แท่นบูชาหยกเขียวเป็นสถานที่ที่เงียบสงบมาโดยตลอด แต่ในตอนนี้ความเงียบสงบทั้งหมดที่เคยมีได้หายไปแล้ว แผ่นหินบนแท่นบูชาถูกทำลายจนพังยับเยิน ถ้าหากการต่อสู้ไม่ได้เกิดขึ้นเหนือแท่นบูชาไปมากกว่านี้บางทีแท่นบูชาหยกเขียวอาจจะถูกทำลายไปแล้วก็ได้
เหล่าสาวกจากสำนักอเวจีที่เห็นการต่อสู้ก็ได้แต่สงบสติอารมณ์ของตัวเอง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เห็นการต่อสู้ระหว่างยู่ฉางตงกับสัตว์ประหลาดตรงๆ แต่จากเสียงที่พวกเขาได้ยินจากในระยะไกลทุกคนก็รู้ดีว่ามันจะต้องเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดและน่ากลัวอย่างแน่นอน
หลังจากนั้นไม่นานในที่สุดเสียงทุกอย่างก็เงียบลง
สาวกจากสำนักอเวจีต่างก็กระโดดลงจากแท่นบูชาหยกเขียว บนแท่นบูชาเต็มไปด้วยความเสียหายที่มาจากลูกหลงในการต่อสู้ มีรูพรุนอยู่บนพื้นทุกที่ที่ดวงตาสามารถมองเห็นได้ แม้ว่ายู่ฉางตงและคู่ต่อสู้จะบินไปไกลแล้วก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นพื้นที่แห่งนี้ก็ยังได้รับความเสียหายอยู่ดี เหล่าสาวกได้เดินทางมาถึงจุดที่เกิดการต่อสู้ขึ้นจริงๆ นอกเหนือจากพื้นดินขนาดใหญ่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่ถูกทำลายไป ในสถานที่ต่อสู้ไม่มีแม้แต่ร่างของผู้ที่พ่ายแพ้ พืชพรรณทั้งหมดที่อยู่แถวนี้ล้วนแต่เหี่ยวเฉา
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่กัน?”
ทุกคนมองไปที่รอบตัวด้วยความหวาดกลัว
“ที่นี่มีสัตว์ประหลาดมากกว่าหนึ่งตัวสินะ…ข้าเห็นคนคนนั้นเหวี่ยงคนที่ถูกมัดอีกคนด้วยเชือก ชายที่ถูกมัดด้วยเชือกดูราวกับศพที่แห้งเหี่ยวยังไงยังงั้น” มีใครบางคนได้พูดออกมา
“ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นวิชาเชิดหุ่นด้วยเวทมนตร์คาถา นี่เป็นลางไม่ดีสำหรับท่านยู่ฉางตงจริงๆ ข้าน่ะกลัวซะเหลือเกิน”
“ไม่มีทาง…พลังวรยุทธที่ท่านยู่ฉางตงมีนั้นลึกล้ำ ข้าไม่คิดว่าเขาจะพ่ายแพ้ง่ายๆ แบบนี้แน่”
“ในโลกนี้เหนือฟ้ายังมีฟ้า ไม่มีอะไรแน่นอนในโลก ท่านเจ้าสำนักเคยพูดเอาไว้ พลังของคนเพียงคนเดียวมักจะด้อยกว่าพลังของคนหมู่มาก”
เมื่อเหล่าสาวกนึกถึงร่างอวตารสีดำและพลังหนวดสีม่วงบนแท่นบูชาหยกเขียว เหล่าสาวกจากสำนักอเวจีก็ได้แต่สั่นกลัว
เหล่าสาวกที่กำลังยุ่งอยู่กับการสนทนาได้สังเกตไปเห็นพลังสีม่วงที่อยู่บนท้องฟ้าใกล้ๆ พลังที่ว่าประกอบไปด้วยควันสีม่วงที่มีรูปร่างคล้ายกับสุนัขจิ้งจอก มันเป็นรูปร่างที่ดูเหมือนกับไป๋หวู่สัตว์ขี่นั่นเอง เมื่อเห็นแบบนั้นทุกคนก็ได้แต่ถอยหลังกลับมาด้วยความตกใจ
พลังสีม่วงที่ก่อนตัวขึ้นได้ส่งเสียงที่นุ่มลึกออกมา “ยู่ฉางตง เจ้าจะต้องตาย!” หลังจากนั้นพลังเวทมนตร์คาถาก็ได้หายไปพร้อมกับพลังควันสีม่วง
“พวกเราควรจะทำยังไงกันดี? พวกเราควรจะอยู่ที่นี่ต่อหรือจะรีบออกจากที่นี่กัน?”
“พวกเราควรรายงานเรื่องนี้ให้กับท่านเจ้าสำนักก่อน!”
…
“ติ้ง! สังหารเป้าหมาย ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 2,000”
ลู่โจวกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นการแจ้งเตือนตัวเขาก็ได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากประสบการณ์ที่ตัวเขามี การฆ่าเป้าหมายที่มีพลังอวตารดอกบัวห้ากลีบจะทำให้ได้แต้มบุญ 1,000 การสังหารเป้าหมายผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวหกถึงแปดกลีบจะได้แต้มบุญ 1,500 แล้วทำไมจู่ๆ ถึงได้แต้มบุญมา 2,000 แต้มบุญกัน?
ลู่โจวค่อยๆ ลึกขึ้นมาก่อนที่จะนึกถึงยู่ฉางตง ในตอนนี้ยู่เฉิงไห่กับสีวู่หยายังไม่ถูกจับตัวกลับมา มันเร็วเกินไปที่จะตามพวกเขาทั้งคู่กลับมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าสาวกที่มีอยู่ก็ยังไม่อาจทำงานนี้ได้ คนเดียวที่จะสังหารยอดฝีมือระดับสูงแบบนี้ได้ก็คงจะต้องเป็นยู่ฉางตงแน่
ใบหน้าของลู่โจวขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิมในขณะใช้ความคิด ‘หรือว่าจะเป็นผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ?’ จากนั้นลู่โจวก็ได้แต่ส่ายหัวก่อนที่จะเลิกใช้ความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่ายู่ฉางตงจะแข็งแกร่งมากสักแค่ไหน แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะฆ่าเป้าหมายผู้ที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองแบบนั้นได้ ยิ่งไปกว่านั้นยู่ฉางตงจะไปหาผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบจากไหนได้กัน?
‘เป็นไปได้ไหมที่มีคนคิดแบบเดียวกันกับฉัน? มีใครบางคนคิดที่จะเอาดอกบัวทองคำออกเพื่อที่จะฝึกฝนตัวเองจนมีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบด้วยอย่างงั้นหรอ?’ ลู่โจวได้นึกถึงคำพูดของเจียงอาเฉียนเกี่ยวกับประสบการณ์การพูดคุยระหว่างเล้งลั่วและฝานลี่เทียนเมื่อวันก่อน ตัวเขารู้ดีว่าไม่ใช่แค่คนเดียวในโลกที่จะพยายามฝึกฝนไปให้ถึงขั้นเก้า ไม่ว่าจะเป็นหยุนเทียนลั่ว, หยวนดู่ หรือแม้แต่เหล่าราชวงศ์เอง ทุกๆ คนต่างก็พยายามที่จะหาทางฝึกฝนตัวเองให้ไปได้ไกลกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้นนอกเหนือจากดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ยังมีดินแดนลั่วหลาน, รัวลี่, ฉีกง และดินแดนอื่น ในโลกใบนี้มีผู้ฝึกยุทธมากมาย เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีใครคิดอยากที่จะเอาชนะข้ามผ่านขีดจำกัดไปได้
ทันใดนั้นเองลู่โจวก็ได้ส่งเสียงออกมา “มีใครอยู่ไหม?”
สาวกหญิงคนหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นในห้องโถงใหญ่ “ท่านปรมาจารย์?”
“เรียกเจียงอาเฉียนมาให้ข้า”
“ค่ะ”
เมื่อไม่นานมานี้ข่าวการตายของเจียงอาเฉียนได้แพร่ไปทั่วยุทธภพ เป็นธรรมดาที่จะมีคนจากพระราชสำนักหลายคนไม่เชื่อเรื่องนี้ แต่เรื่องนั้นมันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
เจียงอาเฉียนนับว่าเป็นชายผู้ที่มีเครือข่ายข้อมูลอันกว้างขวาง ลู่โจวคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เจียงอาเฉียนจะต้องทำงานตอบแทน
…
บนยอดเขาสูง 100 ไมล์ทางตอนเหนือของแท่นบูชาหยกเขียว
ดวงอาทิตย์ได้ส่องผ่านหมู่เมฆสีเทามาก่อนที่จะทอแสงสีทองลงบนผืนป่า
“ศิษย์พี่รอง ท่านอยู่ที่นี่เองสินะ” ยี่เทียนซินได้ทักทายยู่ฉางตงอย่างเคารพในขณะที่ยืนอยู่ด้านหลังตัวเขา
“ไม่จำเป็นจะต้องพูดทักทายแบบนั้นหรอกศิษย์น้องหก” ยู่ฉางตงถือดาบยืนยาวเอาไว้ในมือ ตัวเขาไม่ได้หันกลับมา ยู่ฉางตงได้มองไปที่ดวงอาทิตย์ที่กำลังตกแทน น่าแปลกที่ดวงอาทิตย์ในวันนี้ดูสวยงามและน่าหลงใหลยิ่งกว่าวันไหน ท้ายที่สุดแล้วดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ก็ไม่เคยขาดภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงามแบบนี้
“ศิษย์พี่รอง…ทะ…ท่านยังสบายดีไหม?” ยี่เทียนซินพยายามสังเกตอาการของยู่ฉางตง
แสงอาทิตย์ได้ส่องตกกระทบร่างของยู่ฉางตง ตัวเขาไม่ได้ขยับแม้แต่นิดเดียว “ข้าไม่เป็นไร”
“เส้นทางแห่งดาบของท่านช่างเป็นเส้นทางที่ไกลสุดขอบฟ้าจริงๆ ศิษย์พี่รอง” ยี่เทียนซินที่ได้ต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับยู่ฉางตงมาได้พูดยกย่องเขา
แต่เมื่อยู่ฉางตงได้นึกถึงภาพก่อนหน้านี้ ตัวเขาก็ได้ส่ายหัว “ไม่มีความหมายอะไรหรอกที่จะพูดถึงเรื่องนั้น”
“ข้าได้ยินมาว่าท่านได้กลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้วศิษย์พี่รอง ข้าสงสัยจริงๆ ว่ามันเป็นเรื่องจริงไหม” ยี่เทียนซินไม่ค่อยใส่ใจอะไรกับข่าวคราวของโลกยุทธภพเลย นางได้แต่ฝึกฝนตัวเองมาโดยตลอดในก่อนหน้านี้ บางครั้งนางก็เลือกที่จะออกไปทำธุระเป็นครั้งคราว ครั้งแรกที่ยี่เทียนซินได้ยินข่าวนี้นางก็ไม่คิดที่จะเชื่อเลย
ยู่ฉางตงได้ยิ้มให้อย่างจางๆ “อืม”
“แล้วเรื่องของรายชื่อล่ะ…มันเป็นความจริงอย่างงั้นสินะ?” ยี่เทียนซินได้ถามออกมาด้วยความประหลาดใจ
การจ้องมองของยู่ฉางตงได้ทำให้ยี่เทียนซินรู้สึกกังวล นับตั้งแต่ที่นางออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าและกลายมาเป็นเจ้าแห่งวังจันทราทุกคนก็เริ่มที่จะเคารพนับถือนางมากยิ่งขึ้น นางได้มีชื่ออยู่ในบัญชีดำในลำดับที่หก นอกจากนี้นางก็ยังได้รับฉายานักฆ่าหน้าหยกที่สร้างความหวาดหวั่นให้กับทุกคนที่ได้ยิน ตั้งแต่ตอนนั้นนางก็ไม่เคยรู้สึกกังวลเท่านี้มาก่อน
“อืม” ยู่ฉางตงพยักหน้าอีกครั้ง
ยี่เทียนซินรู้สึกหวาดกลัว รายชื่อที่ยู่ฉางตงมีนั้นเต็มไปด้วยยอดฝีมือ พวกเขาทุกคนล้วนแต่เป็นผู้ที่น่านับถือ แต่ทุกคนกลับตายด้วยมือของศิษย์พี่รองของนางเอง และเพราะแบบนั้นยู่ฉางตงจะต้องแข็งแกร่งแค่ไหนกันถึงจะฆ่าพวกเขาได้?
ยู่ฉางตงได้ยิ้มให้ยี่เทียนซินอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะพูดต่อ “ศิษย์น้องหก…ท่านอาจารย์ไม่ให้อภัยเจ้าอย่างงั้นหรอ?”
เมื่อได้ยินแบบนั้นยี่เทียนซินก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก สีหน้าของนางดูไม่เป็นธรรมชาติ นางไม่รู้เลยว่าจะตอบคำถามได้ยังไง
ยู่ฉางตงไม่ได้ตั้งใจที่จะบังคับฝืนใจให้นางตอบคำถาม “ถ้าหากเจ้าไม่อยากที่จะตอบ เจ้าก็ไม่ต้องตอบหรอก…”
ท้ายที่สุดแล้วยี่เทียนซินก็ได้ตอบกลับมา “ข้ากลัวว่าข้าจะไม่สามารถที่จะกลับไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้าได้อีกต่อไป”
ยู่ฉางตงตอบกลับมา “เจ้ายังมีชีวิตที่ยืนยาวรออยู่ แค่เป็นตัวของเจ้าต่อไปเท่านั้น”
“ท่านพูดถูกแล้วล่ะศิษย์พี่รอง” ยี่เทียนซินพยักหน้า
“หลังจากนี้เจ้าวางแผนที่จะทำอะไรกัน?” ยู่ฉางตงได้ถามออกมา
ยี่เทียนซินไม่ได้ตอบไปในทันที นางได้เดินไปที่ขอบของยอดเขาก่อนที่จะทอดสายตาลงไปในป่า นางได้ถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะตอบกลับมา “ข้าเองก็ไม่รู้…ข้าก็เหมือนกับแมลงที่ไร้ที่อยู่…” จู่ๆ ยี่เทียนซินก็ไม่อยากที่จะพูดต่อ
ยู่ฉางตงที่ได้ฟังแบบนั้นได้พูดขึ้น “ถ้าหากตอนนี้เจ้าไม่มีเป้าหมายอะไร งั้นเป้าหมายของเจ้าก็คือการหาเป้าหมายใหม่ยังไงล่ะ”
ยี่เทียนซินตกตะลึง ความคิดของนางซับซ้อนไม่ได้เรียบง่ายเหมือนกับความคิดของยู่ฉางตง…ไม่ว่าจะยังไงชีวิตก็ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด ยิ่งรู้สึกกังวลมากเท่าไหร่ คนคนนั้นก็ยิ่งไม่กล้าที่จะทำอะไรมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่ว่านางจะไม่มีเป้าหมาย นางไม่ได้ตั้งใจพอที่จะทำตามเป้าหมายมากกว่า “หลังจากนี้ท่านจะกลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นหรอ?”
“ไม่” ยู่ฉางตงส่ายหัว “หลังจากที่ข้าจัดการคนในรายชื่อทั้งหมดได้ข้าจะมุ่งหน้าสู่ดินแดนทางเหนือ”
“ท่านจะไปไหนกัน?”
“ภูเขาน้ำกร่อย”