ลู่โจวมองไปที่หมิงซี่หยินก่อนที่จะถามออกมา “นักบวชจากวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์มาทำอะไรที่ภูเขาทองกัน?” ตัวเขาจำในตอนที่นักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ได้ตายจากไปได้ วิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องจากวิหารไปเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองตกเป็นเป้าหมายของการแก้แค้น หลังจากนั้นลู่โจวก็ไม่เคยรู้อีกเลยว่าพวกเขาหนีไปที่ไหนกันแน่
นอกจากนี้ลู่โจวก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะตามหาพวกเขาตั้งแต่แรก หลังจากเหตุการณ์ที่วิหารแห่งความว่างเปล่าได้ต่อสู้กับวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ วิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ก็ได้สูญเสียทุกอย่างที่เคยมีไป เจ้าอาวาสซู่จิงเป็นเพียงยอดฝีมือเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ซู่จิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากเคลื่อนไหวและใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษ
หมิงซี่หยินส่ายหัวก่อนที่จะตอบกลับมา “ศิษย์เองก็ไม่รู้ครับ”
ในตอนนั้นเองซู่ฮ่องกงก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับถุงมือนักสู้ที่ทางเข้าห้องโถงใหญ่ ตัวเขาได้คุกเข่าทักทายลู่โจวและหมิงซี่หยินก่อนที่จะพูดออกมา “ท่านอาจารย์, ศิษย์พี่สี่”
“เกิดอะไรขึ้นกัน?” ซู่ฮ่องกงได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดขึ้น “โจวจี้เฟิงได้บอกกับข้าว่ามีคนจากวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์มาที่นี่ ศิษย์ที่ได้ยินแบบนั้นก็เลยอยากที่จะมาดูเหตุการณ์”
ลู่โจวพูดต่อ “แล้วการมาของนักบวชจากวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์มันเกี่ยวข้องกับเจ้ายังไงกัน?”
ซู่ฮ่องกงที่ได้ฟังคำถามเอามือกอดอกตามสัญชาตญาณ เมื่อเห็นแบบนั้นหมิงซี่หยินก็ได้ยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน “เจ้ากังวลว่าการมาถึงของเหล่านักบวชจะเป็นการถามถึงเสื้อคลุมของเจ้าอย่างงั้นสินะ?”
ซู่ฮ่องกงรู้สึกอับอายนิดหน่อยที่ถูกรู้ทัน
หมิงซี่หยินได้พูดต่อ “เจ้าไม่รู้เลยหรอว่ากำลังอยู่ที่ไหนกัน? แม้ว่าวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์จะเก่งกาจแค่ไหน พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะมาทักท้วงอะไรที่ถ้ำเสื้อเหมือนกับที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้หรอก”
“ท่านพูดมีเหตุผลจริงๆ ศิษย์พี่สี่”
ในตอนนั้นเองฝานซงก็ได้นำเจ้าอาวาสซู่จิงรวมไปถึงเหล่านักบวชเข้ามาที่ห้องโถงใหญ่
ซู่จิงได้ยืดฝ่ามือออกมา นักบวชกว่าหลายสิบคนที่อยู่ด้านหลังต่างก็พนมมือขึ้นและโค้งคำนับให้กับลู่โจว “อมิตตาพุทธ ท่านผู้อาวุโส ไม่เจอกันนาน”
ลู่โจวมองไปที่นักบวชทั้งหลายที่มาด้วยก่อนที่จะพูดขึ้น “ไม่มีใครไปที่วิหารทางเลือกแห่งสวรรค์มาก่อน เจ้ามีธุระอะไรที่ศาลาปีศาจลอยฟ้ากัน?”
ซู่จิงได้ตอบกลับมา “ข้ามาก็เพื่อตอบแทนบุญคุณ” คำตอบของซู่จิงสั้นๆ และเรียบง่าย
ซู่ฮ่องกงเกาหัวของตัวเอง “ตอบแทนบุญคุณอย่างงั้นหรอ?”
