเอง
ดวงตาของฮั๊วยู่จิงเปล่งประกายออกมาอย่างมุ่งมั่นในระหว่างที่ยิงธนูต่อ ‘แม้ว่าข้าอาจจะเทียบอะไรกับท่านไม่ได้ในเรื่องของความแม่นยำรวมไปถึงพลัง แต่ข้าก็มั่นใจว่าตัวข้ามีบางอย่างที่โดดเด่นกว่าท่าน’
ลูกศรพลังงานถูกนิ้วของฮั๊วยู่จิงกำเอาไว้แน่น นางได้ดึงสายธนูกลับมาก่อนที่จะปล่อยสายธนูไป…
ฟรึ๊บ! ฟรึ๊บ! ฟรึ๊บ!
ลูกธนูพลังงานของนางได้พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า มันกำลังพุ่งเป้าไปที่สัตว์ขี่นั่นเอง ข้อดีของการใช้ธนูไม่ได้มีดีแค่การโจมตีระยะไกลเท่านั้น มือธนูที่มีความแม่นยำจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของพลังการโจมตีได้ด้วยเช่นกัน ฝีมือที่ฮั๊วยู่จิงมีไม่เหมือนกับฝีมือการยิงธนูของทหารทั่วไป ผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์สามารถสร้างคันธนูพลังงานและลูกศรพลังงานขึ้นมาเองได้ พลังทำลายล้างที่ลูกศรพลังงานจะทำได้มันรุนแรงกว่าพลังที่มาจากดาบพลังงานบริสุทธิ์มาก และลูกศรที่ยิงออกไปยังมีความเร็วรวมไปถึงรัศมีพลังทำลายที่มากกว่าอีกด้วย
ฮั๊วยู่จิงสามารถยิงลูกศรพลังงานสามดอกออกมาพร้อมๆ กัน นางได้ใช้นิ้วที่มีกำลูกศรไว้แน่นก่อนที่จะปล่อยมันออกไป การยิงลูกศรติดกันสามดอกถือว่าถึงขีดจำกัดพลังวรยุทธของที่นางมีแล้ว ด้วยพลังวรยุทธของฮั๊วยู่จิงที่มี นางมีพลังอวตารดอกบัวสองกลีบเพียงเท่านั้น แต่ถึงแบบนั้นนางก็สามารถใช้วิชาเพ่งกระแสจิตเพื่อเพิ่มความเร็วในการยิงธนูได้ ฮั๊วยู่จิงสามารถเร่งความเร็วในการยิงธนูจนสามารถยิงธนู 4-5 ดอกติดต่อกันได้ในช่วงเวลาอันสั้น ที่จริงแล้วความเร็วในการยิงธนูขนาดนี้จะทำได้โดยมือธนูที่มีพลังอวตารดอกบัวห้าใบหรือเหนือกว่านั้น
ในตอนแรกชานหยุนเจิ้งไม่ทันที่จะได้สังเกตเห็น แต่เมื่อนางเห็นลูกธนูพลังงานจากทางด้านข้างเพิ่มมากขึ้น นางก็ได้มองไปที่อดีตลูกศิษย์คนนี้ ‘เด็กคนนี้ยิงธนูได้รวดเร็วขนาดนี้ได้ยังไงกัน?’
