หุบเขาน้ำกร่อยมักจะถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด ที่แห่งนี้ถูกหิมะเข้าปกคลุมโดยที่ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเมื่อไหร่หิมะจะหยุดตกลง ในดินแดนที่เต็มไปด้วยความหนาวเหน็บและไร้ซึ่งแสดงแดดเช่นนี้ การที่สถานที่แห่งนี้จะดึงดูดให้มีผู้คนอาศัยได้จึงเป็นเรื่องที่ยาก
ลมหนาวได้พัดผ่านเข้ามาในสุสานผ่านช่องที่อยู่ทางด้านบนเพดาน เสียงลมที่ลอดเข้ามาเป็นเหมือนกับเสียงอันเศร้าสร้อยของชาวชนชั้นสูง มันเป็นเหมือนกับเสียงคร่ำครวญของกระดูกทั้งหลายที่กำลังร้องคร่ำครวญให้กับชะตากรรมของรวมไปถึงชีวิตที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าของผู้คนที่นี่
ทุกคนที่อยู่ในดินแดนชนชั้นสูงต่างก็อยากที่จะมีชีวิตที่ยืนยาว พวกเขาต้องการที่จะต่อสู้กับสวรรค์เพื่อฝืนชะตาฟ้าลิขิต ในตอนนี้สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงซากปรักหักพังเท่านั้น
บางครั้งยู่ฉางตงก็สงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงต้องได้แตกต่างจากมนุษย์ทั้งหมดที่มีอยู่ในดินแดนอื่น? ยู่ฉางตงเลือกที่จะจากบ้านเกิดมาเพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตัวเอง เขาได้ใช้ขาของมนุษย์เดินข้ามดินแดนต่างๆ นานาผ่าน ผ่านป่าอันตราย, และเหล่าผู้ฝึกยุทธที่แสนจะชั่วร้าย ในที่สุดยู่ฉางตงก็อยู่ในจุดสูงสุดของผู้ฝึกยุทธไปได้ ยู่ฉางตงไม่ได้เสียใจกับเรื่องที่ได้ทำไปเลย
พรึ๊บ!
ลมพัดแรงยิ่งขึ้น
ลมแรงได้พัดพาเอาสติของยู่ฉางตงกลับมาจากความคิดอีกครั้ง ตัวเขาได้ลุกขึ้นก่อนที่จะตรวจสอบสภาพรอบตัว ยู่ฉางตงมองไปที่การออกแบบอันแยบยลของสุสานแห่งนี้ก่อนที่จะส่ายหัว ตัวเขามองไปที่ผนังที่สลักคำว่า ‘อายุยืนยาว’ เอาไว้ เมื่อจ้องมองไปที่คำๆ นั้นยู่ฉางตงก็เริ่มรู้สึกอะไรบางอย่าง
แกร๊ก!
เสียงของอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวได้ดังขึ้น
‘กลไกอย่างงั้นหรอ?’
