ยี่เทียนซินได้ถามออกมาด้วยความงุนงง “ภูเขาน้ำกร่อย? สถานที่นั่นอยู่ที่ไหนกัน?” นางไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับหุบเขาแห่งนี้มาก่อน นางจึงสรุปได้ว่าภูเขาน้ำกร่อยเป็นสถานที่ที่ต้องอยู่ห่างไกลแน่
ยู่ฉางตงได้ตอบกลับมาอย่างตรงไปตรงมา “มันคือบ้านเกิดของข้าเอง สถานที่แห่งนี้เป็นเหมือนกับเงาสะท้อนตัวตนของข้า มันไม่มีอะไรเหลือนอกจากความหนาวเย็นและความมืดมิด…”
ยี่เทียนซินรู้สึกสับสนมากขึ้น นางกำลังสงสัยว่าทำไมยู่ฉางตงถึงต้องพูดเกี่ยวกับบ้านเกิดว่ามีแต่ความเหน็บหนาวและความมืดมนเท่านั้น อย่างน้อยที่สุดยู่ฉางตงก็มีบ้านเกิดให้กลับ แต่หมู่บ้านของชาวมนุษย์เผือกไม่มีอีกต่อไป เมื่อคิดแบบนั้นนางก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “ศิษย์พี่รอง ท่านกำลังพูดถึงข้าอยู่อย่างงั้นสินะ?”
“ข้าเคยได้ยินมาก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ยู่ฉางตงพูดต่อ
ยี่เทียนซินรู้สึกพอใจในคำตอบ ดูเหมือนว่าผู้เป็นศิษย์พี่คนนี้จะไม่ได้มีเจตนาตำนิตัวนาง ทันใดนั้นเองยี่เทียนซินก็นึกถึงสิ่งที่พูดกับสีวู่หยาศิษย์น้องเจ็ดได้ “ศิษย์พี่รอง ท่านเชื่อไหมว่าในโลกนี้จะมีคนมีชีวิตอยู่ยืนยาวถึง 2,000 ปีได้”
ยู่ฉางตงผงะเล็กน้อย คำถามนี้เป็นสิ่งที่คนอย่างยู่ฉางตงผู้ซึ่งเป็นชนชั้นสูงไม่อาจที่จะฝันถึงได้เลย ท้ายที่สุดแล้วสำหรับชนชั้นสูงการที่จะมีชีวิตอยู่ถึง 1,000 ปีได้มันก็โชคดีแค่ไหนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเวลากว่า 2,000 ปีเลย “เจ้าเชื่อด้วยอย่างงั้นหรอ?”
“ศิษย์พี่รอง…ข้าได้ตามหาของสิ่งหนึ่งมาโดยตลอด ของสิ่งนั้นเรียกว่าเฉินกวาง มีหลายคนบนเอาไว้ว่าผู้ที่ได้ขี่เฉินกวางจะมีอายุยืนยาวถึง 2,000 ปี แต่ถึงจะตามหามานานแค่ไหนแต่ข้าก็ไม่เคยค้นหาเจอเบาะแสของมันเลย” ยี่เทียนซินตอบกลับมา
ถ้าหากยี่เทียนซินบอกคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทุกๆ คนก็มักจะชวนให้นางหยุดการค้นหาอย่างเปล่าประโยชน์ แต่ถึงแบบนั้นยู่ฉางตงต่างออกไป ตัวเขาเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าใครบางคนจะต้องทำเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ก่อนที่ชีวิตจะจบ ยู่ฉางตงได้ยิ้มออกมาจางๆ ก่อนที่จะพูดกับยี่เทียนซิน “อย่าสูญเสียความตั้งใจของเจ้าไปล่ะ ค้นหาต่อไปเถอะศิษย์น้อง…”
“อะไรกัน…แม้ว่ามันจะมีโอกาสน้อยนิดมากแค่ไหนก็ตามอย่างงั้นหรอ?”
“อย่างน้อยมันก็ยังมีโอกาส”
ยี่เทียนซินถึงกับพูดไม่ออก แต่นั่นก็คือความจริง แม้ว่าโอกาสจะมีเพียงน้อยนิดก็ตามแต่นั่นก็ยังดีกว่าไม่มีโอกาส “ขอบคุณจริงๆ ที่ให้คำแนะนำข้าศิษย์พี่”
ยู่ฉางตงได้พยักหน้าให้ “ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว…เจ้าควรจะกลับได้แล้วนะศิษย์น้องหญิง”
“ค่ะ ดูและตัวเองด้วยศิษย์พี่รอง” ยี่เทียนซินได้โค้งคำนับให้กับยู่ฉางตงก่อนที่จะหันหน้าจากไป
แสงอาทิตย์เริ่มจางหายไป
ยู่ฉางตงไม่ได้ขยับไปไหน ตัวเขาจ้องมองดูดวงตะวันตกดินอย่างเงียบๆ ยู่ฉางตงในตอนนี้จับดาบยืนยาวไว้แน่นในขณะที่ยืนอยู่ตรงจุดเดิม
แคล๊ก!
เสียงหินที่กำลังแตกดังขึ้น ยู่ฉางตงได้เสียบดาบยืนยาวลงไปในก้อนหินก้อนนั้น ตัวเขารีบนั่งสมาธิก่อนที่จะประกบฝ่ามือเข้าหากัน
หวือออ!
พลังอวตารแห่งร้อยวิถีได้ปรากฏตัวขึ้น แต่ถึงแบบนั้นขนาดของมันก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร ยู่ฉางตงตั้งใจที่จะสร้างอวตารให้มีขนาดเล็กที่สุด มันมีความสูงเพียงครึ่งเดียวของยู่ฉางตง ยู่ฉางตงได้ยกฝ่ามือของตัวเองขึ้นมาก่อนที่พลังอวตารของเขาจะลอยอยู่เหนือฝ่ามือนั้น พลังอวตารที่คล้ายรูปปั้นอยู่บนดอกบัวทองคำ แม้ว่าจะเป็นดอกบัวทองคำแต่มันกลับดูไม่เหมือนเดิม ที่ดอกบัวทองคำมีจุดอะไรบางอย่างสีม่วงกำลังลุกลาม มันเป็นจุดสีม่วงที่ดูคล้ายกับศัตรูพืชที่กำลังอยู่บนดอกบัว
ยู่ฉางตงรีบเดินพลังลมปราณของตัวเอง ดอกบัวทองคำของร่างอวตารตัวเขาก็ได้หมุนอย่างรวดเร็วก่อนที่จะส่องแสงออกมา
หวืออ!
หลังจากการรักษาตัวรอบแรก จุดสีม่วงที่สังเกตเห็นได้ก็แค่ถูกพลังลมปราณอันมหาศาลของเขาข่มเอาไว้ มันยังไม่ได้จางหายไปไหน
ยู่ฉางตงขมวดคิ้วเล็กน้อย ตัวเขาไม่ได้ชัยชนะในศึกครั้งนี้จริงๆ ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นการต่อสู้ที่ยากที่สุดเมื่อเทียบกับการต่อสู้อื่นๆ แม้ว่าเขาจะได้ประลองกับศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองที่ป่าเมฆากระจ่างก็ตาม แต่ในตอนนั้นยู่ฉางตงก็ไม่ได้ถูกบีบให้ใช้พลังทั้งหมดที่มี ในตอนแรกยู่ฉางตงคิดว่าจางหยวนฉานเป็นเพียงแค่เจ้าสำนักธรรมดาๆ เขาที่เป็นคนขี้ขลาดคงจะมีพลังฝีมือไม่เท่าไหร่ สำหรับยู่ฉางตงเขาควรจะจัดการกับจางหยวนฉานได้ด้วยเพลงดาบเดียวซะด้วยซ้ำไป ใครจะรู้กันว่าจางหยวนฉานจะทำให้ตัวเขาต้องลำบากทำทุกอย่างถึงเพียงนี้?