การยิงธนูจู่โจมต่อเนื่องไม่ใช่การโจมตีที่เปล่าประโยชน์เลย สัตว์ขี่ตัวนั้นเริ่มส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาหลังจากที่ถูกลูกศรทั้งหลายจู่โจมเข้าใส่ เสียงร้องของสัตว์ขี่ตัวนั้นดังกึกก้องไปทั่วหุบเขา
ลู่โจวมองไปที่ควันพิษที่อยู่บนท้องฟ้า ตัวเขาได้พูดสั่งการขึ้น “ผู้อาวุโสฮั๊ว ผนึกตราประทับทั้งหก”
ฮั๊ววู่เด๋าที่ได้ยินเช่นนั้นพยักหน้า ตัวเขาก้าวไปที่ด้านหน้าก่อนที่จะเริ่มใช้พลัง…ตราพลังแปดเหลี่ยมหยินหยางได้ปรากฏขึ้นใต้เท้าของฮั๊ววู่เด๋า ในตอนนั้นตัวอักษรทั้งหกก็ได้ปรากฏออกมาจากร่างกาย หลังจากนั้นตัวอักษรอีก 3 ตัวที่เหลือก็ได้ปรากฏตัวออกมาจางๆ พลังผนึกตราประทับทั้งหกได้แพร่ขยายออกมา พลังของฮั๊ววู่เด๋าได้ก่อตัวขึ้นมาจากพื้นดิน พลังของฮั๊ววู่เด๋าไม่ได้มีไว้เพื่อป้องกันอะไร มันเป็นพลังที่มีไว้เพื่อจัดการควันพิษนั่นเอง
ยิ่งพลังผนึกตราประทับทั้งหกขยายตัวไปได้มากเท่าไหร่ ควันสีม่วงก็ได้ถูกผลักกลับไปบนชอบฟ้า
โฮร๊ก!
สัตว์ขี่ตัวเดิมได้ส่งเสียงร้องครวญครางออกมาด้วยความโกรธเมื่อเห็นควันพิษของตัวเองถูกผลักกลับมา สภาพที่บ้าคลั่งของมันเองก็ยิ่งดูรุนแรงมากยิ่งขึ้น มันได้กระโจนไปบนอากาศก่อนที่จะคำรามและพ่นควันพิษออกมาอีกระลอกหนึ่ง
“ท่านอาจารย์ ส่งบี่เอี๊ยนไปจัดการมันเถอะค่ะ!” หยวนเอ๋อที่อยู่ใกล้ๆ ได้ใช้นิ้วเล็กๆ ของนางชี้ไปที่สัตว์ขี่ที่กำลังบ้าคลั่ง ลู่โจวเองก็คิดว่ามันเป็นข้อเสนอแนะที่ยอดเยี่ยม ถ้าหากเป็นบี่เอี๊ยนแล้วล่ะก็มันจะต้องรับมือกันได้แน่
ลู่โจวที่กำลังจะเรียกบี่เอี๊ยนได้เห็นชานหยุนเจิ้งกระโจนขึ้นไปบนอากาศซะก่อน นางลอยอยู่บนกลางอากาศก่อนที่จะใช้สายตาอันเฉียบคมจ้องมองไปที่สัตว์ขี่ตัวนั้น “หยุดซะ!” นางได้เสกลูกศรพลังงานออกมา คันธนูที่อยู่ในมือของนางดูยิ่งใหญ่พอๆ กับหน้าไม้บนกำแพงเมือง ลูกศรพลังงานที่ถูกใช้ในการยิงได้ส่องแสงสีแดงออกมาเพราะจากความร้อน
ทุกๆ คนที่เห็นแบบนั้นต่างก็ตกใจเช่นกัน สิ่งนี้แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีว่าพลังวรยุทธที่ชานหยุนเจิ้งมีเป็นของจริง การที่จะเสกลูกศรพลังงานแบบนั้นมาได้ไม่ได้มีให้เห็นกันบ่อยๆ
ชานหยุนเจิ้งได้ปล่อยนิ้วของตัวเอง
ตู๊ม!
ลูกศรพลังงานดอกนั้นได้พุ่งไปบนอากาศ…
สัตว์ขี่ตัวนั้นสัมผัสได้ถึงภัยอันตราย มันได้หยุดพ้นควันพิษออกมาก่อนที่จะหันหลังกลับไปเพื่อที่จะหลบหนี ถ้าหากสัตว์ขี่ตัวนี้ไปไกลมากพอก็คงจะไม่มีผู้ฝึกยุทธคนไหนตามมันทันได้
โชคยังดีที่ลูกศรพลังงานจู่โจมเข้าใส่มันได้ซะก่อน
พรึ๊บ!
สัตว์ขี่ตัวนั้นร่วงหล่นลงสู่พื้น
โฮร๊ก!
