ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบแห่งของสำนักลั่วลอยสูงอยู่เหนือกลุ่มเมฆ เสียงพัดผ่านจากลมภูเขาเป็นเสียงที่ดังมากพอจนทำให้รบกวนผู้ฝึกสมาธิได้อย่างง่ายดาย และเพราะแบบนั้นการที่มีม่านพลังคอยกั้นขวางแรงลมจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
โดยปกติแล้วดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแรกจะเป็นสถานที่ที่เงียบสงบ มีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่จะอยู่ในสถานที่แห่งนี้ แต่ในตอนนี้ความเงียบที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแรกมีมันเงียบจนน่าขนลุก
สาวกทั้งสามสำนักต่างก็ลืมที่จะหายใจ เหล่าสาวกต่างก็ยกย่องลั่วฉีซาน ผู้ที่กล้าต่อกรกับปรมาจารย์แห่งศาลาลอยฟ้าตรงๆ ชายคนนี้ถือว่าเป็นสุดยอดฝีมือจากแท่นบูชาแห่งดาบ เขาเป็นหนึ่งในยอดฝีมือแห่งแท่นบูชาทั้งแปดของสำนักหยุน ชายคนนี้ถูกคนทั่วไปเรียกกันว่านักบุญแห่งดาบ ลั่วฉีซาน
ลั่วฉีซานยังไม่ตาย ตัวเขาแค่รู้สึกราวกับถูกค้อนขนาดใหญ่ยักษ์กระแทกเข้ามาที่หน้าอกของตน ลั่วฉีซานรู้ได้ทันทีว่าอวัยวะภายในของเขากำลังได้รับบาดเจ็บ เพียงแค่คำพูดไม่อาจที่จะสาธยายความรู้สึกที่ลั่วฉีซานกำลังเจ็บปวดได้ ตัวเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะหักห้ามตัวเองไม่ให้กระอักเลือด ถึงแม้ว่าจะเป็นยอดฝีมือผู้ที่มีพลังวรยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์แต่สำหรับลั่วฉีซาน การเคลื่อนไหวอย่างง่ายๆ อย่างการลุกขึ้นมาจากพื้นก็ยังเป็นสิ่งที่ยากที่จะทำในตอนนี้
ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะไปช่วยลั่วฉีซาน ลั่วฉีซานเองตื่นตกใจกับพลังฝ่ามือที่ถูกจู่โจมมาอย่างแม่นยำและยังแข็งแกร่งของลู่โจว เหล่าผู้อาวุโส, เจ้าสำนักทั้งหลาย รวมไปถึงหยุนเทียนลั่วเองต่างก็ตกใจเช่นกัน
แม้แต่เล้งลั่วและฝานลี่เทียนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เองก็ยังสับสน ลู่โจวสามารถปล่อยพลังฝ่ามือที่ทรงพลังแบบนั้นมาได้ยังไงกัน?
ในตอนนั้นเองเกิดความเงียบขึ้นมาชั่วครู่
ในที่สุดลั่วฉีซานก็สามารถระงับเลือดลมที่พลุ่งพล่านของตัวเองได้ ใบหน้าของตัวเขาแดงระเรื่อจากความพยายาม หลังจากนั้นไม่นานในที่สุดลั่วฉีซานก็ได้กระอักเลือดออกมา
“ผู้อาวุโสลั่ว!”
“พี่ลั่ว!”
เหล่าสาวกสำนักหยุนร้องเรียกออกมาด้วยความกังวล
เหล่าผู้อาวุโสจากสำนักหยุนต่างก็จ้องมองปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าด้วยความหวาดกลัว การโจมตีเพียงแค่ฝ่ามือเดียวเท่านั้นก็สามารถเอาชนะยอดฝีมือแห่งแท่นบูชาดาบอย่างลั่วฉีซานได้ ปรมาจารย์มหาวายร้ายแท้จริงแล้วมีพลังฝีมือมากแค่ไหนกัน? ดาบที่เป็นอาวุธระดับโลกเมื่อเจอเข้ากับปรมาจารย์กลับถูกทำลายอย่างง่ายดายราวกับเศษกระดาษ
ลั่วฉีซานที่เคยเต็มไปด้วยไฟแค้นบัดนี้กลับสงบนิ่ง มันเหมือนกับเขาถูกถังน้ำใบใหญ่ราดเข้าที่ตัว ความเกลียดชังทั้งหมดได้สลายหายไปในทันที
“ท่านปรมาจารย์?”
“ใครกันที่กล้าสั่งให้เจ้าลอบสังหารแขกคนสำคัญของข้าแบบนี้?” หยุนเทียนลั่วได้ตั้งคำถามขึ้น
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมาอย่างไร้อารมณ์ “เจ้าต้องการที่จะล้างแค้นให้กับลั่วฉางชิงผู้คลั่งไคล้ดาบอย่างงั้นสินะ?”
“ถูกต้องแล้ว” ลั่วฉีซานตอบกลับมาอย่างไม่ลังเล
“ถ้าหากไม่เห็นกับหยุนเทียนลั่วข้าก็คงจะเอาชีวิตของเจ้าด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวไปแล้ว” ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา
พลังจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่ใช้ในการจู่โจมลั่วฉีซานเป็นพลังถึงหนึ่งในสามส่วนของพลังทั้งหมดที่ลู่โจวมี ตัวเขาสามารถใช้พลังให้มากกว่านี้เพื่อที่จะสังหารลั่วฉีซาน แต่อย่างไรก็ตามลู่โจวก็ไม่ได้ทำแบบนั้น
หยุนเทียนลั่วได้แลกเปลี่ยนอายุขัยของตัวเองไปกว่า 20 ปีเพื่อที่จะแสดงความทรงจำของตัวเองในตอนที่พยายามข้ามผ่านขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่ และเพราะแบบนั้นลู่โจวจึงไว้ชีวิตลั่วฉีซานก็เพื่อที่จะเป็นการตอบแทนหยุนเทียนลั่ว “น้องชายของข้าต้องตายไปอย่างเดียวดาย ข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้าแน่!” ลั่วฉีซานเริ่มกลับมาบ้าคลั่งอีกครั้ง
ในตอนนั้นเองเสียงหัวเราะอันเย้ยหยันก็ได้ดังขึ้นมาจากรถม้าล่องเมฆา “น่าขัน! ลั่วฉีซานพยายามที่จะลอบสังหารศิษย์พี่รองของข้าในขณะที่เขาได้รับบาดเจ็บ เจ้าคิดว่าพวกเราจะนิ่งดูดายปล่อยให้น้องของเจ้าพยายามที่จะสังหารพวกเราได้อย่างงั้นหรอ?”
‘ลอบสังหาร?’ ลั่วฉีซานได้เงยหน้าขึ้นมองรถม้าลอยฟ้า
คนที่พูดออกมาก็คือศิษย์คนที่สี่ของศาลาปีศาจลอยฟ้า เขาก็คือหมิงซี่หยิน หลังจากได้ยินเรื่องราวที่เกินจริงมาจากต้วนชิง หมิงซี่หยินก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“สำนักหยุนได้ส่งผู้ฝึกยุทธขั้นศักดิ์สิทธิ์มากกว่า 10 คนก็เพื่อที่จะลอบสังหารอาจารย์ของข้าที่หุบเขาตะวันฟ้า เจ้าจะให้พวกเราคิดถึงเรื่องที่พวกเจ้าเคยทำยังไงล่ะ? ยิ่งไปกว่านั้นผู้อาวุโสคนที่หกของเจ้าอย่างฝานเชียวเองก็ยังแอบอ้างเป็นอาจารย์ของข้าก่อนที่จะก่อกรรมทำเข็ญอยู่ที่แม่น้ำสวรรค์ ลั่วฉีซาน เจ้าจะให้พวกเราตอบแทนพวกเจ้ายังไงกันดีล่ะ?” หมิงซี่หยินได้หยิบเรื่องราวในอดีตมาพูดขึ้น “เจ้าเรียกตัวเองว่านักบุญแห่งดาบจากสำนักหยุน หนึ่งในสำนักที่ยึดถือคุณธรรม แต่ถึงแบบนั้นเจ้าก็ยังทำตัวไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เจ้ารู้จริงๆ รึเปล่าเถอะว่าความยุติธรรมและคุณธรรมมันหมายความว่าอะไรกันแน่? ถ้าหากข้าเป็นเจ้าแล้วล่ะก็ ข้าจะยึดหลักคุณธรรมให้อยู่เหนือกว่าครอบครัวของตน ข้านี่แหละจะสังหารลั่วฉางชิงเป็นคนแรก บางทีถ้าหากทำแบบนั้นข้าอาจจะได้ความเคารพนับถือมากกว่าเจ้าแล้วก็ได้ แต่เจ้าในตอนนี้น่ะ…มันแย่ยิ่งกว่าขยะไร้ค่าซะอีก…”
คำพูดของหมิงซี่หยินตรงกับสิ่งที่ลู่โจวคิดทุกอย่าง ตัวเขารู้สึกพอใจในคำพูดของศิษย์คนนี้มาก
ลั่วฉีซานหน้าแดง
ทุกๆ คนกำลังสงสัยว่าใบหน้าที่แดงของเขาเป็นเพราะพลังฝ่ามือหรือเป็นเพราะพลังวาจากันแน่
หยุนเทียนลั่วมักจะเก็บตัวฝึกฝนตัวเองอย่างสันโดษ เป็นเวลานานแล้วที่ตัวเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องอื่น ถ้าหากตัวเขายังคงดูแลสามสำนักจริง คงจะไม่มีทางเลยที่สามสำนักจะแยกตัวออกจากกันและทำตัวชั่วร้ายไม่ต่างกับโจรชั่ว
หยุนเทียนลั่วกวาดตามองไปที่เจ้าสำนักทั้งสาม “เป็นความจริงอย่างงั้นหรอ?”
เจ้าสำนักหยุน หยุนวู่จีคุกเข่า ตัวเขาได้ก้มศีรษะลงก่อนที่จะพูดขึ้น “เอ่อ…ท่านปรมาจารย์ ข้าอธิบายเรื่องนี้ได้ เรื่องเกี่ยวกับฝานเชียว ข้าได้ส่งเขาให้ออกไปเป็นทูตพิเศษของพวกเราก็เท่านั้น นอกจากนี้หลี่หยุนเด๋าก็ยังขอโทษศาลาปีศาจลอยฟ้าที่ทำให้เข้าใจผิดโดยการมอบดอกแมกโนเลียดำให้เป็นค่าตอบแทนไปแล้วด้วย ส่วนเรื่องการโจมตีปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าพวกเราสำนักหยุนขอยอมรับความผิดนี้แต่โดยดี”
หมิงซี่หยินยิ้มก่อนที่จะพูดต่อ “มันมีอะไรที่มากกว่านั้น…แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามข้าก็จะต้องคิดบัญชีกับพวกเจ้า…ที่ท่านอาจารย์ของข้าต้องฆ่าลั่วฉางชิงไปเป็นเพราะการป้องกันตัว ท้ายที่สุดแล้วพวกเจ้านั่นแหละเป็นพวกที่ผิด ถ้าหากจะดูจากเหตุผลแล้วสำนักหยุนไม่มีสิทธิ์ที่จะกล่าวโทษท่านอาจารย์ของข้าเลย พวกสำนักหยุนอย่างเจ้าจะต้องขอโทษท่านอาจารย์ข้ามากกว่า”
เหล่าสาวกจากสามสำนักต่างก็มองไปที่รถม้าลอยฟ้าอย่างพร้อมเพรียงกัน คำพูดของหมิงซี่หยินนั้นฟังดูแปลกๆ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ถูกต้องทุกอย่าง ผู้ที่จะพยายามลอบสังหารคนอื่นแต่กลับถูกสังหารตายซะเอง เรื่องแบบนี้จะไปเอาผิดใครได้กัน?
คำพูดของหมิงซี่หยินทำให้ลั่วฉีซานไม่อาจที่จะตอบโต้ได้ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้…
“ลั่วฉีซาน เจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่พี่ศิษย์พี่รองของข้าไว้ชีวิตในการประมือ เจ้าคิดว่าไม่รู้จักศิษย์พี่รองของข้าดีพอย่างงั้นหรอ? เจ้าคิดว่าศิษย์พี่รองจะยอมพูดเรื่องโกหกก็เพื่อที่จะให้ท่านอาจารย์ข้าสังหารน้องของเจ้าเพื่ออะไรกัน?”
ลั่วฉีซานที่ได้ยินแบบนั้นพูดไม่ออก แม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้พบปะอะไรกับยู่ฉางตงมากนัก แต่ตัวเขาก็มั่นใจมากว่ายู่ฉางตงไม่ใช่คนที่ทำอะไรแบบนั้นแน่ ในทางกลับกันมีแนวโน้มที่น้องชายของเขาอย่างลั่วฉางชิงจะเป็นผู้ลงมือลอบสังหารมากกว่า ตัวเขารู้จักน้องชายของตัวเองดี น้องชายของลั่วฉีซานยอมที่จะทำทุกอย่างแม้จะต้องใช้วิธีที่สกปรกก็ตามเพียงเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายของตน
หยุนเทียนลั่วได้พยักหน้าอย่างช้าๆ เป็นธรรมดาที่ตัวเขาจะเข้าใจเหตุการณ์ทุกอย่างดี ดวงตาของเขาได้ปิดลงก่อนที่จะพูดขึ้น “หยุนวู่จี”
“ท่านปรมาจารย์?”
“มานี่…” หยุนเทียนลั่วได้พูดออกมา น้ำเสียงของเขาดูไม่เป็นธรรมชาติราวกับว่ามีอะไรทำให้ตัวเขาหายใจไม่ออก
หยุนวู่จีไม่รู้เลยว่าผู้ที่เป็นปรมาจารย์ต้องการอะไร แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ต้องเชื่อฟังแต่โดยดี
จู่ๆ หยุนเทียนลั่วก็ได้ยกฝ่ามือขึ้นมาก่อนที่จะฟาดใส่แก้มของหยุนวู่จี การจู่โจมครั้งนี้ไม่มีความปรานีเลยแม้แต่น้อย
ผั๊วะ!
เสียงฝ่ามือที่เข้ากระทบกับหน้าได้ดังไปทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ในตอนนั้นเองใบหน้าของหยุนวู่จีก็ปวดบวมขึ้นมา
“ไปซะ” หยุนเทียนลั่วพูดต่อ “คารวะพี่จีและขอขมาเขาซะ”
หยุนวู่จีที่ได้ยินแบบนั้นตกตะลึง
หมิงซี่หยินรู้สึกสนุกที่ได้ดูการแสดงเช่นนี้ ตัวเขากำลังสงสัยอะไรบางอย่างขึ้นมา ‘พลังในการตบหน้าเป็นพลังทั้งหมดของปรมาจารย์จากทั้งสามสำนักจริงๆ อย่างงั้นหรอ? พลังวรยุทธของเขาดูเหมือนจะถดถอยลงไปมาก’
ลู่โจวถอนหายใจเล็กน้อย เมื่ออายุของหยุนเทียนลั่วเพิ่มมากขึ้น เป็นธรรมดาที่พลังวรยุทธของตัวเขาจะถดถอยไป ทั้งสามสำนักบัดนี้ได้แยกออกจากกันอย่างอิสระแล้ว สิ่งนี้ทำให้ลู่โจวนึกถึงจีเทียนเด๋าหรือแม้แต่ตัวเขาในปัจจุบันเอง เมื่ออายุมากขึ้นท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็คงจะเหลือเรี่ยวแรงไว้เพียงแค่ตบหน้าคนอื่นก็เท่านั้น ท้ายที่สุดลู่โจวก็ได้พูดออกมา “ไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนั้นหรอก”
“หืม?”
“ข้ารู้เหตุผลมาโดยตลอด เมื่อเห็นแก่หน้าหยุนเทียนลั่วข้าจะไม่เอาเรื่องเจ้าในครั้งนี้…แต่ถ้าหากเจ้ากล้าทำเช่นนี้อีกพวกเราก็คงจะต้องได้พบกันใหม่แน่…” ลู่โจวไม่ได้พูดต่อ ตัวเขาจงใจที่จะทิ้งคำพูดประโยคสุดท้ายเอาไว้ให้กับคนอื่นๆ ได้จินตนาการเอาเอง คำพูดของลู่โจวในครั้งนี้ได้ทำให้คนจากสำนักหยุนถึงกับสั่นกลัว
สำหรับลู่โจวการคุกเข่าเพื่อขอขมาไม่ใช่อะไรที่เป็นประโยชน์กับตัวเขาเลย ตัวของเขาเองก็ไม่ได้อยากยุ่งกับสำนักหยุนอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นพลังวรยุทธของลู่โจวก็ยังไม่ได้ลึกล้ำอะไร ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ลู่โจวต้องการที่สุดก็คือเวลา หยุนเทียนลั่วที่ได้ฟังแบบนั้นได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้าขอขอบคุณท่านจริงๆ พี่จี”
ลู่โจวโบกแขนเสื้อก่อนที่จะพูดโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงอะไร “ข้าไม่ถือสาอะไรหรอก” หลังจากที่พูดจบลู่โจวก็ได้เดินก่อนที่จะลอยกลับไปที่รถม้าล่องเมฆา
ไม่มีใครกล้าหยุดตัวเขา และก็ไม่มีใครกล้าส่งเสียงหายใจดังออกมา
แรงกดดันที่ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าทำให้สาวกจากทั้งสามสำนักต่างก็ไม่กล้าเคลื่อนไหว
ลู่โจวได้กลับไปถึงรถม้าลอยฟ้าจนได้
หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดเยินยอ “วิเศษจริงๆ ครับท่านอาจารย์!”
ผู้อาวุโสลู่ปิงแห่งสำนักลั่วเองขึ้นไปบนรถม้าเช่นกัน “ข้าจะไปส่งทุกท่านออกไปเอง!”
“???”