เจ้าอาวาสซูจิงพูดขึ้นมาอย่างช้าๆ “อมิตตาพุทธ…อาตมาสวดภาวนาให้ทุกคนปลอดภัยมาโดยตลอด อาตมายอมเอาผลบุญทั้งหมดที่ได้สั่งสมมาก็เพื่อที่จะตอบแทนทุกท่าน”
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนนะ…” หมิงซี่หยินโบกมืออย่าหงุดหงิดก่อนที่จะพูดต่อ “สวดภาวนาให้กับพวกเรา เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะตอบแทนบุญคุณพวกเราจริงๆ อย่างงั้นหรอ?”
ลู่โจวเองลูบเคราก่อนที่จะพยักหน้า ‘นี่มันอะไรกัน ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน’
ซูจิงไม่รู้สึกอึดอัดอะไร ตัวเขาได้พูดต่อ “อาตมาได้ยินมาว่าม่านพลังของภูเขาทองได้หายไปสักระยะหนึ่งแล้ว อาตมารู้จักนิสัยของสิบสำนักฝ่ายธรรมะดี พวกเขาจะต้องโจมตีที่นี่ในไม่ช้านี้แน่ แม้ว่าวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์จะมีพลังฝีมือที่ไม่ได้เก่งกาจอะไรเหมือนกับวิหารแห่งความว่างเปล่าแต่พวกเราจะไม่ยอมเนรคุณกับผู้มีพระคุณแน่”
หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดออกมาอย่างเย้ยหยัน “ข้าไม่เคยเจอคนแบบเจ้ามาก่อน ข้าสงสัยจริงๆ ว่าข้ากำลังฝันไปรึเปล่า” เมื่อพูดจบหมิงซี่หยินก็แกล้งทำเป็นหยิกตัวเอง
ซู่จิงได้พูดขึ้นมาต่อ “วิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ได้รับสาวกใหม่กว่า 1,000 คน…พวกเขาทั้งหมดจะตามอาตมามาที่นี่ทันทีที่อาตมาเรียกตัวพวกเขา” ซู่จิงได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ ดูเหมือนว่านักบวชคนนี้จะไม่ได้พูดล้อเล่น
รอยยิ้มที่หมิงซี่หยินมีได้จางหายไป ตัวเขาได้หันไปมองผู้ที่เป็นอาจารย์ ท้ายที่สุดแล้วหมิงซี่หยินก็เลือกที่จะฝากเรื่องนี้ให้กับลู่โจวแทน
ลู่โจวมองไปที่นักบวชที่กำลังพูดอยู่ “ข้ารู้ว่าเจ้ามีเจตนาดีและข้าเองก็รู้สึกซาบซึ้งมาก…แต่ภูเขาทองในตอนนี้ยังไม่ได้เจอกับอันตรายอะไร เพราะงั้นกลับไปซะเถอะ”
ซู่จิงถึงกับผงะ ตัวเขาไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยแบบนี้
ในตอนนั้นเองเจียงอาเฉียนก็ได้เดินเข้ามาที่ห้องโถงพร้อมกับรอยยิ้มที่อยู่ตรงใบหน้า “ท่านผู้อาวุโส ได้โปรดรอก่อน”
เมื่อลู่โจวได้ยินแบบนั้นตัวเขาที่ลูบเคราอยู่ก็ได้ถามออกมา “เจ้ามีความคิดเห็นอะไรที่น่าสนใจอย่างงั้นหรอไงกัน?”
เจียงอาเฉียนได้กล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้มีความคิดเห็นอะไรที่น่าสนใจเหมือนกับที่ท่านพูดหรอก มันเป็นเพียงความคิดเห็นธรรมดาเท่านั้น”
“ว่ามา”
“วิหารทางเลือกแห่งสวรรค์เชี่ยวชาญในการฝึกตนในแบบชาวพุทธนอกจากนี้พวกเขายังเชี่ยวชาญการใช้วิชาคลื่นเสียงและวิชาแห่งการรักษาอีกด้วย” เจียงอาเฉียนได้หันไปมองเหล่านักบวชก่อนที่จะพูดต่อ “บางทีพวกเขาอาจจะเป็นประโยชน์กับเหตุการณ์อันแปลกประหลาดที่กำลังจะเกิดขึ้นก็เป็นได้”
“เกิดอะไรขึ้นกัน?”