สัตว์ขี่ที่ได้รับบาดเจ็บเริ่มส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา พลังของลูกศรได้กระจัดกระจายหายไป “พลังป้องกันของสัตว์ขี่ตัวนี้มันมีมากขนาดไหนกันแน่?” ฮั๊ววู่เด๋าที่เห็นแบบนั้นอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
ชานหยุนเจิ้งได้คลายพลังทั้งหมดของนางไป นางได้เดินไปหาสัตว์ขี่ตัวนั้น
ชานหยุนเจิ้งรู้สึกจนปัญญา นางรู้ดีว่านางจะต้องฆ่าสัตว์ขี่ตัวนี้ก็เพื่อที่จะพิสูจน์ว่าสำนักลั่วไม่ได้จงใจคิดแผนการนี้ ชานหยุนเจิ้งที่ลงมาถึงพื้นได้คารวะให้กับลู่โจว “ได้โปรดท่านผู้อาวุโส ให้ข้าได้ยืมอาวุธด้วยเถอะ” ชานหยุนเจิ้งได้ใช้คำว่า “ขอยืม” เห็นได้ชัดว่านางต้องการที่จะใช้ธนูจันทรา
ด้วยพลังของธนูจันทราจะทำให้นางสามารถขยายพลังการโจมตีออกไปได้ นอกจากนี้ความเร็วในการยิงธนูของนางเองก็จะเพิ่มขึ้นมาอย่างน่ากลัวเช่นกัน
แต่น่าเสียหายที่ลู่โจวไม่ได้ตอบตกลงไป “มีใครบางคนควบคุมสัตว์ขี่ตัวนี้”
สัตว์ขี่ตัวเดิมที่ฟื้นคืนจากอาการบาดเจ็บได้บินสูงอยู่บนท้องฟ้าอีกครั้ง และเมื่อมันมีประสบการณ์ที่ถูกการโจมตีมาทำให้มันรู้ตัวแล้วว่าการโจมตีด้วยลูกศรพลังงานเพียงอย่างเดียวไม่อาจที่จะฆ่ามันได้ ดังนั้นมันจึงเริ่มปล่อยควันพิษออกมาอีกครั้ง
ควันพิษที่ถูกปล่อยออกมาพุ่งตรงไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า
“ไม่น่าแปลกเลย สัตว์ขี่ตัวนี้ฉลาดเกินไป อย่างงี้นี้เอง มีคนควบคุมมันอยู่อย่างงั้นสินะ!” ฝานซงอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
ชานหยุนเจิ้งขมวดคิ้ว “ผู้อาวุโสลู่อย่างงั้นหรอ? เป็นไปได้ยังไงกัน?”
“สัตว์ขี่ตัวนี้มีชื่อว่าไป๋หวู่ มันเป็นสัตว์ขี่ของพี่ม่อหลี่ ข้าเคยสู้กับมันมาแล้วครั้งหนึ่งที่แท่นประลองดอกบัว”
หมิงซี่หยิน, ต้วนมู่เฉิง และหยวนเอ๋อเองก็อยู่ในเหตุการณ์นั้น เสียงคำรามที่ลึกล้ำของมันเป็นเสียงเดียวกันกับเสียงคำรามที่ได้ยินบนแท่นประลองดอกบัว ทั้งสามคนต่างก็ตกใจกับความจริงที่เพิ่งจะถูกเปิดเผย
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะเหลือบมองไปที่สัตว์ขี่ตัวนั้น ไป๋หวู่ในตอนนี้กำลังอยู่บนท้องฟ้า สัตว์ขี่ตัวนี้สามารถต้านทานแรงสะท้อนจากพลังดอกบัวสีฟ้าได้ อันที่จริงแล้วพลังป้องกันของมันสูงจนทำให้ลู่โจวตกใจ มันอาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะอัญเชิญบี่เอี๊ยนออกมา ถ้าหากมีคนควบคุมมันไป๋หวู่ก็จะเป็นเหมือนมนุษย์ มันอาจจะใช้เวทมนตร์คาถาออกมาได้ด้วยซ้ำ
“ท่านปรมาจารย์ได้โปรดให้ข้าได้ยืมอาวุธด้วยเถอะ” ชานหยุนเจิ้งได้พูดออกมาอีกครั้ง