“ยอดคนทรงจากลั่วหลานอย่างงั้นหรอ?” ยู่ฉางตงได้พึมพำกับตัวเองก่อนที่จะพูดเย้ยหยัน “เจ้าก็แค่โชคดีที่พบกับข้าไม่ใช่…” ยังไม่ทันได้พูดจบยู่ฉางตงก็เลิกใช้พลังอวตารก่อนที่จะเดินทางไปยังตอนเหนือในทันที
…
หลังจากการต่อสู้บนแท่นบูชาหยกเขียวสิ้นสุด เหล่าสาวกสำนักอเวจีก็ได้รายงานเรื่องนี้ให้กับเจ้าสำนักของพวกเขาอย่างยู่เฉิงไห่ที่กำลังอยู่ในมณฑลยี่ได้รู้
“แจ้งสำนักอเวจีย่อยซะ บอกแค่ว่าการต่อสู้ระหว่างท่านยู่ฉางตงและจางหยวนฉานนั้นไม่ง่ายดาย เกิดเรื่องร้ายขึ้นกับท่านยู่ฉางตง” อย่างน้อยที่สุดนี่ก็คือสิ่งที่เหล่าสาวกจากสำนักอเวจีสังเกตเห็น คำพูดของพวกเขาสามารถตีความได้หลายความหมาย ยู่ฉางตงอาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ก็อาจจะล้มตายไปจากการต่อสู้
และแล้วนั่นก็เป็นข่าวลือข่าวใหม่ที่จะถูกลือกันทั่วยุทธภพ
สำนักใหญ่ๆ ที่ได้ฟังข่าวลือเช่นนี้ต่างก็โล่งอก เมื่อใดที่มีคนแพร่ข่าวลือมากพอ ข่าวลือนั้นก็ย่อมที่จะมีความน่าเชื่อถือสูงขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา
เมื่อเวลาผ่านไปข่าวลือนี่เองก็ถูกลือกันมากขึ้น นักเล่าเรื่องทั้งหลายพยายามที่จะตกแต่งพูดเรื่องนี้จนเกินจริง
“การต่อสู้บนแท่นบูชาหยกเขียว ดาบปีศาจยู่เฉิงไห่ไม่สามารถที่จะเอาชนะจางหยวนฉานได้ ดาบปีศาจได้รับบาดเจ็บสาหัสไปในที่สุด”
“แล้วทำไมเจ้าขี้ขลาดตาขาวจางหยวนฉานถึงกล้าโจมตีอย่างกะทันหันกันล่ะ?”
“ดาบปีศาจมั่นใจในตัวเองมากไป ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ต้องรับผิดชอบกับความหยิ่งทะนงของตัวเอง”
“หรือว่ายุคทองของศาลาปีศาจลอยฟ้ากำลังจะสิ้นสุดลงจริงๆ …”
และเนื่องจากยู่ฉางตงไม่ได้ปรากฏตัวนับตั้งแต่นั้น ข่าวลือนี้จึงน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
…
ณ ยามราตรีคืนหนึ่งที่ใจกลางหลุมศพ
มีใครคนหนึ่งกำลังลอยอยู่บนอากาศ เท้าของคนคนนั้นลอยอยู่เหนือพื้นดินเพียงแค่ครึ่งฟุตเท่านั้น คนคนนั้นได้บินไปรอบๆ สุสานในขณะที่ปล่อยควันสีม่วงออกมาจากตัว
เสียงดินที่กำลังขยับได้ดังขึ้น
ชายคนนั้นได้บินกลับไปที่จุดเดิมก่อนที่จะร่อนลงบนพื้น ตัวเขาได้พยักหน้าออกมาอย่างพึงพอใจ ชายคนนั้นถือเชือกสองเส้นด้วยมือข้างเดียว ที่ปลายเชือกเส้นหนึ่งคือกงหยวนที่กำลังสวมเสื้อคลุมของเหล่านักบวช ส่วนที่ปลายเชือกอีกด้านก็คือจางหยวนฉานที่กำลังสวมเสื้อคลุมลัทธิเต๋า
“ยังไงซะเวทมนตร์คาถาก็ยังแสดงผล…ยู่ฉางตงจะต้องหายไปจากโลกใบนี้ ต่อไปก็ถึงคราวของศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้ว…ศิษย์น้อง ข้าจะลากศาลาปีศาจลอยฟ้าทั้งหมดตามเจ้าไปที่โลกหน้าด้วย”
…
เจ็ดวันต่อมาที่ห้องโถงใหญ่ของศาลาปีศาจลอยฟ้า
ลู่โจวได้นั่งสมาธิทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์มาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว ในตอนนี้ตัวเขาได้เติมเต็มพลังของมันอย่างสมบูรณ์ ลู่โจวกำลังคิดถึงวิธีที่จะไปถึงขั้นที่เก้า ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินก็ได้เดินเข้ามาในห้องโถงพร้อมกับจดหมายที่อยู่ในมือ
ในขณะเดียวกันหยวนเอ๋อที่ฝึกฝนควบคุมสายสะพายของนางก็เดินเข้ามาที่ภายในห้องโถงใหญ่เช่นกัน
“ศิษย์พี่สี่ดูข้าสิ…ข้าสามารถควบคุมสายสะพายของข้าให้กลายเป็นรูปร่างต่างๆ ได้แล้ว! ท่านอาจารย์สอนข้ามาเอง…”
“เยี่ยมมาก” หมิงซี่หยินตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจก่อนที่จะเดินเข้าไปที่ห้องโถงใหญ่ “ท่านอาจารย์มีจดหมายจากเจียงอาเฉียน” หมิงซี่หยินรีบเปิดอ่านจดหมายก่อนที่จะพูดออกมา
เจียงอาเฉียนไม่ใช่คนที่ไร้ฝีมือเลย เพียงเวลาแค่ 7 วันหลังจากที่ออกจากศาลาปีศาจลอยฟ้าไปเท่านั้นเจียงอาเฉียนก็สืบได้ข่าวมาแล้ว
หมิงซี่หยินรีบอ่านจดหมาย “ท่านผู้อาวุโส ในตอนนี้ยังไม่จำเป็นเลยที่จะต้องสืบสวนเรื่องที่ท่านได้มอบหมายมาให้ข้า ทั่วทั้งโลกยุทธภพกำลังลือกันว่าเกิดเรื่องร้ายกับดาบปีศาจขึ้น เขาได้พ่ายแพ้ให้กับจางหยวนฉาน แต่ถึงแบบนั้นข่าวลือนี้ก็ยังไม่ได้รับการยืนยัน ข้าจะรีบยืนยันข่าวลือโดยเร็วที่สุด ยังมีเรื่องอื่นที่ข้าจะต้องแจ้งให้ท่านทราบ สำนักอเวจีได้ยึดครองมณฑลยี่ได้แล้ว เหวยซู่หยานตัวปลอมไม่อาจที่จะระงับความวุ่นวายในมณฑลยี่ได้ ข้าไม่มีอะไรที่จะพูดให้มากกว่านี้แล้ว พื้นที่ว่างบนกระดาษเองก็หมดแล้ว โปรดอ่านต่อในหน้าหลัง…” เมื่ออ่านจบหมิงซี่หยินก็ได้พลิกจดหมายไปที่ด้านหลัง ‘เจ้านี่ตั้งใจที่จะเล่นอะไรกัน? ด้านหลังมีจดหมายเพิ่มเติมอย่างงั้นหรอไงกัน? ทำไมข้าไม่เห็นอะไรเลยในตอนที่เปิดอ่านจดหมายล่ะ…’
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหมิงซี่หยินก็ได้กระแอมอยู่ในลำคอก่อนที่จะอ่านออกเสียงต่อ “จากข่าวลือที่ม่านพลังภูเขาทองได้จางหายไป, การหายตัวไปของท่านยู่ฉางตงและขีดจำกัดที่กำลังใกล้เข้ามาถึงของท่าน สำนักฝ่ายธรรมะพยายามที่จะก่อตั้งพันธมิตรขึ้นมาอีกครั้ง เป็นเวลานานมากแล้วที่ข้าได้เขียนจดหมายหาท่านผู้อาวุโส ถ้าหากท่านมอบดาบดีๆ ให้ข้าเป็นการตอบแทนสักเล่ม ข้าจะต้องมีแรงจูงใจในการทำงานมากกว่านี้แน่นอน ฮาฮาฮ่า…” หมิงซี่หยินที่อ่านจดหมายจบมีท่าทีที่เปลี่ยนไป จดหมายในส่วนแรกเป็นส่วนเดียวที่มีประโยชน์ ตัวเขารู้สึกเสียดายที่ได้เผลออ่านจดหมายในส่วนที่สองไป
หมิงซี่หยินได้หันไปพูดกับลู่โจว “ท่านอาจารย์ ข่าวลือยังไงก็เป็นแค่ข่าวลือ…พลังวรยุทธที่ศิษย์พี่รองมีลึกล้ำมาก ไม่มีทางเลยที่จางหยวนฉานจะสัมผัสแม้แต่เส้นผมของศิษย์พี่รองได้ด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นจางหยวนฉานก็เป็นเพียงแค่ชายผู้ขี้ขลาดตาขาวเท่านั้น”
แม้ว่าจะพูดแบบนั้นแต่ลู่โจวก็ไม่ได้เห็นด้วยไปซะหมด จากรางวัลที่ตัวเขาเพิ่งจะได้มาดูเหมือนเรื่องในครั้งนี้จะซับซ้อนมากกว่าที่คิด เขามั่นใจว่าจางหยวนฉานได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่แน่ใจเลยว่ายู่ฉางตงจะได้รับบาดเจ็บไหม จนถึงในตอนนี้ก็ยังไม่มีศิษย์คนไหนเสียชีวิตไป และเพราะแบบนั้นลู่โจวจึงไม่รู้เหมือนกันว่าระบบจะแจ้งเตือนอะไรตัวเขาไหม
ลู่โจวค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ตัวเขาได้ลูบเคราก่อนที่จะก้าวเดินไปด้วย “ศิษย์พี่รองของเจ้าชอบทำอะไรตัวคนเดียว เขาไม่ชอบที่จะเขียนจดหมาย”
“ท่านอาจารย์พูดถูกแล้ว ศิษย์พี่ก็โตมากแล้ว เขาควรรู้ได้แล้วว่าการเขียนจดหมายตอบกลับมาเป็นอะไรที่ดีกว่าการเงียบหายไปเฉยๆ แบบนี้” หมิงซี่หยินพูด
“ปล่อยเขาไปก่อน” แม้ว่าจะพูดแบบนั้นแต่ลู่โจวก็ไม่ต้องการที่จะปล่อยให้ยู่ฉางตงต้องไปเจอกับอันตรายจริงๆ ถ้าหากตัวเขาสูญเสียผู้ช่วยชั้นยอดแบบนี้ไป การที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปก็คงจะยากลำบากมากยิ่งขึ้น
หลังจากนั้นไม่นานหมิงซี่หยินก็ได้ถามออกมาอย่างตรงไปตรงมา “ท่านอาจารย์…แล้วพวกเราควรจะทำยังไงกับศิษย์พี่ใหญ่? ตอนนี้เขาพิชิตมณฑลยี่ได้แล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าเขากำลังวางแผนต่อต้านเหล่าราชวงศ์อยู่”
ลู่โจวไม่ได้ตอบอะไรกลับหมิงซี่หยิน ‘ฉันเองก็อยากจะพบกับศิษย์ทรยศนั่นด้วยตัวเองเพื่อที่จะถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตเหมือนกัน…’
การที่จะไปหายู่เฉิงไห่ในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย…สำนักอเวจีมีสาขาย่อยรวมไปถึงฐานทัพลับกระจายตัวอยู่มากมาย หลังจากการต่อสู้กับยู่ฉางตงที่ป่าเมฆากระจ่างก็ไม่มีใครรู้อีกเลยว่ายู่เฉิงไห่จะซ่อนตัวอยู่ที่ไหนในตอนนี้ มณฑลยี่เองก็กว้างขวางจนเกินไป การที่จะไปตามหายู่เฉิงไห่ในนั้นก็เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร ยิ่งไปกว่านั้นสำนักอเวจียังขยายตัวจนมีสาวกกว่าหลายหมื่นหลายแสนในเวลาอันสั้น นอกจากนี้ก็ยังมีสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ที่เป็นมือขวาของยู่เฉิงไห่อยู่ด้วย และพวกเขาก็ยังมีสีวู่หยามันสมองชั้นยอดในการวางแผน
ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะครุ่นคิดต่อ ตัวเขาไม่เคยพบกับยู่เฉิงไห่เลยนับตั้งแต่ที่อยู่ในโลกใบนี้ แม้ว่าจะมีโอกาสได้ใกล้กันหลายครั้ง แต่ท้ายที่สุดแล้วยู่เฉิงไห่ก็หนีไปได้ตลอด ‘ฉันน่ากลัวขนาดนั้นเลยอย่างงั้นหรอไงกัน?’
“บอกเจียงอาเฉียนให้ตรวจสอบเรื่องในมณฑลยี่ซะ…ถ้าหากมีเวลาข้าจะไปมณฑลยี่เพื่อที่จะจับศิษย์ทรยศด้วยตัวเอง”
“ได้ครับท่านอาจารย์” หลังจากพูดแบบนั้นดวงตาของหมิงซี่หยินก็ได้มองไปรอบๆ ตัว “ท่านอาจารย์ในตอนนี้มีข่าวลือหนาหู มีผู้คนคิดว่าพวกเรากำลังจะเพลี่ยงพล้ำให้กับศัตรู อนุญาตให้ศิษย์ได้ออกจากภูเขาทองเพื่อที่จะไปปราบพวกเขาด้วยเถอะ”
ในตอนนั้นเองต้วนมู่เฉิงก็ได้เดินเข้ามาพร้อมกับหอกราชันย์ในมือ “เจ้าก็แค่คิดที่จะออกไปเล่นสนุกข้างนอกไม่ใช่หรอไงกัน?”
“ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอนศิษย์พี่!” หมิงซี่หยินโต้กลับในทันที
หมิงซี่หยินที่กำลังจะแสดงความภักดีของตัวเองแต่ก็มีเสียงของใครบางคนชิงคุกเข่าซะก่อน
“ท่านอาจารย์!”