นับตั้งแต่ที่ลู่โจวกลับมาจากสามสำนักลั่ว, เทียน, หยุน ตัวเขาก็คิดถึงเรื่องของพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบมาโดยตลอด นอกจากนี้เขายังคิดถึงภาพของหยุนเทียนลั่วที่จะพยายามจะฝึกฝนตนให้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ และเพราะแบบนั้นลู่โจวจึงไม่ได้สนใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเลย
เจียงอาเฉียนตอบกลับมา “ในตอนที่ท่านผู้อาวุโสยังไม่กลับมา ข้าก็ได้สำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบในตอนที่ข้ามีเวลาว่าง…ข้าสังเกตเห็นสัญญาณของอะไรบางอย่างจากสถานที่หลายแห่ง ข้าที่อยากรู้อยากเห็นจึงรีบไปตรวจสอบ…อย่างที่ข้าคิดไว้ พื้นที่ใกล้เคียงกับเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์, รูเป่ย, อันยาง, เมืองทางตอนเหนือ หรือแม้แต่สุสานแห่งดาบเองต่างก็มีสัญญาณแห่งการเสื่อมโทรม” เจียงอาเฉียนได้หยุดพูดพักหนึ่งก่อนที่จะพูดต่อ “มีเพียงยอดคนทรงที่มีความสามารถเท่านั้นที่จะสามารถทำอะไรแบบนี้ได้…”
หมิงซี่หยินที่ได้ยินแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ “ยอดคนทรง? ยอดคนทรงที่เคยอยู่นอกหมู่บ้านฤดูร้อนเมื่อตอนนั้นสินะ?”
เจียงอาเฉียนพยักหน้า “พลังของนักบวชวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์เป็นพลังที่มาจากลัทธิขงจื๊อรวมไปถึงพลังจากชาวพุทธ พลังจากทั้งสองแหล่งเป็นพลังที่เหมาะสมที่จะใช้สู้กับเวทมนตร์คาถามากที่สุดแล้ว ดังนั้นข้าขอแนะนำให้พวกเขาพักอยู่ที่นี่ไปก่อนจะดีกว่า”
เมื่อได้ยินแบบนั้นหมิงซี่หยินก็ได้กลอกตามองบนก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าคิดว่าสิ่งที่เจ้าพูดมันก็มีเหตุผล แต่เจ้าคิดว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างพวกเราต้องการกำลังเสริมจากเหล่านักบวชอย่างงั้นหรอ? ช่างน่าขัน แล้วเจ้าล่ะ เจ้าอาวาสซู่จิง เจ้าวางแผนที่จะอยู่บนภูเขาทองไปอีกนานแค่ไหน?”
ซู่จิงได้หันกลับมาตอบ “จนกว่าที่ท่านผู้อาวุโสจะถึงขีดจำกัด”
เมื่อซู่ฮ่องกงได้ยินเช่นนั้น ตัวเขาก็เลือกที่จะแสดงความจงรักภักดีออกมาโดยการจัดการกับซู่จิง แต่ในตอนนั้นผู้ที่เป็นอาจารย์ของตัวเขาก็ได้โบกมือขึ้นมาซะก่อน “ซู่จิง”
ซู่จิงรีบหันกลับมาทำความเคารพลู่โจว
“ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของเจ้าจริงๆ ที่อยากจะตอบแทนข้า แต่เมื่อไป่มาถูกจัดการได้เมื่อไหร่ ข้าคิดว่าเจ้าเองก็ควรจะไปจากที่นี่เช่นกัน” ลู่โจวได้แต่คิดอยู่กับตัวเอง ‘ถ้าหากจะอยู่ดูวันที่ฉันถึงขีดจำกัดจริง นักบวชพวกนี้ไม่ต้องอยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าไปตลอดหรอกหรอ?’
เมื่อซู่จิงได้ยินแบบนั้นตัวเขาก็ได้แต่สงสัยอยู่ภายในใจ ‘ใครคือไป่มากัน?’ แต่ถึงแม้ว่าจะสงสัยซู่จิงก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธ “เป็นไปตามนั้น อมิตตาพุทธ”
“พาพวกเขาไปที่ศาลาทางตอนเหนือซะ”
“ศิษย์รู้จักกับเจ้าอาวาสซู่จิง ให้ศิษย์ได้นำทางพวกเขาเถอะ…” ซู่ฮ่องกงรีบพาตัวซู่จิงออกไปจากห้องโถงใหญ่
ช่วงเวลาที่จะออกจากห้องโถงใหญ่ ซู่ฮ่องกงก็ได้จับมือซู่จิงเอาไว้อย่างใจจดใจจ่อ “ข้าดีใจจริงๆ ที่ได้พบเจ้าที่นี่ ช่วยข้าเอาเขตแดนพลังที่เคยมีออกจากเสื้อคลุมวิถีเซนด้วยเถอะ…”
ซู่จิงที่ได้ฟังแบบนั้นได้ยิ้มออกมาอย่างจริงใจก่อนที่จะประกบฝ่ามือเข้าหากัน “อมิตตาพุทธ…”
“เลิกอมิตตาพุทธของเจ้าซะ พวกเราอยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้า พิธีรีตองอะไรไม่จำเป็นหรอก ไปได้แล้ว…”
“ได้แน่นอน แน่นอน”
ทั้งสองคนได้เดินโอบไหล่ก่อนที่จะเดินตามกันไปที่ศาลาทางเหนือ เหล่านักบวชที่เห็นแบบนั้นต่างก็ลุกลี้ลุกลน
ณ ห้องโถงใหญ่ได้เงียบไปครู่หนึ่ง ลู่โวได้นั่งลงก่อนที่จะพูดกับหมิงซี่หยิน “เรียกผู้อาวุโสฝานกับผู้อาวุโสเล้งมาให้ข้าที”
“ครับ ท่านอาจารย์” หลังจากนั้นไม่นานเล้งลั่วและฝานลี่เทียนก็ได้เดินตามหมิงซี่หยินเข้าสู่ห้องโถงใหญ่
ทั้งสองคารวะให้กับลู่โจวก่อนที่จะนั่งลงบนที่นั่งที่อยู่ด้านข้าง
“ท่านปรมาจารย์เรียกพวกเรามาที่นี่ต้องการอะไรกัน?” ฝานลี่เทียนเป็นผู้ถามขึ้น
ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมา “คนอื่นๆ ที่ไม่มีธุระไปได้”
หมิงซี่หยินและเจียงอาเฉียนตกตะลึง ทั้งสองกำลังสงสัยว่าเรื่องที่จะพูดมันร้ายแรงขนาดไหนถึงต้องทำให้พวกเขาทั้งคู่ต้องออกไปจากห้องโถงใหญ่ได้แบบนี้
หมิงซี่หยินโบกมือ เหล่าสาวกหญิงคนอื่นๆ เองก็ออกไปจากห้องโถงใหญ่เช่นกัน
“ท่านอาจารย์…ข้าเองก็อยากที่จะฟังเหมือนกัน” หมิงซี่หยินพยายามที่จะรวบรวมความกล้าเพื่อพูดคำคำนี้ออกมา ตัวเขารู้ดีว่าผู้ที่เป็นอาจารย์กำลังพูดเรื่องสำคัญ ในแง่ของความใกล้เคียงและความน่าเชื่อถือหมิงซี่หยินรู้ตัวดีว่าแพ้ให้กับผู้อาวุโสทั้งสองอย่างเล้งลั่วและฝานลี่เทียน
เจียงอาเฉียนเองโค้งคำนับก่อนที่จะพูดด้วย “เอ่อ…ท่านผู้อาวุโส แม้ว่าข้าจะเหมือนคนนอกก็ตาม แต่ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่แล้วข้าก็อยากที่จะช่วยท่าน ข้าขอสัญญาว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ที่ไหน!”
ลู่โจวมองไปที่ทั้งสองคนก่อนที่จะพูดออกมา “…ถ้าหากพวกเจ้าทั้งสองอยากที่จะฟัง พวกเจ้าก็ตั้งใจฟังซะ”
“ได้ครับท่านอาจารย์/ท่านผู้อาวุโส”
เล้งลั่วและฝานลี่เทียนเองมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป แน่นอนว่าเรื่องที่จะพูดคุยกันนี้เป็นเรื่องสำคัญไม่ผิดแน่
ลู่โจวมองไปที่เล้งลั่วและฝานลี่เทียนก่อนที่จะพูดออกมา “ในตอนที่ข้าแข่งหมากกระดานกับหยุนเทียนลั่วที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็พบวิธีที่จะทำให้ฝึกตนจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้”