ลู่โจวได้โยนอาวุธก่อนที่จะพูดออกมา “สำนักลั่วควรจะดูแลเรื่องในสำนักให้ดีกว่านี้” ความจริงแล้วลู่โจวก็อยากที่จะเห็นว่าพลังป้องกันของไป๋หวู่แท้จริงแล้วทรงพลังมากแค่ไหน ตัวเขาต้องการที่จะคิดทบทวนว่าจะใช้พลังจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์มากแค่ไหนเพื่อที่จะจัดการมัน ถ้าหากพลังจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ไม่พอ ลู่โจวก็จะใช้การ์ดการโจมตีของเพชฌฆาตฆ่ามัน
ชานหยุนเจิ้งรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อได้ถือธนูจันทราอีกครั้ง นางได้พุ่งตัวไปบนอากาศพร้อมกับถือธนูจันทราเอาไว้ที่มือข้างซ้าย ที่ธนูจันทราถูกล้อมรอบไปด้วยพลังลมปราณของนาง พลังที่ล้อมรอบได้อัดแน่นจนทำให้ธนูจันทราเปล่งแสงสีทองออกมา แสงสีทองจากธนูจันทราเริ่มเปล่งประกายมากขึ้น และมากขึ้นไปอีก พลังที่ซ้อนทับกันบนคันธนูจันทราได้ขยายใหญ่ขึ้นจนเทียบเท่าได้กับตัวของชานหยุนเจิ้งเอง
ไม่นานจากนั้นธนูจันที่ก็เริ่มขยับ
ชานหยุนเจิ้งได้ดึงสายธนูด้วยปลายนิ้วมือข้างขวา ลูกศรพลังงานที่ใหญ่กว่าครั้งที่แล้วได้ปรากฏออกมา นี่คือพลังของมือธนูผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวหกกลีบมี
ทุกๆ คนต่างก็จับจ้องไปที่ลูกศรของนาง
ฮั๊วยู่จิงเองก็จับจ้องไปเช่นกัน ในตอนนี้นางยอมแพ้แล้วที่จะเทียบเคียงฝีมือกับผู้ที่เป็นอดีตอาจารย์ไปแล้ว ไม่ว่านางจะพยายามแสดงฝีมือแค่ไหนแต่มันก็เทียบเคียงกับชานหยุนเจิ้งที่ถือธนูจันทราไม่ได้จริงๆ
บรรยากาศในตอนนี้เต็มไปด้วยความตึงเครียด
ชานหยุนเจิ้งกำลังกลั้นหายใจเอาไว้อย่างใจจดใจจ่อ ดวงตาที่เฉียบคมของนางกำลังจับจ้องไปที่ไป๋หวู่ที่กำลังเวียนว่ายอยู่บนอากาศ ลูกศรพลังงานที่นางได้สร้างออกมาบัดนี้ถูกสร้างขึ้นจนมีรูปร่างที่สมบูรณ์แบบแล้ว
ฟรึ๊บ!
ชานหยุนเจิ้งได้ปล่อยปลายนิ้วมือ ในตอนนั้นเองลูกศรพลังงานที่ถูกปล่อยออกมาจากคันธนูจันทราก็ได้พุ่งไปหาเป้าหมาย
ไป๋หวู่รู้สึกได้ถึงภัยคุกคามที่เหมือนกับก่อนหน้านี้ มันได้หยุดการเคลื่อนที่อย่างกะทันหันก่อนที่จะเริ่มการเคลื่อนไหวแบบใหม่ มันได้ขดตัวเองลงให้ดูเหมือนเม่นไป ขนของมันที่เคยเรียบไปกับตัวบัดนี้ได้ตั้งตระหง่านขึ้นมาแล้ว
ตู๊ม!
ลูกศรพลังงานได้แตกกระจายไปทุกหนทุกแห่ง
ลูกศรพลังงานได้พุ่งชนไป๋หวู่เข้าอย่างจัง เสียงปะทะกันระหว่างสองฝ่ายได้ดังไปทั่วทั้งผืนฟ้า
ในตอนนั้นเองพลังสีม่วงก็ได้กระจายออกมาจากร่างกายของไป๋หวู่
“มันบาดเจ็บแล้ว” ฝานซงพูดขึ้น
“น่าเสียดายจริงๆ ที่มันยังไม่ตาย ถ้าหากเป็นแบบนี้มันจะต้องคิดหนีแน่!”