กระสุนสังหารหลายสิบนัดได้ถูกยิงออกมาจากผนังด้านข้าง ยู่ฉางตงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้พลังลมปราณเลย ตัวเขาใช้แค่เพียงม่านพลังอันเบาบางเพื่อป้องกันการโจมตีทั้งหมดเอาไว้ กระสุนทั้งหมดล้วนแต่เป็นของที่ไร้พลัง พวกมันเป็นลูกศรที่ถูกสร้างขึ้นมาจากน้ำมือของมนุษย์ ลูกศรทั้งหมดได้รับการขัดเกลา, แข็งแรง, กะทัดรัด และยังดูประณีต มันเหมาะที่จะเหมาะกับการเป็นงานศิลปะมากกว่าที่จะใช้เป็นอาวุธ แน่นอนว่ามันไม่อาจต้านทานพลังที่ผู้ฝึกยุทธมีได้แน่
ลูกศรได้ตกลงพื้นโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้
ที่ผนังมีปุ่มอะไรบางอย่างซ่อนอยู่
ยู่ฉางตงได้กดไปที่มันโดยไม่ลังเล
ประตูหินบานที่สองค่อยๆ เปิดออกมา พื้นที่ที่อยู่ด้านหลังนั้นเป็นพื้นที่ทรงกลม ห้องแห่งใหม่มีแสงสว่างมากกว่าห้องที่ยู่ฉางตงกำลังอาศัยอยู่ แต่ถึงแบบนั้นเสียงลมพัดผ่านที่เหมือนกับเสียงคร่ำครวญก็ยังดังฟังชัดอยู่ดี หูของยู่ฉางตงเริ่มที่จะคุ้นเคยกับเสียงนี้ไปซะแล้ว
ที่ใจกลางห้องมีโต๊ะหินตัวหนึ่งตั้งอยู่ บนโต๊ะตัวนั้นมีกล่องผ้าใบหนึ่งวางเอาไว้ กล่องใบนั้นล้อมรอบไปด้วยดอกเมลิล็อตที่ล้วนเหี่ยวเฉา บางทีอาจจะเป็นเพราะเวลาที่ผ่านไปนานทำให้ดอกเมลิล็อตเหลือเพียงเค้าโครงที่เคยมีเท่านั้น ดอกเมลิล็อตได้ผุพังไปนานแล้ว
ยู่ฉางตงได้โบกมือตัวเองเบาๆ ในตอนนั้นเองดอกเมลิล็อตก็ได้ฟุ้งกระจายหายไป ตัวเขามองไปที่กล่องผ้าที่ตั้งอยู่ ที่ฝากล่องถูกประดับตกแต่งไปด้วยดอกเมลิล็อต ยู่ฉางตงไม่ได้คิดอะไรมากกับการตกแต่งนี้ ตัวเขาได้โบกมืออีกครั้ง
แคล๊ก!
กล่องผ้าถูกเปิดออกมา ภายในนั้นมันเต็มไปด้วยหนังสือและยาต่างๆ นานา
ยู่ฉางตงหยิบหนังสือขึ้นมาดูก่อนที่จะพลิกดูอย่างไม่ตั้งใจ ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับหนังสือที่เห็น มันเป็นเพียงวิธีการฝึกตนในแบบของชาวพุทธ, ลัทธิเต๋า และแบบลัทธิขงจื๊อเท่านั้น อันที่จริงแล้วมันอาจจะเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับคนธรรมดา แต่สำหรับยู่ฉางตงมันเป็นเพียงแค่เศษกระดาษไร้ค่าเท่านั้น ยู่ฉางตงไม่มีวันย้อนมองหนังสือพวกนี้ซ้ำสองแน่ ตัวเขาได้ใช้พลังลมปราณออกมาจากฝ่ามือ ในตอนนั้นหนังสือก็ได้สลายหายไปเหลือแต่เพียงเถ้าถ่าน
สำหรับเม็ดยาทั้งหลาย เมื่อมันผ่านเวลาอันยาวนานมาทำให้ผลที่ได้จากมันลดลงอย่างแน่นอน เมื่อตัดสินจากรูปร่างที่มันมี ยาพวกนี้คงจะเป็นยาอายุยืนระดับต่ำ เช่นเดียวกันกับหนังสือ มันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับตัวเขามากนัก ของพวกนี้เดิมทีเคยเป็นของล้ำค่าสำหรับผู้คนในดินแดนชั้นชั้นสูงในอดีต ยู่ฉางคงไม่คิดเลยว่ามันจะถูกทิ้งเอาไว้ในสุสานแห่งนี้
‘ไม่มีใครเอาของภายในสุสานเมลลิล็อตไปใช้เลยสินะ?’ ยู่ฉางตงถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะปล่อยกล่องผ้าให้ร่วงหล่นสู่พื้น
ตุ๊บ!