ไป๋หวู่กำลังรู้สึกหวาดกลัว มันไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะมีมือธนูผู้แข็งแกร่งอยู่บนภูเขาทอง เมื่อได้รับบาดเจ็บผู้ที่เป็นเจ้านายของมันก็พยายามที่จะเปลี่ยนแผนการเดิม ในตอนนี้ไป๋หวู่ได้กลับตัวก่อนที่จะเริ่มบินหนีด้วยความเร็วสูงสุด
ชานหยุนเจิ้งไม่พอใจกับการยิงธนูของตัวเอง แม้ว่านางจะคิดไว้แล้วว่าการยิงธนูในครั้งนี้อาจจะไม่สามารถสังหารไป๋หวู่ได้ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ควรที่จะได้รับบาดเจ็บสาหัส นางได้ดึงคันธนูออกมาอีกครั้งก่อนที่จะปล่อยลูกศรพลังงานไปอีกรอบ
ฟรึ๊บ!
ไป๋หวู่อยู่ห่างจนเกินไป เมื่อลูกศรพลังงานของนางไปถึงไป๋หวู่ พลังทำลายล้างที่เคยมีก็ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด พลังการโจมตีของมันน้อยลงจากก่อนหน้านี้
“เจ้าสัตว์ร้าย!” ชานหยุนเจิ้งรู้สึกกดดันขึ้นมา ยิ่งนางรู้สึกลุกลี้ลุกลนมากเท่าไหร่นางก็ยิ่งอยากที่จะปลดปล่อยพลังลมปราณของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งนางใช้พลังลมปราณมากเท่าไหร่ การยิงธนูของนางก็เริ่มเสียจังหวะมากขึ้น
“อย่างงี้แย่แน่! มันกำลังจะหนีไปได้”
ไป๋หวู่ได้รับบาดเจ็บ มันกำลังพุ่งตัวออกไปจากหมู่เมฆ ชานหยุนเจิ้งที่เห็นแบบนั้นถึงกับทำอะไรไม่ถูก แต่ถึงแบบนั้นนางก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ตราบใดที่สัตว์ขี่ตัวนั้นหยุดปล่อยควันพิษออกมาได้ เรื่องความวุ่นวายทั้งหมดของศาลาปีศาจลอยฟ้าก็จะถูกหยุดลง นางยังพอมีโอกาสที่จะกอบกู้สถานการณ์กลับคืนมาได้ ชานหยุนเจิ้งจ้องมองไปที่ไป๋หวู่ที่กำลังถอยกลับก่อนที่จะพูดออกมา “สัตว์ขี่ตัวนี้มีความสามารถที่ไม่ธรรมดา ท่านปรมาจารย์โปรดสั่งการด้วย”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่สำนักลั่วสมรู้ร่วมคิดกับคนจากลั่วหลาน?” ลู่โจวได้ยกมือขึ้นมาเล็กน้อย ในตอนนั้นเองธนูจันทราก็ได้ลอยออกจากมือของชานหยุนเจิ้งก่อนที่จะกลับไปที่มือของลู่โจว
เป็นธรรมดาที่ชานหยุนเจิ้งไม่เต็มใจที่จะแยกจากกับอาวุธของตัวเอง ในตอนนั้นลู่โจวได้บินขึ้นไปบนอากาศ การเคลื่อนไหวของเขาไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป ในความจริงแล้วการเคลื่อนไหวของเขาไม่ได้ดูสำคัญอะไรเลยด้วยซ้ำ
“ท่านปรมาจารย์กำลังทำอะไรกัน?”
ทุกๆ คนจ้องมองไปที่ลู่โจวด้วยความหวัง
ลู่โจวได้ถือคันธนูจันทราอยู่ที่มือซ้ายของตัวเอง สายตาของเขาจ้องมองไปที่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ…
คันธนูจันทรากำลังสั่นสะเทือนอยู่ในมือของลู่โจว