ทันทีที่กล่องผ้าตกลงไป ในตอนนั้นภาพวาดแปลกๆ ก็ดูเหมือนจะตกลงมาจากด้านล่างกล่องผ้าด้วย
ยู่ฉางตงหันไปจับจ้องที่ภาพวาด บนภาพนั้นมีสัญลักษณ์ต่างๆ อยู่เต็มไปหมด ทันใดนั้นยู่ฉางตงก็นึกถึงกระดาษและภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาจากผู้เป็นอาจารย์ สัญลักษณ์ที่อยู่บนกระดาษดูเหมือนจะคล้ายกับสัญลักษณ์ที่อยู่บนภาพวาดผืนนี้
ยู่ฉางตงได้หยิบกระดาษที่ผู้เป็นอาจารย์มอบให้ออกมาก่อนที่จะวางข้างๆ ภาพวาดเพื่อเปรียบเทียบ มีสัญลักษณ์ที่คล้ายคลึงกันเพียงแค่หยิบมือเท่านั้น เห็นได้ชั้นว่าของทั้งสองอย่างแตกต่างกัน แต่พวกมันกลับถูกเขียนในวิธีรูปแบบเดียวกัน
“นี่เป็นของท่านอาจารย์อย่างงั้นหรอ?” ยู่ฉางตงเริ่มรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา เหตุใดของผู้เป็นอาจารย์ถึงได้วางอยู่ที่นี่? ยู่ฉางตงที่ไม่คิดว่าจะมีของอื่นๆ มีค่าแต่กลับคิดว่าภาพวาดแผ่นนี้จะต้องมีค่ามากแทน
ยู่ฉางตงได้ศึกษาสัญลักษณ์บนกระดาษเป็นอย่างดี แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่อาจเข้าใจความหมายที่มีได้ ในท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ล้มเลิกความพยายามที่จะทำความเข้าใจมัน ความจริงแล้วกล่องใบนี้ได้รอดพ้นช่วงเวลาอันยาวนานมากว่าหลายปีโดยที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศเลย แสดงว่าวัสดุที่ใช้สร้างภาพวาดใบนี้จะต้องมีความพิเศษแน่
หลังจากนั้นยู่ฉางตงก็หันกลับไปมองที่ประตูหิน “ข้าควรจะกลับไปไหม?”
หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้เดินออกมาจากประตูหินบานที่สอง
เสียงของลมที่พัดผ่านรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ยู่ฉางตงรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ ตัวเขาได้ยกมือขึ้นในตอนนั้นเองพลังอวตารร้อยวิถีของเขาก็ปรากฏตัวขึ้นมา ดอกบัวทองคำยังคงแปดเปื้อนไปด้วยคำสาปสีม่วง
“ยังไม่หายไปสินะ?” ยู่ฉางตงขมวดคิ้วเล็กน้อย
ถ้าหากพลังอวตารของตัวเขายังอยู่ดี การที่ยู่ฉางตงจะกลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ด้วยการบินคงจะใช้เวลาเพียงแค่ 7 วันเท่านั้น แต่ในตอนนี้พลังของอวตารเขาได้หายไปกว่าครึ่งแล้ว และที่อันทุรกันดารแบบนี้ก็ยังเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย ถ้าหากไม่ระวังตัวให้มากพอท้ายที่สุดแล้วยู่ฉางตงก็จะตกเป็นเหยื่อของพวกมันซะเอง ถ้าหากไม่มีพลังอวตาร และยังมีพลังวรยุทธเหลืออยู่เพียงเท่านี้ ตัวเขาคงสามารถใช้แรงที่มีจัดการกับคนธรรมดาได้ แต่ตัวเขาคงจะเอาชีวิตรอดจากผืนป่าที่อันตรายแบบนี้ไม่ได้แน่ ยู่ฉางตงเคยคิดมาโดยตลอดว่าตัวเขาไม่มีโชคตั้งแต่เด็ก และในตอนนี้เองก็เช่นกัน
เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นยู่ฉางตงก็หยุดใช้ความคิด ตัวเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะเปิดประตูบานที่สองออกมาเลย ตัวเขาได้นั่งลงก่อนที่จะเริ่มโคจรพลังลมปราณของตัวเอง มันเป็นการเดินพลังเพื่อพยายามระงับคำสาปที่ได้รับมา ยู่ฉางตงได้ปรับลมหายใจของตัวเองจนเข้าสู่ห้วงสมาธิไป
…
เวลาทั้งวันได้ผ่านพ้นไปเพียงพริบตา ถ้าหากไม่มีแสงที่รอดผ่านมาที่สุสานคงจะเป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่าข้างนอกนั้นสว่างแล้ว
ยู่ฉางตงได้เรียกพลังอวตารของตัวเองออกมาอีกครั้ง…อันที่จริงแล้วการแพร่กระจายของพลังคำสาปสีม่วงดูชะลอตัวลง แต่อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเพียงแค่การชะลอตัวเท่านั้น มันไม่ใช่วิธีที่ใช้รักษาคำสาปที่ได้รับมา ยู่ฉางตงไม่สามารถปล่อยให้มันกัดกินตัวเองได้อีกต่อไป
ตัวเขาพยายามที่จะค้นหาวิธีที่จะเอาชนะคำสาปโดยใช้เวลาตลอดทั้งคืน แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่สามารถหยุดพลังคำสาปนี้ได้
ในฐานะที่เป็นดาบปีศาจที่ไม่มีใครเอาชนะตัวเขาได้ในโลกยุทธภพตลอดหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่ยู่ฉางตงรู้สึกไร้เรี่ยวแรงและทำอะไรไม่ถูกอีกต่อไป
ยู่ฉางตงได้ลุกขึ้นมาก่อนที่จะเดินผ่านประตูหินบานที่สองไป ตัวเขาได้นั่งลงปรับการหายใจก่อนที่จะคิดอะไรบางอย่างอีกครั้ง
…
ห้าวันผ่านไปยู่ฉางตงก็เริ่มเรียกพลังอวตารของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง ดอกบัวทองคำที่อยู่ใต้พลังอวตารดูเหมือนว่าจะถูกพลังคำสาปสีม่วงเข้าครอบนำจนหมดแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะแรงกดดันของดอกบัวทองคำที่ถูกบีบโดยพลังคำสาป ในที่สุดยู่ฉางตงก็พลันคิดอะไรบางอย่างที่น่ากลัวขึ้นมาได้ สิ่งที่ตัวเขาคิดนั่นก็คือการตัดดอกบัวทองคำนั่นเอง!
ยู่ฉางตงรู้ถึงผลของการจะทำแบบนั้นดี นี่เป็นเพราะตัวเขากำลังจะทำสิ่งเดียวกันกับสิ่งที่ได้ทำกับพลังอวตารของผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ ด้วยดาบยืนยาว พลังอวตารพุทธปีศาจ, พลังอวตารชาวเต๋า, พลังอวตารแห่งสวรรค์, พลังอวตารพุทธองค์กายาทองคำ ไม่ว่าจะเป็นพลังอวตารแบบไหนยู่ฉางตงก็เคยใช้ดาบของเขาตัดผ่านมันมาแล้ว ผู้ฝึกยุทธที่ถูกทำลายพลังอวตารจะได้รับบาดเจ็บสาหัสไป การตัดดอกบัวทองคำออกจึงไม่ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตาย
ยู่ฉางตงที่คิดถึงเรื่องนี้ประหลาดใจ นิ้วของเขาสั่นอย่างไม่หยุดพัก ตัวเขาได้จับดาบยืนยาวแน่นขึ้น ดาบปีศาจแห่งยุคกำลังรู้สึกประหม่าในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน